“เสี่ยวเอ้อ  ขอน้ำชาหนึ่งจอก  ข้าเดินทางทางมาไกลหลายพันลี้  เหนื่อยเหลือเกิน”

“ขอรับท่านจอมยุทธ” 

 “ท่านจอมยุทธ  ระวังข้างหลัง”…. เช้ง  โช้งเช้ง เช้ง

ภาพในจินตนาการของจอมยุทธผมยาวต่อสู้กันแล้วกระโดดตัวเบาไปตามหลังคาเก๋งจีน  คือสิ่งเดียวเท่านั้นที่ขาดไปจากภาพเมืองเก่าลี่เจียงที่อยู่ตรงหน้า  ส่วนสิ่งที่เกินมา  ก็คือบรรดานักท่องเที่ยวที่เดินตามกันเป็นสายเลือกซื้อของตามร้านรวงสองฝั่ง  จนแน่นถนนแคบๆที่ปูด้วยหินโบราณอายุ 800 กว่าปี

แต่หากลบภาพผู้คนและบรรดาป้ายภาษาอังกฤษที่เขียนผิดเขียนถูกออกไปแล้ว  ลี่เจียงที่อยู่ตรงหน้า  คือเมืองในหนังกำลังภายในดีๆนี่เอง  ไม่ว่าจะเป็นตึกรามสองชั้นหลังคาเก๋งจีนสีเทาที่เรียงตัวอยู่สองฝั่ง  ร้านอาหารที่บรรยากาศเหมือนโรงน้ำชา  เกสต์เฮ้าส์ที่ยังคงอารมณ์เหมือนโรงเตี๊ยมสมัยเก่า  ถนนปูด้วยหินก้อนโตเป็นมันวาวที่มีสะพานเล็กๆข้ามคลองที่มีน้ำไหลจ๊อกๆอยู่ทั่วเมือง  ไม่นับชายในชุดจีนโบราณเดินจูงม้าตรงลานกว้างใจกลางเมือง  หรืออาม่าในชุดจีนแท้ๆที่สะพายกระบุงหวายบรรจุผักสดๆบนหลัง  เดินเร่ขายตามบ้านเรือน

ด้วยบรรยากาศย้อนยุคแท้ๆไม่มีแต่งเติมราวกับหยุดเวลาไว้นี่เอง  ที่ทำให้ยูเนสโกขึ้นทะเบียนเมืองเก่าลี่เจียงเป็นเมืองแห่งมรดกโลกในด้านวัฒนธรรม  ลี่เจียงถูกสร้างเมื่อรอยต่อของสมัยราชวงศ์ซ้องและราชวงศ์หยวน  แต่มารุ่งเรืองมากในสมัยราชวงศ์หมิงเมื่อมีบ้านเรือนอยู่กว่าพันหลังแล้ว  ในสมัยราชวงศ์หมิงนี่เองที่หัวหน้าเผ่าชาวน่าซี่  ตระกูลมู่  ได้เรืองอำนาจและสร้างเมืองลี่เจียงให้เป็นปึกแผ่นยิ่งขึ้น  และยังสร้างบ้านอยู่ในเมืองด้วย  แมนชั่นตระกูลมู่นี้เป็นเหมือนรัฐบาลปกครองเมืองย่อยๆของลี่เจียงมาโดยตลอด  และยังคงสภาพสวยงามให้ชมกันอยู่ทุกวันนี้  ว่ากันว่าต้นแบบของแมนชั่นนี้สร้างจำลองมาจากพระราชวังต้องห้ามที่ปักกิ่งทีเดียว

