bora-bora-hotel

“Yes I will!”

ไม่ว่าคำตอบข้างบนจะเป็นคำตอบในครั้งแรกที่เขาถาม หรือเป็นคำตอบที่ยังคงมั่นคงอยู่ สถานที่พิเศษที่ควรคู่แก่การไปเพื่อฉลองคำตอบนั้น หากถามฉันว่าต้องเป็นที่ไหนที่พิเศษจริงๆ ที่ๆไม่ได้ไปกันได้ง่ายๆ และหรูสุดๆให้สมกับเป็นการฉลองวาระสำคัญ ตอบได้ไม่ยากเลย ในรายการ”ต้องไป” ของฉันมีอยู่หนึ่งแห่งที่ตอบโจทย์ทุกอย่างข้างบนเป๊ะ เกาะสวาทหาดสวรรค์ของแท้ที่นับเป็นไข่มุกแห่งทะเลแปซิฟิกใต้ เกาะที่นักเดินทางตัวจริงหลายคนยกตำแหน่งอย่างไม่ลังเลให้เป็นเกาะที่มีน้ำทะเลสีสวยที่สุดในโลก เกาะที่โรแมนติกเหมือนถูกสร้างขึ้นมาเพื่อฮันนีมูนโดยเฉพาะ ใช่แล้ว บอราบอร่า เกาะเล็กๆเกาะหนึ่งของตาฮิติ ที่มีโรงแรมสร้างยื่นออกไปในทะเลอยู่บนน้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์เป็นสัญลักษณ์นั่นเอง

bora-overwater-bungalows-1

 

ในการวางแผนการเดินทางของฉัน ปกติแต่ละทริปก็เตรียมการล่วงหน้านาน 4-6 เดือนอยู่แล้ว แต่การเตรียมไปบอราบอร่าพบว่าการทำเรื่องต่างๆล่วงหน้านานๆนี่สำคัญจริงๆ เพราะทุกอย่างใช้เวลานานมาก วีซ่าก็ต้องยื่นที่สถานทูตฝรั่งเศสเพื่อที่จะส่งมาทำวีซ่าจริงที่ French Polynesia ใช้เวลาตั้งสองอาทิตย์ หรือการจองโรงแรมก็ใช้เวลานานมากกว่าจะได้ทุกอย่างดังใจ ปกติเวลาไปไหนฉันชอบจองทุกอย่างเองโดยทำแผนการเดินทางโดยละเอียดและเลือกที่พักและร้านอาหารที่ชอบไว้ล่วงหน้า แล้วจึงเข้าไปหาข้อเสนอที่ดีที่สุดทางอินเตอร์เนต แต่ที่บอราบอร่าใช้วิธีนี้ไม่ได้เลย ความสะดวกในการจองและราคาไม่เอื้อให้นักท่องเที่ยวแยกจองแต่ละอย่างเอง วิธีที่ดีที่สุดคือจองเป็นแพ็คเกจรวมทุกอย่างผ่านบริษัททัวร์ที่ตาฮิติ โดยเราบอกความต้องการไปว่าอยากจะอยู่ที่ไหนบ้าง อย่างเช่นเราจะไปพักหนึ่งสัปดาห์โดยอยากจะอยู่สองโรงแรม เขาก็จะจัดการเรื่องการย้ายโรงแรมให้ด้วย เนื่องจากโรงแรมทุกแห่งอยู่กระจายกันตามเกาะต่างๆ การจะเดินทางไปมาไม่ใช่ง่าย การเหมาสำเร็จรูปจึงสะดวกที่สุด

bora-bora-hotel-boatsแต่ที่ว่าสะดวกที่สุดนั้นต้องขอบอกก่อนว่าไม่ได้แปลว่าถูก บอราบอร่านี้เป็นที่รู้กันว่า มีแต่แพงกับแพงมากเท่านั้น เพราะข้าวของทุกอย่างต้องอิมพอร์ตเข้ามา การสัญจรระหว่างเกาะมีทางเลือกจำกัด เช่นไฟลท์ระหว่างเกาะมีบินแค่สายการบินเดียวเท่านั้นจึงคิดราคาได้ตามใจ ส่วนโรงแรมทั้งหลายก็มีแต่สี่กับห้าดาว พวกรีสอร์ทเล็กๆเก๋ๆของโลคอลที่รสนิยมดีแต่ราคาไม่เว่อร์ไม่มีเลย ไม่ต้องพูดถึงประเภทบังกะโลถูกๆสำหรับแบคแพคเกอร์ ดังนั้นข้อดีก็คือที่นี่มีแต่โรงแรมสวยๆ สะอาด เข้ากับธรรมชาติ และนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาจะอยู่กันเงียบๆและไม่วุ่นวาย จึงทำให้บอราบอร่าเป็นสวรรค์ของการฮันนีมูนอย่างไม่มีที่ไหนเทียบได้

และบอราบอร่านี้แหละที่เป็นต้นกำเนิดของบังกะโลบนน้ำหรือ Overwater Bungalow อย่างที่เดี๋ยวนี้มีที่มัลดีฟว์เยอะแยะ โรงแรมแห่งแรกที่สร้างห้องพักแบบนี้คือ Hotel Bora Bora ซึ่งปัจจุบันเป็นของเครือ Aman ไม่น่าเชื่อว่า Overwater Bungalow ที่นี่สร้างมาก่อนใครตั้ง 30 ปีที่แล้ว ช่างทันสมัยเกินใครจริงๆ และ Hotel Bora Bora ยังเป็นโรงแรมแห่งแรกของบอราบอร่าด้วย ที่นี่จึงเป็นหนึ่งในที่พักที่ฉันเลือก แต่ฉันไม่ได้เลือกพักที่ Overwater Bungalow ของที่นี่หรอกนะ เหตุผลก็คือต้องการความแตกต่างให้ครบรูปแบบจากสองโรงแรมที่พัก ที่ Hotel Bora Bora มีห้องพักที่เป็นบังกะโลบนหาดที่สวยมาก ทั้งแบบพูลวิลล่าและบีชวิลล่าที่กระจายกันอย่างเป็นส่วนตัวใต้ร่มมะพร้าวและสวนสวยอายุ 40 ปีที่โรงแรมภูมิใจและไม่มีที่โรงแรมอื่น บังกะโลในสวนที่เปิดประตูห้องปุ๊บเท้าก็ถึงทรายจึงนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีมาก

bora-bora-hotel-gazebo-1ในขณะที่ Hotel Bora Bora มีบรรยากาศเป็นแบบโพลีนีเชียนแท้ ซุกตัวอยู่ในสวนสวย ตั้งอยู่ทางใต้ของเกาะและครอบคลุมถึงสองหาดให้เราได้ใช้อย่างเป็นส่วนตัว อีกโรงแรมที่ฉันเลือกมีบรรยากาศทุกอย่างที่ตรงข้ามหากแต่โรแมนติกร้ายไม่แพ้กัน โรงแรม Intercontinental Resort and Thalasso Spa เป็นโรงแรมใหม่ที่เพิ่งเปิดได้แค่ 6 เดือน ดีไซน์จึงเป็นแนวโรแมนติกร่วมสมัยที่ถูกใจคนรุ่นใหม่ พร้อมความหรูหราสะดวกสบายแบบล่าสุด ห้องพักทุกห้องเป็นแบบ Overwater Bungalow ยื่นออกไปในน้ำสีฟ้าเทอร์ควอยซ์สดจ้าสงบนิ่งดังแก้วผลึกเพราะเป็นน้ำในลากูนที่อยู่ระหว่างเกาะใหญ่และเกาะวงแหวนที่โรงแรมตั้ง มองเห็นวิวยอดเขาสูง Mount Otemanu ที่มีเมฆคลุมยอดอยู่ตลอดเวลา ยอดเขาสูงเขียวเข้มด้วยต้นไม้ทึบเหมือนฮาวายจึงแลดูลึกลับเหมือนมีเผ่าพื้นเมืองซ่อนอยู่ ตัดกับสีน้ำสดนิ่งเบื้องหน้าทำให้ทั้งโรแมนติกและเอ็กโซติกในเวลาเดียวกัน วิวที่ได้จากทั้งสองแห่งจึงแตกต่างเป็นสองรสชาติที่ครบถ้วนในทริปเดียว

หลังจากจัดการเรื่องเอกสารต่างๆเรียบร้อยฉันก็ได้แต่เฝ้านับวันรอที่จะได้ไปบอราบอร่า ระหว่างนั้นใครๆก็ถามว่าใกล้สิ้นปีแล้วจะไปเที่ยวไหน เพราะทุกคนรู้ว่าจุดหมายแต่ละแห่งที่ฉันเลือกไปนั้นไม่เคยธรรมดา พอตอบว่า “บอราบอร่า” ไม่น่าเชื่อว่าน้อยคนจะรู้จัก มีแต่พวกนักเที่ยวตัวจริงหรือสาวๆหนุ่มๆหัวใจโรแมนติกที่ได้ยินแล้วร้องกรี๊ดว่า “อิจฉาๆๆๆ” ส่วนมากถามว่า “บอราบอร่าอยู่ที่ไหน” พอฉันตอบว่า “ตาฮิติ” ก็ยังไม่กระจ่าง “เฟร้นช์โพลีนีเชีย” ก็ไม่ช่วย เอาเป็นว่า “เป็นเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งของตาฮิติซึ่งอยู่ในหมู่เกาะเฟร้นช์โพลีนีเชีย ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ประมาณว่าแถวๆฮาวายแต่อยู่ใต้เส้นศูนย์สูตรแทนที่จะอยู่เหนือน่ะ” พอมีฮาวายเป็นตัวเทียบที่นี้ก็จะ “อ๋อ” แต่ก็มีบางคนถามต่อ “โอ้โหบินไกลไหมเนี่ยกว่าจะถึง” และพอฉันตอบก็มักทำหน้าอัศจรรย์ใจกับความพยายามของฉัน “ไกล บินตรงยาวสิบเอ็ดชั่วโมงกว่าไปอ็อคแลนด์ นิวซีแลนด์แล้วต้องรอเปลี่ยนเครื่องอีกสิบชั่วโมง แล้วบินต่ออีกห้าชั่วโมงถึงพาพีอีทิ (Papeete) เมืองหลวงของตาฮิติ แล้วก็ต้องต่อเครื่องเล็กภายในประเทศไปลงที่บอราบอร่า แล้วนั่งเรือสปีดไปโรงแรม เอาเป็นว่าไปจากแอลเอหรือชิลีใกล้กว่าเยอะเลยละกัน”

แต่ของดีก็มักได้มาลำบากไม่ใช่หรือ และอย่างที่บอก ไหนๆก็จะฉลองโอกาสพิเศษทั้งที ก็ต้องลงทุนกันหน่อย ถึงไปลำบากแต่เส้นทางนั้นก็มีเราสองคน ต้องพี่งพาและไว้ใจกันเพื่อไปให้ถึงจุดหมาย และเมื่อไปถึงแล้ว เรามั่นใจว่าจุดหมายนั้นจะคุ้มค่าแน่นอน

เราไปถึงตาฮิติแต่เช้าตรู่ บรรยากาศเกาะสวาทหาดสวรรค์เข้าห่อหุ้มทันทีที่เครื่องร่อนลงจอด รุ้งตัวอ้วนสีจัดพาดโค้งเป็นฉากหลังของบรรดาเครื่องบินลายดอกไม้ที่จอดเรียงกันอยู่ พอก้าวเท้าเข้าอาคารผู้โดยสารก็มีสาวชาวเกาะยืนคอยคล้องคอเราด้วยพวงมาลัยดอก Tiare Tahiti หรือ Tahitian Gardenia สีขาวคล้ายมะลิแต่กลิ่นหอมแรงเหมือนดอกจำปา นักดนตรีใส่เสื้อลายดอกแบบฮาวายสามสี่คนนั่งเล่นเครื่องดนตรีพื้นเมืองต้อนรับอยู่ใกล้กัน มองไปรอบๆสนามบินเห็นแต่นักท่องเที่ยวที่มาเป็นคู่ๆ แม้แต่ใบตรวจคนเข้าเมืองตรงวัตถุประสงค์ของการมาตาฮิติยังมีช่องให้เลือกโดยเฉพาะเลยว่า “มาฮันนีมูน” ช่างเป็นเกาะโรแมนติกแดนสวรรค์ของคนสองคนจริงๆ

เครื่องบินที่พาเรานั่งต่อจากพาพิอิติไปยังบอราบอร่าเป็นเครื่องเล็ก บินไม่สูงมาก จึงแถมให้เราได้ชมหมู่เกาะของตาฮิติทางอากาศด้วย เกาะอื่นๆของตาฮิติที่เป็นที่นิยมเช่นกันเช่น Moorea, Huahine หรือที่ไกลออกไปหน่อยก็ Marquesas ที่รายการ Survivor เคยมาถ่ายทำและเป็นบ้านแห่งสุดท้ายของพอล โกแกง หากเป็นทริปอื่นฉันคงไม่พลาดที่จะสำรวจเกาะอื่นๆเหล่านั้นแม้การเดินทางระหว่างเกาะจะแสนแพง แต่คราวนี้ตั้งใจแล้วว่าจะเที่ยวแบบไม่เหนื่อย จึงขอเจาะจงเฉพาะเกาะที่ทุกคนลงความเห็นแล้วว่าสวยที่สุด คือบอราบอร่าเท่านั้น