ผังเมืองลี่เจียงยิ่งชวนให้หวนอดีตขึ้นไปอีก  ตัวเมืองเก่าเริ่มจากปากทางเข้าที่มีกังหันน้ำเบ้อเริ่มเป็นสัญลักษณ์  จากบ่อน้ำกังหันนั้นแตกออกเป็นคลองเล็กๆสายหลักสามสาย  คือ East River, Middle River และ West River ซึ่งก็ยังแตกย่อยออกเป็นคลองเล็กๆอีกหลายสายดังเส้นเลือดที่ไหลออกจากหัวใจไปหล่อเลี้ยงทั่วทั้งเมืองลี่เจียง  หลายคลองขนาบด้วยถนนหินที่บางทีก็อยู่ฝั่งขวา  แล้วจู่ๆก็ข้ามมาอยู่ฝั่งซ้ายโดยมีสะพานไม้พาดให้ข้ามไปมา  ที่จับใจคือสะพานเหล่านี้เป็นของโบราณเดิมๆทั้งสิ้น  ไม่ว่าจะสะพานไม้  สะพานหินหรือสะพานไม้ปนหิน  บางสะพานมีประวัติที่มาที่น่าสนใจด้วย  อย่างเช่นสะพาน Wanzi สร้างโดยสามีภรรยาที่มิอาจมีลูกได้  จึงบริจาคเงินสร้างสะพานที่อัดด้วยด้วยเม็ดทรายเล็กๆนับล้านๆเม็ด  เป็นสัญลักษณ์ของความมีครอบครัวทีขยายใหญ่ออกไป  และหวังจะได้ลูกชายเป็นผลตอบแทน  ไม่รู้ว่าสุดท้ายแล้วสมหวังหรือไม่

หรือสะพานหิน Baishuifang ที่สร้างเป็นเกียรติแก่สองพ่อลูกที่พ่อมีอายุยืนถึง 108 ปี  ส่วนลูกนั้นอยู่ได้แค่ 104 ปีเท่านั้นเอง  และที่ก้นคลองตื้นๆเหล่านี้  บ้างมีหินก้อนโตๆบ้างก็เปลี่ยนระดับเป็นชั้นๆ  ทั่วเมืองจึงมีเสียงน้ำไหลจ๊อกๆเหมือนน้ำตกอย่างเพลินใจ  และริมคลองบางแห่งยังมีต้นกุหลาบออกดอกสีชมพูบานเต็มต้น  หรือทิวต้นหลิวที่โน้มกิ่งลงแตะผิวน้ำเรียงเป็นแถว  สะพานที่ถือเป็นหมายเลขหนึ่งของเมืองคือ Big Stone Bridge หรืออีกชื่อว่า Yingxue ที่ข้าม Middle River ยาวสิบกว่าเมตรและกว้างสี่เมตร  ใต้ท้องสะพานเป็นโค้งสองโค้ง  ข้างสะพานมีดอกกุหลาบสีชมพูบานเต็มต้น  เมื่อยืนบนสะพานมองไปด้านหนึ่งจะเห็นเมืองที่ลดหลั่นสูงขึ้นไปบนเขา  มองลงมาอีกด้านจะเห็นถนนที่คดเคี้ยวและเต็มไปด้วยบ้านเก่าที่กลายเป็นร้านค้าเรียงสองฝั่ง  บางครั้งน้ำใต้สะพานยังสะท้อนเงาของภูเขายู่หลงที่ยอดปกคลุมไปด้วยหิมะอีกด้วย  เป็นมุมถ่ายรูปที่ลงตัวมาก   บนสะพานจึงแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวที่ตั้งท่าถ่ายรูปตลอดเวลา

ลี่เจียงจึงเป็นเมืองที่สวยจับตา  และมีเสน่ห์จับใจด้วยบรรยากาศย้อนยุคแบบโบราณแท้ๆ  สมกับเป็นเมืองมรดกโลก  ที่คนหลงเสน่ห์เมืองเก่าไม่ไปเยือนไม่ได้เลย