เมื่อเครื่องใกล้ร่อนลงเราจึงเห็นสภาพภูมิทัศน์ของบอราบอร่า อันทำให้เข้าใจว่าทำไมที่นี่จึงสวยและไม่มีที่ไหนในโลกจะสวยได้เหมือน บอราบอร่าประกอบด้วยเกาะหลักตรงกลางซึ่งเหมือนภูเขาสูงคว่ำอยู่ในน้ำ ส่วนที่เป็นที่ราบที่ผู้คนอาศัยอยู่ได้จึงมีเพียงบริเวณริมหาดรอบเกาะเท่านั้น ยอดเขาสองยอดใจกลางเกาะคือ Mt. Otemanu และ Mt. Pahia สูงแหลมมีเมฆคลุมยอดอยู่ตลอดเวลา และเห็นได้จากเกือบทุกตำแหน่งบนเกาะ ส่วนที่ทำให้ภูมิประเทศที่นี่ไม่เหมือนเกาะอื่นๆก็คือเกาะต่างๆที่เรียงตัวกันเป็นรูปวงแหวนล้อมรอบเอาเกาะหลักไว้ น้ำทะเลในส่วนที่อยู่ระหว่างเกาะหลักและเกาะวงแหวนจึงเสมือนทะเลสาบน้ำเค็มหรือลากูน คือไม่มีคลื่น ระดับน้ำขึ้นน้ำลงน้อยมาก และเป็นน้ำที่ตื้นจึงมีสีฟ้าสว่างกระจ่างสดใสดังเทอร์ควอยซ์ ยังไม่พอ ด้านนอกรอบๆเกาะวงแหวนนี้ยังมีแนวปะการังล้อมรอบเอาไว้อีกชั้น ทำให้น้ำในลากูนยิ่งนิ่งและปลอดจากคลื่นลมเข้าไปอีก ที่นี่จึงเหมาะสมที่สุดในการสร้างบ้านที่ยื่นออกไปตั้งอยู่ในน้ำ และลากูนนั้นก็เปรียบเสมือนสระว่ายน้ำส่วนตัวอันมหึมานั่นเองbora-intercontinental-top-view

 

สนามบินที่บอราบอร่ายิ่งให้ความรู้สึกใกล้หาดสวรรค์เข้าไปอีก เพราะทันทีที่ก้าวออกมาจากที่รับกระเป๋าก็เจอะกับทะเลสีฟ้าบาดใจและเรือสปีดที่จอดเรียงรายรอรับผู้โดยสารอยู่ แค่น้ำที่ท่าสนามบินก็สะอาดและสีสวยจนฉันแทบจะอดใจไม่ให้กระโดดลงไปไม่ไหวแล้ว ลืมบอกไปว่าสนามบินนี่เหมาเอาพื้นที่ของเกาะเล็กๆเกาะหนึ่งไปทั้งเกาะเลย ดังนั้นทุกคนจึงต้องออกจากสนามบินโดยนั่งเรือไปยังที่พักอันเป็นจุดหมายของตัว จากสนามบินไปถึงโรงแรม Intercontinental Thalasso Resort and Spa ที่เราจะพักกินเวลา 15 นาที ซึ่งนับว่าเป็นทัวร์แนะนำเรียกน้ำย่อยได้ดีมาก ออกจากสนามบินปุ๊บมองไปทางขวาที่เกาะหลักก็มองเห็นหมู่บ้าน Vaitape หรือ “ตัวเมือง” อยู่ไกลๆ ตรงหน้าเห็นยอด Mt. Otemanu สูงตระหง่านตามแบบเขาภูเขาไฟในแปซิฟิกใต้ เรือเลี้ยวซ้ายออกมาแล่นไปตามลากูน เห็นโรงแรมต่างๆที่อยู่บนเกาะวงแหวนเรียงตัวกัน ไม่ว่าจะโรงแรม Four Seasons ที่กำลังสร้างอยู่และจะเปิดในปลายปี 2007 โรงแรม St. Regis ที่หรูหราและแพงที่สุดในบอราบอร่าที่แองเจลิน่า โจลี่เคยมาพักแล้ว โรงแรม Le Meridien ที่เป็นแห่งแรกที่มีบังกะโลบนน้ำในลากูนในบริเวณนี้ ต่างก็มีบ้านบนน้ำยื่นออกมาจากเกาะ แต่ละหลังมีท่าน้ำส่วนตัว สวยมากๆ เห็นแล้วสร้างบรรยากาศทำให้แทบจะรอให้ถึงโรงแรมตัวเองไม่ไหวbora-overwater-bungalows-intercontinental-2

 

และแล้วถัดมาก็ถึงโรงแรมของเรา เห็นแล้วต้องร้องว้าวว่าสวยไม่แพ้ที่อื่นๆเลย ห้องพักทุกห้องเป็น Overwater Bungalow ทั้งหมด นอกจากห้องนอนที่ผนังปลายเตียงทั้งผนังเป็นหน้าต่างกระจกให้นอนชมวิวได้ทั้งคืนแล้ว ยังมีห้องน้ำกว้างที่อ่างอาบน้ำวางอิงผนังกระจกให้ชมวิวเต็มที่เช่นกัน และห้องนั่งเล่นที่โต๊ะตรงกลางนั้นเป็นโต๊ะซึ่งเจาะพื้นใส่กระจกให้ชมพื้นน้ำที่อยู่เบื้องล่าง ตกกลางคืนพอเปิดสปอตไลท์ส่องลงข้างล่างก็สามารถนั่งชมปลาได้จากในห้องเลย ส่วนที่เด็ดที่สุดคือระเบียงใหญ่ใต้หลังคามุงแฝกที่มีทั้งเก้าอี้นอนอาบแดดและโต๊ะอาหารเช้า ยังไม่พอจากระเบียงนี้มีบันไดทอดต่อลงไปสู่ชานท่าน้ำให้กระโดดลงทะเลได้เลย ท่าน้ำนี้เป็นที่โปรดของฉันยามเย็นที่แดดร่่มลมตก หลังจากว่ายน้ำออกกำลังอาบน้ำให้แห้งสบายตัวแล้ว ฉันจะลงมาปูผ้านอนกลิ้งอ่านหนังสือตากลมเย็นๆที่นี่ ใครๆเขานอนกันบนระเบียงแต่ฉันชอบอยู่ให้ใกล้น้ำที่สุด แถมยังโล่งให้ลมโกรกสบาย และได้มองออกไปเห็นวิวธรรมชาติกว้างไกล ช่างสบายและสวยจนอยากจะเก็บทุกภาพทุกลมหายใจเอาไว้ในความทรงจำให้มากที่สุดbora-overwater-bungalows-intercontinental-3

ถึงที่บอราบอร่าแม้จะมีกิจกรรมหลายอย่างที่เราอยากทำ ในเมื่อห้องสวยและสบายขนาดนี้เราจึงเลือกเอาแต่เฉพาะที่หาทำที่อื่นไม่ได้เท่านั้น กิจกรรมทั้งหลายนี้ไม่ว่าใครจะพักที่โรงแรมใดก็จองได้ในราคาเดียวกันที่โต๊ะทัวร์ของโรงแรม เพราะทุกโรงแรมจะจองไปที่บริษัทที่จัดกิจกรรมนั้นอีกที พอถึงเวลาบริษัทนั้นก็จะมารับลูกค้าตามโรงแรมต่างๆจนครบแล้วพาไปพร้อมกัน เราจอง Funny Cat และดำน้ำแบบ Scuba อย่างละวัน ส่วน Parasailing นั้นมีแบบให้ขึ้นพร้อมกันเป็นคู่ด้วยซึ่งยังไม่เคยเห็นที่อื่น (บอกแล้วว่าที่นี่น่ะเป็นที่สำหรับคู่รักเท่านั้นจึงอย่าได้แปลกใจที่ทุกอย่างจัดมาเป็นคู่) แม้จะอยากมากๆแต่ก็ตัดใจ อีกอย่างที่น่าทำมากๆคือนั่งเรือไปชมเกาะต่างๆและแวะปิกนิกมื้อกลางวันบนเกาะส่วนตัว เขาจะจัดโต๊ะอาหารสำหรับสองคนพร้อมอาหารอย่างดีพร้อมแชมเปญให้บนหาดเลย ได้บรรยากาศปิกนิกแบบมหาเศรษฐีมาก

bora-overwater-bungalows-3นอกจากนั้นแล้วเราก็ใช้เวลาอยู่ในโรงแรม ให้สมกับประหนึ่งว่าเป็นเจ้าของบ้านส่วนตัวบนน้ำและสระว่ายน้ำใหญ่เท่าลากูน อุปกรณ์กีฬาทางน้ำใหม่เอี่ยมและมีให้ยืมใช้ฟรี เราจึงสนุกกับทั้งวินเซิร์ฟ พายเรือคายัค ว่ายน้ำจากท่าน้ำส่วนตัวสลับกับนอนอาบแดด ตกเย็นก็ว่ายน้ำมาป้อนอาหารปลาที่ใต้สะพาน โดยคว้าเอาขนมปังจากตะกร้าที่โรงแรมแขวนเอาไว้ให้ เกิดมาไม่เคยเห็นปลาที่ไหนเชื่องเท่านี้มาก่อนเลย เพราะมันมาตอดกินขนมปังจากมือฉันที่ยืนแช่น้ำอยู่ครึ่งตัวเลยทีเดียว แถมบางตัวยังเย่อดึงเล่นจากมือฉันด้วย

เช้าวันรุ่งขึ้นเราไปเล่น Funny cat ที่จองไว้ เล่นกีฬาทางน้ำมาเยอะก็เพิ่งเคยเห็นที่นี่แหละเลยอยากลอง จะว่าไปแล้ว Funny cat ก็คล้ายกับเจ็ทสกี แต่มีที่นั่งเป็นเก้าอี้สำหรับสองคนนั่งคู่กัน (บอกแล้วทุกอย่างที่นี่เป็นคู่หมดจริงๆ) วางอยู่บนตัวเรือที่เป็นทุ่นสองอันเหมือนเรือคาทามาแรน มีเครื่องเอ้าท์บอร์ด 25 แรงม้าอยู่ด้านหลัง ขับเลี้ยวซ้ายขวาโดยใช้คันโยก คันเร่งเดินหน้าและถอยหลังแยก และมีหลังคาผ้าเล็กๆกันแดดด้วย ใครไม่เคยขับมาก่อนก็สามารถขับได้เลยไม่ยาก แต่จะนิ่มและได้ความเร็วดังใจอย่างช่างภาพนักเล่นเรือของฉันหรือเปล่านั่นไม่รู้ด้วย เช่าแล้วเขาไม่ได้ให้เราขับเล่นไปทั่วได้ดังใจอย่างเจ็ทสกี แต่ต้องขับตามหัวหน้าทัวร์ไป ซึ่งก็ดีเพราะเขาพาเราขับวนชมรอบทั่วทั้งเกาะเลย ได้ไปจอดสนอกเกิ้ล และขึ้นไปนั่งเล่นดื่มน้ำพักเหนื่อยบนชายหาดของเกาะส่วนตัวที่เขามาเช่าสร้างศาลาเล็กๆน่ารักไว้ด้วย ทำให้เราอดรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของเกาะไม่ได้ พอได้มาตรงนี้แล้วที่ตั้งใจไว้ว่าจะซื้อทัวร์ลันช์ปิกนิกบนเกาะส่วนตัวเลยไม่จำเป็น สนอกเกิ้ลก็อย่างงั้นๆ เห็นปะการังสวยๆมาเยอะแยะเลยเฉยๆ แต่ชอบที่ได้ลงดำผุดดำว่ายในน้ำสีสวยเหมือนโกหกกลางลากูนมากกว่า ทำให้รู้สึกว่าได้สัมผัสบอราบอร่าแบบถึงเนื้อถึงตัวจริงๆ