โรงแรมที่เราพักเป็นหนึ่งในโรงแรมสี่ดาวที่ดีที่สุดในเมืองเก่าลี่เจียง  ชื่อโรงแรม He Xi  จากลอบบี้และร้านอาหารที่มีคอร์ทยาร์ดแบบจีนตรงกลาง  เราต้องเดินลัดเลาะไปตามทางเดินแคบๆระหว่างกำแพงของหมู่ตึกสองชั้นหลายหมู่  ซึ่งแต่ละตึกสร้างเหมือนบ้านจีนโบราณที่ล้อมมิดชิดด้วยกำแพงสูง  มีเก๋งประตูแคบๆเปิดเข้าสู่คอร์ทยาร์ดภายใน  แล้วจึงข้ามเข้าตัวตึกซึ่งเรียงชิดแนวกำแพงตรงข้ามประตู  ตึกสองชั้นเหล่านี้คือห้องพักนั่นเอง  ถึงแม้จะเป็นโรงแรมใหม่ก็ได้บรรยากาศเก๋าเหมือนพักอยู่ในบ้านจีนโบราณ  ตรงใจผู้นิยมบรรยากาศเก่าในความสะดวกสบายแบบสมัยใหม่  ส่วนโรงแรมอื่นๆในเมืองเก่าก็เป็นแนวอนุรักษ์นิยมเหมือนกันหมด  เพราะในเมืองเก่านี้ห้ามสร้างตึกแบบสมัยใหม่  ในใจกลางตัวเมืองที่เต็มไปด้วยตึกรามร้านค้ามีตึกเก่าที่แปลงมาเป็นเกสท์เฮ้าส์แทรกตัวซุกอยู่มากมาย  ซึ่งหากไม่เรื่องมากในแง่ความสะดวกสบายมากนัก  ก็จะยิ่งได้พักในบรรยากาศย้อนยุคเก๋ของอารมณ์สมัยจอมยุทธแท้ๆ

ตอนที่เรามาถึงโรงแรม  ตรงลานด้านหน้าพนักงานทั้งโรงแรมออกมาล้อมวงร้องเพลงและปรบมือเข้าจังหวะเพื่อต้อนรับแบบพื้นเมืองแท้ๆ  พร้อมเสิร์ฟเหล้าขาวคนละหนึ่งจอก  ช่วยให้ท้องอุ่นวาบดีแท้  พอตกกลางคืนก็มารวมตัวกันร้องเพลงรอบกองไฟเบาๆเย็นๆแก้เหงาให้อีก  แต่ใครล่ะจะเหงา  อากาศหนาวๆกำลังดีและพระจันทร์สวยขนาดนี้ออกไปเดินเล่นตามถนนในเมืองดีกว่า  ร้านรวงที่นี่เปิดถึงเที่ยงคืน  ร้านอาหารและบาร์ก็เช่นกัน  ขอชมเมืองมังกรหยกท่ามกลางแสงจันทร์สักทีว่าจะเป็นอย่างไร

ถนนหินกลางเมืองยังแน่นขนัดไปด้วยนักท่องเที่ยวแม้จะหลังสามทุ่มแล้ว  หากโคมไฟเหลืองนวลตามร้านค้าที่ไม่มีแสงนีออนให้รำคาญตาก็ให้บรรยากาศสงบซึ้งและนิ่งได้  ตรงลานกว้างกลางเมืองที่ถนน Sifang เห็นพระจันทร์ชัดเจน  อากาศหนาวๆแบบนี้ยิ่งโรแมนติกและสงบเงียบแม้จะมีผู้คนมากมาย  แต่เมื่อเดินถึงถนน Xinhua ที่ขนาบสองฝั่งคลอง  บรรยากาศกลับคึกคักราตรีมาก  ถนนสองสายนี้เป็นศูนย์รวมร้านอาหารที่พากันตั้งโต๊ะนอกร้านขนาบริมคลอง  บรรยากาศ Al Fresco มากๆ  คนนั่งกันแน่นขนัดด้วยบรรยากาศสุดยอด  ถือเป็นแหล่งรวมร้านอาหารที่คนคึกคักพลาดไม่ได้  ที่น่ารักคือแต่ละร้านมีการตะโกนร้องเพลงดวลกันข้ามร้านด้วย  นำร้องโดยบรรดาเด็กเสิร์ฟซึ่งสุดท้ายลูกค้าทุกคนในร้าน (ที่ส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวจีน) ก็จะช่วยกันตะเบ็งร้องดวลร่วมแข่งตามกันหมด  แลดูสนุกสนานสามัคคีจีนมาก

หากต้องการดินเนอร์แบบสงบเงียบให้เข้าบรรยากาศย้อนยุคก็มีร้านอาหารเรียงตัวตามริมคลองอื่นๆอีกมากมาย  ไม่ว่าจะถนน Baisui หรือถนนเลียบแม่น้ำ Yushui (หรือ Middle River) ล้วนตามไฟเหลืองนวลหรือจุดเทียนน้อยๆฟังเสียงน้ำเซาะหินอ้อยอิ่งได้สบายใจ  อาหารส่วนมากเป็นอาหารจีนซึ่งกินอย่างไรก็ไม่โรแมนติก  (เห็นส่วนมากมากันเป็นหม้อไฟทั้งนั้น)  ฉันเลยขอขัดบรรยากาศเล็กน้อยเป็นละเลียดอาหารอิตาเลียนดีกว่า  ไม่อยากบอกว่าได้ค้นพบพิซซ่าอร่อยเหลือเชื่อที่ลี่เจียง  แป้งบางและเบาอย่างกับกินที่อิตาลี  ใส่หน้าเป็นแฮมลี่เจียงแทนพาร์มาแฮมของโปรดก็พอกล้อมแกล้มนับว่าเป็นอาหารพื้นเมืองได้เหมือนกัน  อดไม่ได้ต้องถามไถ่เลยได้ความว่าเจ้าของร้านเป็นชาวอิตาเลียนที่มีร้านอาหารที่กรุงเทพ (อ้าว)  เลยหายสงสัย

หากเดินเล่นในเมืองตอนกลางวันควรแบ่งเป็นสองรอบ  เตือนก่อนว่าแต่ละรอบอาจกินเวลาทั้งวันได้  รอบหนึ่งเอาไว้ช้อปปิ้งให้สะใจเพราะของสวยๆถูกๆทั้งนั้น  ฉันได้รองเท้าแบบใส่รำมวยจีนสีชมพูแปร๋นปักลายดอกเหมยคู่ละหกสิบบาทมาคู่หนึ่ง  เก๋ไม่ซ้ำใคร  อยากจะได้ชุดฮองเฮาของแท้แต่ต้องสั่งตัดเพราะไม่มีขนาดเลยอด  ชุดฮ่องเต้ก็เท่เหลือใจ  ใส่แล้วโลกไม่ลืม  ที่แบกกลับมามากที่สุดคือสร้อยหินเม็ดเป้งๆหลายแบบหลายสี  บ้างร้อยสลับเม็ดเงิน  ด้วยเครื่องเงินที่นี่ก็นับว่าขึ้นชื่อ  ไม่อยากเชื่อว่าสร้อยราคาเส้นละร้อยกว่าบาท  ต่อดีๆเจ็ดสิบบาทยังได้เลย  ใส่เดินนิวยอร์ครับประกันฝรั่งต้องเข้ามาขอซื้อเส้นละหลายพัน

รอบที่สองต้องตั้งใจเดินดูเมืองอย่างเดียว  ควรซื้อหนังสือท่องเที่ยวดีๆและแผนที่เอาไว้เดินตามโพย  แล้วจะค้นพบว่าแทบจะหินทุกก้อน  ตึกทุกตึก  สะพานทุกสะพาน  มีเรื่องเล่าและที่มาที่ไป  อย่างเช่นบ่อน้ำที่ชื่อ Ayican  อยู่ๆตรงถนนก็มีบันไดสี่ห้าขั้นมุดลงไปจากถนนเหมือนบันไดท่าน้ำ  ที่ตีนบันไดเป็นน้ำซึ่งเหมือนจะเป็นคลองแต่ว่าก็ไม่เห็นทางเปิดให้ออกไปไหนได้  ทีแรกนึกว่าหรือจะมีคลองลับใต้เมือง แถมตรงบันไดยังมีถ้วยข้าวต้มสองสามใบวางทิ้งไว้อีก  ใครนะล้างถ้วยแล้วไม่รู้จักเก็บ  พอค้นข้อมูลดูถึงรู้ว่าเป็นบ่อน้ำที่มาจากคลอง  สร้างเอาไว้ให้คนที่เดินทางมาได้ตักน้ำดื่มแก้กระหายในสมัยก่อน  แล้วจึงใช้ต่อมาเป็นธรรมเนียมจนปัจจุบัน  ถ้วยข้าวต้มนั่นก็คือถ้วยน้ำที่วางเอาไว้ให้ตักดื่มนั่นเอง