ส่วนที่วิเศษสุดของ Funny cat ก็คือการที่ได้ขับวนจนครบรอบเกาะ และได้เห็นบอราบอร่าอย่างครบถ้วนตั้งแต่วันแรกๆที่มาถึง ทำให้ตัดสินใจได้ง่ายว่าจะทำอะไรในวันต่อๆมา ช่วงหนึ่งที่ขับเล่นอยู่ในลากูนมีแมนต้าเรย์ตัวเบ้อเริ่มสองสามตัวมาว่ายน้ำเล่นอวดเราใกล้ๆด้วย น้ำใสแจ๋วอย่างกับกระจกทำให้เห็นได้ชัดราวกับมองดูมันในสระว่ายน้ำ รายการว่ายน้ำป้อนอาหารปลากระเบนก็เป็นอันว่าไม่จำเป็นไปอีกหนึ่ง อันที่จริงเราเคยไปว่านน้ำป้อนหมึกให้สติงเรย์กินที่เกาะเคย์แมนมาแล้ว ก็เลยเฉยๆกับทัวร์รายการนี้ตั้งแต่แรก

ยิ่งเห็นบอราบอร่าถ้วนทั่วก็ยิ่งทึ่งและตะลึงว่าทำไมถึงสวยได้ขนาดนี้ น้ำทะเลที่ว่าสีสวยนั้น ไม่ว่าจะเขียวมรกต ฟ้าเทอควอยซ์ อความารีน เอาเป็นว่าทุกเฉดสีฟ้าเขียวที่จะสวยได้นั้นมีให้เห็นหมดเลยที่บอราบอร่า แค่แล่น Funny cat ไปในลากูนคอยดูสีน้ำที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆตามความลึกตื้นและเฉดเงาของปะการังก็ตื่นเต้นจะแย่อยู่แล้ว อันนี้ต้องขอเน้นว่า ฉันเห็นทะเลมามากมายทั่วโลกยังตื่นเต้นกับความสวยของทะเลบอราบอร่าขนาดนี้ ขอรับประกันว่าแค่คำว่าสวยที่เล่าให้ฟังตรงนี้แทบไม่มีความหมายอะไรเลยเมื่อเทียบกับที่เห็นจริง ฉะนั้นต่อไปนี้เวลาใครมาเล่าว่าทะเลที่ไหนสวยที่สุด กรุณาใส่เครื่องหมายดอกจันทน์ยกเว้นบอราบอร่าไว้ในใจด้วย ตกบ่ายมีฝนพรำลงมาเบาๆ ชวนให้รุ้งสีจ้าออกมาทักทาย ฉันอยู่กลางลากูน ทั้งตัวล้อมรอบไปด้วยน้ำสีฟ้าสวยสด มองออกไปข้างหน้า ก่อนที่สายตาจะจรดยอดเขาตระหง่านกลางเกาะนั้น มีเส้นรุ้งทั้งสายทาทาบจากผืนน้ำจรดผืนน้ำ เป็นครั้งแรกจริงๆที่ฉันเห็นรุ้งทั้งสายจากปลายจรดปลายแบบไม่มีอะไรมาบังเลยแม้แต่น้อย ขอประกาศตรงนี้เลยว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ฉันสปอยล์แล้วตลอดชีวิต

bora-bora-top-view-lanscapeในเมื่อเห็นบนน้ำจนทั่วแล้ว เช้าตรู่วันต่อมาเราจึงไปดำน้ำแบบสกูบ้ากันเพื่อสำรวจโลกใต้น้ำที่บอราบอร่า เราเลือกดำแค่สองแท้งค์เพื่อจะได้กลับมาใช้เวลาตลอดบ่ายที่โรงแรม ไดฟว์แรกลงที่ Tapu ปลาที่นี่เชื่องมากเหมือนไม่เคยรู้ว่าสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์นี้กินปลาเป็นอาหาร นอกจากภาพอันอัศจรรย์ของปลา Butterfly Fish ที่ล้อมรอบเราเหมือนเป็นฟองอากาศยักษ์ห่อหุ้มแล้ว เรายังเห็น Lemon Shark มากมาย เป็นครั้งแรกที่เราเห็นฉลามพันธุ์นี้ มันตัวอ้วนๆป่องๆตรงกลาง หัวเล็ก ไม่เพรียวยาวปราดเปรียวเหมือนฉลาม Black Tip ความยาวเฉลี่ยที่เราเห็นประมาณขนาดเมตรครึ่งเป็นอย่างต่ำ มันเชื่องมาก ว่ายวนรอบๆเราเฉียดฉิวไปมาอย่างไม่สนใจตลอด มีแต่เจ้าเหาฉลามนี่สิที่ช่างสอดรู้สอดเห็นมายุ่งกับเราเสียจริง เที่ยวได้ตอดคนโน้นคนนี้ตลอด ฉันกำลังลอยตัวพักน้ำอยู่ดีๆก็เจ็บแปล๊บจนสะดุ้งที่ปลายนิ้ว นึกว่าฉลามกัด ที่ไหนได้ยกนิ้วขึ้นมาดูเจ้าเหาฉลามกัดอยู่แน่นหางไกวดุ๊กดิ๊ก สะบัดตั้งหลายทีกว่าจะหลุด เลยได้แผลติดนิ้วขึ้นมาด้วย

ส่วนไดฟว์ที่สองที่ Tapao นั้นไม่สวยเท่าที่แรก มีแต่ทรายและปะการังแข็งสีเหลืองกับสีม่วงแห้งๆ ปลาก็น้อยกว่า สาเหตุที่เราเลือกลงดำที่นี่ก็เพราะตรงนี้เป็นแหล่งชุมนุมของปลากระเบนทั้ง Eagle Ray และ Manta Ray แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่เจอมันเลยสักตัว ตอนขึ้นมาคุยกันมีฝรั่งเห็นสองสามตัวไกลๆ แต่พอนึกว่าเมื่อวานได้ชมโฉมมันเต็มที่หลายตัวตอนขับ Funny cat แล้วเลยไม่เสียดายเท่าไร อันที่จริงตรงนี้ก็เป็นบริเวณเดียวกับที่เราเห็นมันเมื่อวานนั่นแหละ

เราใช้เวลาที่เหลือนั่งๆนอนๆผึ่งแดดผึ่งลมที่โรงแรมให้คุ้มที่มาไกลแสนไกลและคุ้มกับห้องที่สวยมาก ฉันมีความเชื่อว่าบ้านที่เราอยู่ต้องสวยน่าอยู่และให้ความรู้สึกผ่อนคลายไม่น้อยไปกว่าโรงแรมเก๋ติดอันดับใดๆในโลก ฉันจึงไม่เคยลังเลที่จะลงทุนตกแต่งบ้านให้สบายแบบไม่แพ้โรงแรมไหน แต่วิวลากูนและน้ำสีเทอร์ควอยซ์ที่แค่เอื้อมก็แตะถึงของบังกะโลบนน้ำที่นี่นั้นสุดปัญญาจะแข่งจริงๆ เพราะผืนน้ำแบบนี้มีที่นี่เท่านั้น ฉันจึงขอดื่มด่ำเก็บบรรยากาศเอาไว้ให้มากที่สุด ไม่ว่าจะลงไปนอนอ่านหนังสือที่ท่าน้ำ หรือนอนมองทะเลได้เป็นวันๆ ไม่นับภาพถ่ายที่กดชัตเตอร์เอาไว้เป็นพันรูป