ในเมืองลี่เจียงมีบ่อน้ำสาธารณะหลายแห่ง  เดินผ่านเฉยๆก็คงนึกว่าชาวบ้านมาซักล้างกันตามปกติแบบริมคลองบ้านเรา  แต่หากดูดีๆจะเห็นว่าบ่อน้ำนั้นแบ่งเป็นบ่อสี่เหลี่ยมสามส่วนติดกัน  บ่อแรกใช้ดื่มกินหรือตักไปทำอาหาร  บ่อตรงกลางใช้ล้างอาหาร  และบ่อสุดท้ายใช้ซักผ้า  เป็นของสาธารณะที่เป็นที่รู้กันของชาวเมือง  และถือเป็นสัญลักษณ์เฉพาะตัวของลี่เจียง

จุดที่เป็นเสมือนใจกลางเมืองเก่าลี่เจียงคือลานหินกว้างที่ถนน Sifang ซึ่งเป็นจุดที่ถนนสำคัญทุกสายในเมืองมาบรรจบรวมกัน  รอบๆลานรายล้อมไปด้วยตึกไม้โบราณที่กลายมาเป็นร้านค้านานาชนิด  ว่ากันว่าลานนี้ได้ถูกออกแบบให้เป็นรูปร่างและสัญลักษณ์ของความสมบูรณ์แบบและศูนย์รวมพลังทั้งสี่ทิศ  ที่ลานนี้มีตึกสำคัญคือ Kegongfang Arch เป็นตึกสามชั้นซึ่งสร้างขึ้นเป็นเกียรติแก่ตระกูลหยางเนื่องจากชายในสามรุ่นของตระกูลได้สอบจอหงวนผ่าน  ติดกับ Kegongfang Arch คือร้านขายเครื่องเงินชื่อ Baisuifang ซึ่งอายุร่วมร้อยปีและกิจการได้ตกทอดมาถึงรุ่นที่แปดแล้ว  เป็นอีกร้านที่น่าเข้าไปเยี่ยมชม

ตรงลานถนน Sifang นี้มีสะพานเล็กๆอยู่อันหนึ่ง หากไม่รู้ก็คงนึกว่าเป็นสะพานธรรมดาๆ  สะพานนี้มีที่มาเกี่ยวกับ ไข่เป็ด  สาเหตุคือในสมัยก่อนนั้นเขาจะกินไข่เป็ดกันในวันพิเศษ  อย่างเช่นวันปีใหม่  แต่งงาน  หรืองานศพ  ไข่เป็ดจึงเป็นของดีที่ต้องการในเทศกาลพิเศษนั้น  ที่สุดจึงมีการสร้างสะพานที่คนมารวมกันขายไข่เป็ดขึ้นมา  แปลกดี

จากลาน Sifang นี้มีถนนที่น่าเดินเล่นแตกออกไปหลายสาย  สายที่เก๋าและฉันว่าสนุกที่สุดเพราะตึกสวยและร้านค้าก็น่าสนใจคือถนน Xinhua ซึ่งเป็นถนนที่เต็มไปด้วยร้านอาหารและร้านน้ำชานั่นเอง  ถนนนี้เป็นถนนที่เลียบอยู่บนเนินและแบ่งระหว่างเมืองลี่เจียงเก่าและใหม่ออกจากกัน  ในภาษาน่าซี่ถนนนี้เรียกว่า วู่ไบ  ซึ่งแปลว่า ขอบปลายเนิน  หากเดินจากลานถนน Sifang ไปตามถนน Xinhua ก็จะไปสุดทางที่กังหันซึ่งเป็นปากทางเข้าเมืองเก่านั่นเอง

หากอยากมองลี่เจียงในมุมสูงให้เดินไปตามถนนวู่กู่หรือ Yellow Mountain Street ซึ่งเป็นขั้นบันไดไต่สูงขึ้นไป  มองจากข้างบนจะเห็นหลังคาจีนซ้อนๆกันทั้งเมือง  ยิ่งชวนให้อดนึกไม่ได้ว่าเมื่อ 800 ปีที่แล้วนั้น  เหล่าจอมยุทธคงจะใช้วิชาตัวเบากระโดดไปตามหลังคาพวกนี้แหละ

ถนนที่กว้างและโอ่โถงที่สุดคือ East Street สองข้างเป็นตึกรามร้านค้าและข้างหนึ่งขนาบด้วยคลองเล็กๆดังเส้นเลือดเลี้ยงเมืองเช่นเคย    ริมคลองมีต้นหลิวเรียงขนาบและมีดอกไม้ปลูกในกระถางประดับเป็นแถว  แต่ฉันชอบน้อยกว่าถนน Xinhua เพราะมันดูใหม่และตั้งใจโชว์เกินไป  ไม่ได้บรรยากาศเมืองมังกรหยกโบราณเท่าไร

ถนนในลี่เจียงที่แตกออกมาจากลาน Sifang ที่มีเสน่ห์ในบรรยากาศย้อนยุคนี้มีอีกหลายสาย  ไม่ว่าจะเป็นตรอก Mishi ตรอก Xianwen ถนน Qiyi ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวและตึกรามเก่าได้บรรยากาศ  หรือถนน Baisui ที่มีร้านอาหารเงียบๆโรแมนติกอยู่หลายร้าน  และมีสะพานที่เก่าที่สุดในเมืองอยู่  คือสะพาน Limu ที่ดูเหมือนแค่แผ่นไม้หมอนรถไฟห้าหกแผ่นเรียงต่อๆกันง่ายๆ  ดูไม่ออกเลยว่าจะมีเกียรติเป็นถึงสะพานที่เก่าที่สุด

เมื่อรู้ว่าสถานที่ที่ดูธรรมดาๆที่คนมากมายเดินผ่านไปมานั้นมีเรื่องเล่าเคล้าตำนานแล้ว  ทำให้ยิ่งทึ่งและอินกับลี่เจียงมาก  เสียดายที่คงมีหลายคนที่คงได้แต่เดินช้อปปิ้งอย่างเดียว  หารู้ไม่ว่าที่เดินผ่านอนู่นั่นแหละคือเสน่ห์และเหตุผลที่แท้จริงที่ควรมาลี่เจียง

แม้เมืองเก่าลี่เจียงจะไม่ได้ใหญ่โตมาก  แต่ถนนที่คดเคี้ยวไปมาไม่รู้ว่าจะพาไปจบที่ใดหรือวนกลับมาตรงไหนก็พาให้เวลาหมดไปได้ไม่รู้ตัว  โดยเฉพาะคนที่หลงใหลบ้านเมืองเก่าอย่างฉัน  ยิ่งเป็นเมืองเก่าที่คงอยู่อย่างสมบูรณ์มาเป็นเวลา 800 กว่าปีอย่างนี้ด้วย  ยิ่งพาให้จินตนาการเตลิดไปไกลถึงวิถีชีวิตในอดีต  บ้านเรือนร้านค้าที่เรียงติดๆกันนั้น  แม้ส่วนมากจะสองชั้นเหมือนกัน  และเป็นเรือนไม้หลังคาจีนที่ดูจะคล้ายกัน  แต่ก็ไม่มีหลังไหนเลยที่เหมือนกัน  แต่ละหลังมีอไรเก๋ๆเฉพาะตัวไม่ซ้ำกันเลย  บางหลังมีกลไกบานหน้าต่างแบบโบราณที่ยังเก็บไว้เดิมๆ  ฉันสนุกและอยากรู้อยากเห็นเสียจนอดเดินดุ่ยๆเข้าไปดูเกสท์เฮ้าส์และร้านอาหารหลายแห่งไม่ได้ทั้งที่ไม่ได้ใช้บริการเขาสักหน่อย  ยิ่งดูยิ่งตื่นตาตื่นใจ