หากไม่ว่าโรงแรมนั้นจะสวยงามอัศจรรย์เพียงไหน หากบริการไม่ประทับใจก็ต้องให้คะแนนติดลบได้เหมือนกัน ตอนเช็คเอาท์นั้นมีเรื่องผิดพลาดมากมาย ที่แย่คือพนักงานไม่ยินดีแก้ไขหาทางออกให้เราเลย สุดท้ายผู้จัดการหนุ่มออกมานั่งคุยและขอโทษ พร้อมกับออกตัวให้เราเข้าใจถึงความยากลำบากในการบริหารโรงแรมให้มีคุณภาพแบบในสวิตเซอร์แลนด์ที่เขาเพิ่งจากมา หรือแบบในฝรั่งเศสที่ตาฮิติเองเป็น”ส่วนหนึ่ง”อยู่ เราก็พอจะเข้าใจได้ว่าความขลุกขลักย่อมมีบ้างสำหรับโรงแรมที่เพิ่งเปิดใหม่ แต่สำหรับราคาที่เราจ่ายนั้น ความผิดพลาดแบบนี้ควรจะได้รับการบริการที่เป็นเลิศกว่านี้ โดยเฉพาะเมื่อพนักงานเกือบทั้งหมดมาจากประเทศฝรั่งเศส หาใช่คนพื้นเมืองที่ิอาจจะพอแก้ตัวได้บ้างว่าไม่คุ้นกับการบริการและมาตรฐานแบบยุโรป

เราเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมแล้วย้ายมายัง Hotel Bora Bora เราเคยได้ยินว่า หากขึ้นชื่อว่าเครือ Aman ย่อมไม่ทำให้ใครผิดหวัง ในเมื่อเพิ่งเซ็งกับ Intercontinental Thalasso Resort and Spa มาหยกๆเราจึงยิ่งคาดหวังมากเป็นพิเศษกับ Hotel Bora Bora และพอมาถึงก็ไม่ผิดหวังจริงๆ ที่นี่เป็นทุกอย่างที่ตรงข้ามกับ Intercontinental จากที่ตั้งบนเกาะวงแหวนมาอยู่บนเกาะหลัก ทำให้วิวเปลี่ยนไปจากเขาสูงกลางเกาะเป็นทะเลเปิดมองออกสู่แปซิฟิก จากบรรยากาศคอนเทมโพลารี่มาสู่แบบโพลีนีเชียนแท้ จากโรงแรมใหม่เอี่ยมแกะกล่องมาสู่โรงแรมอายุสามสิบกว่าปีที่เป็นโรงแรมแรกของบอราบอร่า จากบริการอันเย็นชามาสู่บริการที่อบอุ่นประหนึ่งต้อนรับเราสู่บ้าน และเราก็ยิ่งประทับใจมากขึ้นอีกเมื่อพบว่า เราเปลี่ยนจากโรงแรมที่เต็มไปด้วยพนักงานผมทองประหนึ่งบอราบอร่าตกเป็นเมืองขึ้น มาสู่ Hotel Bora Bora ที่เต็มไปด้วยพนักงานที่เป็นชาวพื้นเมืองตัวอ้วนผมยาวเกล้ามวย นุ่งโสร่งลายดอกชบา ทัดดอกไม้และทักทายเราด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่หมายความตามที่พูดจริงๆว่า “Ia Orana” หรือ “Good Morning”

bora-bora-hotel-bedroom-deskการมาบอราบอร่านั้นโรงแรมเป็นเรื่องสำคัญ เพราะราคาแพงมากและเวลาส่วนใหญ่ก็อยู่ในโรงแรม จึงควรเลือกพิจารณาให้ดีว่าตัวเองชอบแบบไหน หากจะให้แนะนำ ฉันก็คงยืนยันว่าให้ลองทั้งสองประสบการณ์ Hotel Bora Bora นั้นไม่เหมือนใครและขึ้นชื่อว่าโรแมนติกที่สุดจึงไม่ควรพลาด ส่วนโรงแรมบนเกาะวงแหวนนั้นก็เลือกได้ตามอัธยาศัย หาก Intercontinental ปรับปรุงเรื่องบริการได้ลงตัวก็เป็นทางเลือกที่ดี หากใครไม่ต้องกังวลเรื่องราคาเลยก็ควรไป St. Regis ที่ Le Meridien มีจุดเด่นเฉพาะตัวคือมีลากูนเลี้ยงและอนุรักษ์เต่าซึ่งให้ชมได้เฉพาะแขกของโรงแรมเท่านั้น ส่วนฉันนั้นหากกลับไปอีกครั้งจะไปพักที่ Four Seasons

 

 

bora-bora-hotel-beachสี่วันสามคืนที่ Hotel Bora Bora นั้นเหมือนทั้งบอราบอร่าเป็นของเรา บังกะโลริมหาดของเรานั้นเป็นตำแหน่งที่ดีมาก สองก้าวก็ถึงทราย ทะเลแสนสวยอยู่แค่ปลายลมหายใจ เช้าก็สวย บ่ายก็สวย พระอาทิตย์ตกตอนเย็นก็สวยอีก นอกจากสวยแล้วยังเงียบมากๆ เนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซันจึงแทบไม่มีคนอื่นพักอยู่ในบังกะโลใกล้ๆเลย ทั้งสี่วันมองไปทางไหนก็แทบไม่เห็นคนอื่น มีคนบอกว่าเวลามองมาเห็นฉันนอนอยู่ในเปลญวนทั้งวันทุกวันนั้นเหมือนกับสาวโพลีนีเชียนกำลังนั่งเฝ้าชายหาดส่วนตัว ฉันสามารถนั่งมองทะเลออกไปได้เป็นชั่วโมงๆไม่มีเบื่อ ดูเท่าไรก็เหมือนจะไม่วันอิ่ม ปกติฉันนั่งเฉยๆไม่ทำอะไรไม่ได้เลย ไปเที่ยวไหนก็อดเขวแวบไปคิดเรื่องงานไม่ได้ เป็นที่รู้กันว่าฉันบ้างานขนาดหนักและสมองไม่มีวันหยุด สองปีที่ผ่านมาฉันทำงานเยอะกว่าเดิม เดินทางก็เยอะมากไม่ได้หยุด ร่างกายเหนื่อยมากจนเริ่มมีอาการแปลกๆเช่นอยู่ดีๆก็ Dehydrate หรือตัวแห้งปากแห้งขนาดหนัก ก่อนมาบอราบอร่าฉันจึงสะกดจิตตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่ทำอะไร จะไม่คิดเรื่องงาน และจะอยู่กับปัจจุบัน น่าภูมิใจที่ฉันทำได้จริงๆ แต่สองชั่วโมงหลังจากที่นั่งมองทะเลเฉยๆ อยู่ดีๆก็นึกขำตัวเองว่า ต้องจ่ายเงินตั้งมากมายเพื่อที่จะ “ไม่ทำอะไร” และก็ต้องตั้งอกตั้งใจพยาย้ามพยายามอย่างเหลือเกินที่จะไม่ทำอะไรเพื่อจะได้คุ้มเงินที่จ่ายมา