เมื่อมาถึงลี่เจียงแล้วควรออกไปเที่ยวที่อื่นนอกจากเมืองเก่าด้วย  สระมังกรดำ (Black Dragon Pool) ถือเป็นอีกหนึ่งที่พลาดไม่ได้  ภาพสะพานโค้งกลางสระน้ำ  ที่มีเก๋งจีนหลังคาสามชั้นและภูเขาอยู่ด้านหลัง  เป็นภาพที่ถูกบันทึกไว้มากที่สุด  จนน่าจะกลายเป็นสัญลักษณ์เมืองลี่เจียงไปแล้ว  สระนี้เป็นแหล่งสำรองน้ำใช้ของทั้งเมืองลี่เจียง  ด้วยกักเก็บน้ำสะอาดของหิมะที่ละลายมาจากภูเขา  น้ำจากสระนี้ไหลแบ่งออกไปเป็นคลองเล็กคลองน้อยที่ไหลจ๊อกๆอยู่ทั่วเมืองนั่นเอง  ข้างในมีวัดที่มีแม่กุญแจคล้องล็อคอยู่ที่ราวบันไดเต็มไปหมด  พอเข้าไปไหว้ถึงรู้ว่าที่นี่ต้องทำบุญด้วยแม่กุญแจที่ไม่มีลูก  ถือว่าล็อคทิ้งสิ่งไม่ดีไว้ที่วัดโดยไม่มีใครจะมาไขให้สิ่งไม่ดีต่างๆนั้นออกมาได้อีก

ภูเขาหิมะมังกรหยกเป็นอีกที่ที่น่าแวะไปชม  ออกไปจากตัวเมืองเพียง 15 ก.ม.เท่านั้น  เมื่อเอารถไปจอดไว้ที่ลานจอดรถตีนเขาแล้วจะต้องนั่งรถบัสที่จัดไว้บริการขึ้นไปเพื่อขึ้นกระเช้ากอนโดล่าสู่บนยอดเขาซึ่งสูงถึง 5,596 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล  ได้ยินว่าบนยอดเล่นสกีได้แต่ฉันไม่เห็นมี Trail เลย  เห็นแต่คนนั่งห่วงยางไถลไปบนหิมะกันอย่างสนุกสนาน  อากาศข้างบนหนาวมากๆลมก็แรง  หิมะขาวโพลนไปหมด  ภูเขานี้ได้ชื่อว่าภูเขาหิมะมังกรหยกหรือ The Jade Dragon Snow Mountain ก็เพราะยอดทั้งสิบสามนั้นแลดูเหมือนมังกรยักษ์ที่แกะสลักมาจากหยกนั่นเอง

ไม่เคยนึกเลยว่าเมืองจีนใกล้บ้านเราจะมีเมืองเล็กๆที่อนุรักษ์ไว้ได้อย่างสวยงามและคงบรรยากาศเก่าแท้ๆ  ชนิดที่หากปิดตาแล้วจับไปปล่อยไว้กลางเมือง  ฉันคงตกใจว่าหลงยุคหลุดเข้าไปในหนังจีนกำลังภายใน  ระยะทางที่ไม่ไกลจากเมืองไทยมาก  เหมาะกำลังดีสำหรับวันหยุดสั้นๆสามวัน  และรับรองว่าจะเป็นสามวันที่อิ่มกับการพักผ่อนโดยแท้   เพราะจะเป็นสามวันที่ตัดขาดจากโลกปัจจุบันที่หมุนเร็วเหลือเกิน  ก้าวเดินทางข้ามผ่านมิติแห่งกาลเวลาย้อนกลับเข้าไปในอดีต

ขอบอกว่าลี่เจียงไม่ธรรมดาเลย  ไปแล้วจะพบว่าที่นี่แหละ  ที่ประตูย้อนสู่อดีตแห่งกาลเวลามีจริง  ข้าน้อยขอคารวะ