bora-bora-hotel-hammockขำตัวเองแล้วก็คิดได้ว่า เรานี่น้ารู้ทุกอย่างแต่ปฎิบัติไม่ได้สักอย่าง ตัวอย่างการใช้ชีวิตที่มีความสุขอยู่กับปัจจุบันก็มีให้เห็นอยู่ตรงหน้าทุกวันไม่รู้จักทำตาม คิดได้เช่นนั้นแล้วฉันก็ลุกขึ้น ขอใช้ชีวิตแบบไร้กังวลบ้างอย่างน้อยก็วันนี้ กระโดดลุยน้ำจ๋อมแจ๋มวิ่งไปที่เรือคานู Outrigger แบบพื้นเมืองที่มีทุ่นพยุงขนานยาวไปกับตัวเรือ ปีนขึ้นไปนั่งข้างหน้าของฝีพาย แล้วจ้วงผีพายออกสู่ทะเลกว้าง สายลมและแสงแดดที่ห่อหุ้มผิวกายจนสัมผัสได้นั้น คือความสุขที่กอดรัดฉันในปัจจุบันนั้นเอง แล้วจะสนใจพรุ่งนี้ไปทำไมกัน นี่แหละ The power of Nowbora-bora-hotel-beach-sunset

 

bora-bora-shark-1คืนแรกที่ Hotel Bora Bora ฉันตื่นมาสายโด่ง เพื่อนร่วมทางรีบคว้าคอมพิวเตอร์แลปทอปที่ดาวน์โหลดรูปแล้วเรียบร้อยมาวางตรงหน้า พลางเล่าเสียงตื่นเต้น

“เคยเห็นฉลามแบบในหนังสือการ์ตูนไม๊ แบบที่เห็นแต่กระโดงมันโผล่แหวกเหนือผิวน้ำมาน่ะ ดูนี่ๆ” ว่าแล้วก็เปิดรูปในคอมพ์ให้ดู นั่นมันกระโดงฉลามสามเหลี่ยมโผล่พ้นผิวน้ำจริงๆด้วย แล้วนั่นมันผิวน้ำหน้าบังกะโลเรานี่นา

bora-bora-shark-2“เมื่อเช้ามืดนอนไม่หลับน่ะ เห็นแสงเริ่มจับฟ้าแล้วเลยเดินออกไปถ่ายรูปเล่นที่ชายหาด ถ่ายรูปเรือใบอยู่ดีๆ เอ๊ะเห็นกระโดงฉลามในกล้องนึกว่าตาฝาด พอยกกล้องออกมองดูปรากฎเป็นกระโดงฉลามจริงๆด้วย มันมากินปลา เห็นง่ำๆกันสดๆเลย น้ำลึกแค่สองฟุตเอง” แล้วจบด้วย “แล้วที่ว่าทะเลนี้เป็นของเราคนเดียวน่ะ วันนี้จะกล้าลงไปเล่นน้ำไม๊”

ฉันดูรูปไปก็พลอยตื่นเต้นไปด้วย เห็นฉลามมาเยอะแยะเวลาดำน้ำ และก็เคยเห็นฉลามมาว่ายน้ำตื้นๆหน้าโรงแรมที่มัลดีฟว์มาแล้ว แต่ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีฉลามมารุกรานเกือบถึงบกอย่างนี้ และภาพผิวน้ำที่ถูกแหวกออกด้วยกระโดงสามเหลี่ยมโดยเห็นเจ้าของร่างแค่เป็นเงาดำตะคุ่มๆนั้นน่าเกรงขามไม่หยอก เหมือนในหนังเรื่องจอวส์เลย

แต่ฉันก็ยังลงเล่นน้ำหน้าบังกะโลตรงที่เจอฉลามนั้นทุกวันอยู่ดี เล่นคนเดียวเสียด้วย เพราะฉันเชื่อในกระแสจิตแห่งความเป็นมิตรที่สื่อถึงกันได้ในสัตว์โลกทุกชนิด