ที่พัก*

โรงแรม He Xi อยู่ที่ The Square of South Gate Lijiang Old Town 86-0888-3105888

ร้านอาหารและของกิน*

ร้านพิซซ่าที่อร่อยอย่างผิดที่ผิดทาง  มีทั้งพิซซ่าและพาสต้านานาชนิด  “Blue Papaya” 50 Guan Men Kou Tel: 0888-5126635

บาร์ฮิปที่สุดในเมือง  “Mishi Bar & Restaurant”  มีดริ๊งค์ให้เลือกมากมายทั้งค็อกเทลและเอสเพรสโซ่  มีอาหารแนะนำคือ Sizzling Yak Meat หรือเนื้อจามรีกระทะร้อน  เจ้าของเป็นหุ้นส่วนกันระหว่างสาวจีนเก๋ทันสมัยและหนุ่มสแกนดิเนเวีย  ส่วนผสมของร้านจึงออกมาเป็นบรรยากาศเรโทรโมเดิร์นแบบที่ฝรั่งชอบ  Mishi Alley No 52 XinYi Street Old Town Lijiang Tel: 0888-5187605

ร้านอาหารริมสองฝั่งคลองที่ถนน Xinhua มีให้เลือกมากมาย  บรรยากาศคึกคักสนุกสนาน  หากต้องการบรรยาหาศโรแมนติกจุดเทียนเหลืองนวลสลัวริมน้ำต้องถนน Baisui หรือถนนเลียบแม่น้ำ Yushui เลือกโต๊ะนอกร้านขนาบริมคลองได้อารมณ์แบบ Al Fresco

ขนมเค้กลี่เจียงเป็นของประจำเมืองแท้ๆที่ต้องชิม  มีทอดขายทั่วไปในเมือง

ของควรซื้อ

บรรดาเครื่องประดับนานาชนิด  ทั้งที่เป็นสร้อยหินเม็ดเป้งๆร้อยหลากหลายแบบใส่เดินกรุงเทพเก๋มากๆ  หรือเป็นเครื่องประดับเงินแบบจีนมีร้านใหญ่ๆดูดี ร้านขายเครื่องเงินชื่อ Baisuifang มีสองสาขา  ที่ถนน Sifang และถนน Xinyi เสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าปักมือแท้ๆไม่ควรพลาด  เครื่องครัวหม้อกระทะที่ทำจากทองแดงก็น่าซื้อ  ใครชอบของเก่าแท้ๆมีร้านใหญ่ๆหลายแห่ง  เห็นมีของแบบแปลกๆหลายอย่าง  หากอยากซื้อของฝากเป็นของกินมีร้านขายเนื้อสวรรค์จามรีอยู่หลายร้าน  หรือร้านขายชาก็มาก  อย่าลืมว่าซื้อของทุกอย่างต้องต่ออย่างน้อยครึ่งราคา

เกร็ดเล็กน้อย

– การออกเสียงชื่อแม่น้ำถนนหนทางและสถานที่ต่างๆในภาษาจีนจะไม่ตรงกับการเขียนในภาษาอังกฤษ  ควรถามคนท้องที่ถึงการออกเสียงให้ถูกต้องจะได้ถามทางได้รู้เรื่องและอ่านประวัติสถานที่ต่างๆได้

– อย่าเผลอตัวกระหน่ำช้อปปิ้งจนลืมชมตึกรามบ้านช่องและถนนหนทางเด็ดขาด  อย่าลืมว่าแม้ลี่เจียงจะเต็มไปด้วยร้านขายของทั้งเมือง  เสน่ห์ที่แท้จริงของลี่เจียงคือบ้านเมืองที่คงสภาพย้อนอดีตไว้ต่างหาก  ควรซื้อหนังสือภาพสวยๆเกี่ยวกับเมืองประกอบการเดินชมจะเข้าใจและได้อรรถรสมากขึ้น

*หมายเหตุ ร้านอาหารและโรงแรมอาจไม่อัพเดตเพราะเวลาผ่านมาแล้วหลายปี

NO COMMENTS