ตัวอย่างของความเชื่องและไม่กลัวคนของสัตว์ทะเลที่นี่ยังไม่หมดเท่านี้ ที่ท่าน้ำของ Hotel Bora Bora นี้มีปลากระเบนแมนต้ามากินแพลงตอนเล่นไฟให้ชมทุกคืน ตอนเช็คอินฉันเห็นแผนที่ภายในโรงแรมเขียนไว้ว่า “Manta Ray Watching Dock” เลยถามพนักงานว่ามีแมนต้าให้ดูจริงๆหรือ เธอตอบว่าจริงและมีให้ดูทุกวัน เห็นเธอพูดหน้าตาเฉยๆ ฉันก็เลยไม่ได้คาดหวังอะไรมาก คืนแรกหลังอาหารค่ำฉันเดินไปท่าน้ำ ดูซิว่าจะเห็นแมนต้าไหม พอก้าวถึงปลายท่าน้ำที่มืดสนิทรอบตัว มีเพียงไฟสปอตไลต์จากใต้ท่าน้ำที่สาดจ้าส่องลงน้ำเท่านั้น ฉันก็ต้องยกมือขึ้นปิดปากตัวเองไม่ให้เสียงที่ร้องอย่างสุดจะตื่นเต้นดังออกมา ตรงผืนน้ำใสแจ๋วสีมรกตที่มีไฟสีทองสาดส่องนั้น กระเบนแมนต้าตัวกว้างเกือบสองเมตรจากปลายปีกสู่ปลายปีกกำลังว่ายพุ่งดิ่งขึ้นสู่ผิวน้ำ พร้อมปากที่อ้ากว้างจนเห็นไปลึกในคอ มันพุ่งขึ้นพ้นผิวน้ำซึ่งอยู่ต่ำไปกว่าปลายท่าไม้ที่ฉันยืนอยู่เพียงนิดเดียวจนฉันแทบจะรู้สึกได้ถึงแรงพุ่งของมัน หากฉันเอื้อมมือออกไปก็คงสัมผัสโดนตัวมันได้โดยง่าย แต่คนที่นี่เขาเคารพในสิทธิของสัตว์น้ำทุกชนิด โดยเฉพาะที่อยู่ร่วมกันประหนึ่งเป็นครอบครัวเดียวอย่างแมนต้าที่ Hotel Bora Bora นี่ เขาเชื่อว่ามันมากินแพลงตอนและเล่นน้ำที่นี่ทุกคืนเป็นชั่วโมงๆไม่เคยขาดก็เพราะไม่เคยมีใครไปแตะต้องหรือทำร้ายมัน เราก็เชื่อและเคารพสิทธินั้นเช่นกัน ทุกๆคืนเราจึงมานั่งที่ท่าน้ำอย่างระวังให้เงียบที่สุด ดูพวกมันกางปีกตีลังกาอ้าปากดูดกินแพลงตอน ท้องฟ้าและทะเลมืดมิดเหมือนเป็นม่านและฉากโรงละคร ไฟสีทองที่ส่องต้องตัวพวกมันนั้นประหนึ่งดวงไฟที่ส่องไปยังตัวละครเอกที่เยื้องกรายร่ายรำ นุ่มนวลเนิ่นช้า และสะกดเราซึ่งเป็นผู้ชมให้เงียบตะลึงงันได้ดังต้องมนต์

และเมื่อคืนสุดท้ายมาถึง ฉันก็รู้สึกเศร้าและอาลัยอย่างบอกไม่ถูกเมื่อยามต้องบอกลาพวกมัน ในระหว่างความเงียบและตรงกลางความมืดนั้น ฉันเชื่อว่าความเป็นมิตรของเราสื่อได้ถึงกันอย่างไม่มีพรมแดน หวังว่าทะเลที่นี่จะเป็นบ้านอันสงบของพวกมันไปโดยตลอด และหวังว่านักท่องเที่ยวทุกๆคนที่มาจะเคารพและปฎิบัติต่อมันเหมือนเจ้าของบ้านตลอดไป

นอกจากจะนั่งๆนอนๆดีทอกซ์จิตใจ เดี๋ยวแช่น้ำเดี๋ยวนอนเปล เปียกๆแห้งๆสลับกันไปแล้ว เรายังไปนวดที่สปาอันขึ้นชื่อของ“อมัน” เราเลือกนวดแบบ Taurumi Massage ใช้น้ำมันมะพร้าวกับกลิ่นดอกไม้ประจำชาติ Tiare Tahiti เป็นการนวดแบบกดจุดลึกและเน้นที่สะบักแบบที่ฉันชอบเลย สบายตัวมากๆ

อย่างที่บอกว่าทุกอย่างที่บอราบอร่านี่แพงมากๆและต้องใช้จ่ายผ่านโรงแรมหมด ทำให้ยิ่งแพงเข้าไปอีก อันที่จริงพอเราย้ายมาอยู่ที่ Hotel Bora Bora นี้แล้วเราจะไม่ใช้บริการโรงแรมก็ได้เพราะตัวหมู่บ้านอยู่บนเกาะเดียวกันแค่นั่งรถไป 20 นาทีเท่านั้น และโรงแรมก็มีรถบริการเข้าหมู่บ้านฟรีเป็นรอบๆ แต่เป็นเพราะเราประทับใจกับบริการที่นี่มากเลยยอมซื้อความสะดวกกินข้าวในโรงแรมแทบทุกมื้อ ยกเว้นมื้อกลางวันวันเดียวเท่านั้นที่เราเดินเลียบหาดหน้าห้องไปกินแฮมเบอร์เกอร์และคาราเมลคัสตาร์ดแสนอร่อยแบบสูตรฝรั่งเศสแท้ที่เพิงริมทะเลไม่ไกล ดินเนอร์ที่นี่โรแมนติกจับใจ ห้องอาหารเป็นศาลากลมใหญ่มุงหลังคาแบบโพลีนีเชียนเปิดโล่งรับลมอยู่บนผาสูง โต๊ะที่เรียงรายอยู่โดยรอบนั้นจัดได้อย่างเป็นส่วนตัว และได้วิวติดทะเลแทบทุกโต๊ะโดยไม่ต้องแย่งกัน ดอกไม้พื้นเมืองปักง่ายๆในแจกัน ผ้าปูโต๊ัะลายดอกไม้ และพนักงานพื้นเมืองนุ่งโสร่งทัดดอกไม้ทั้งชายหญิง เสิร์ฟไปฮัมเพลงไป ง่ายๆ อบอุ่น หากแต่เฟิร์สคลาส

bora-bora-hotel-fire-danceดินเนอร์คืนสุดท้ายถือว่าคึกคักหน่อย เพราะเป็นบาร์บีคิวแบบพื้นเมืองพร้อมการแสดง ซึ่งดีกว่าที่โรงแรมแรกมากๆ แม้ราคาต่อหัวละ 99 ยูโรจะแพงไปหน่อยแต่ก็ถือเป็นมื้อส่งท้ายที่ทำให้ทริปนี้สมบูรณ์ อาหารบุฟเฟ่ต์ดีมากๆ มีลอบสเตอร์ตัวเบิ้มๆสดๆย่างมาเติมตลอด แกะทั้งตัวย่าง และอื่นๆอีกมากมาย นอกจากอาหารดีแล้วการแสดงก็ดี เพราะไม่ได้เป็นการเต้นอย่างเดียวแต่เป็นการโชว์สารพัดความสามารถในการดำรงชีวิตแบบชาวเกาะ ไม่ว่าจะเป็นการปอกมะพร้าวทั้งลูกจนแกะได้เนื้อและน้ำในเวลาอึดใจเดียว การปีนต้นมะพร้าว การจุดไฟโดยใช้หินและเหล็ก จบท้ายด้วยการเต้นควงคบไฟและระบำส่ายเอวที่มาเชื้อเชิญพวกเราออกไปหัดเต้นด้วย ฉันก็เคยดูการแสดงคล้ายๆแบบนี้มาหมดแล้ว ทั้งลูเอาที่ฮาวายและการแสดงของเมารีที่นิวซีแลนด์ อันที่จริงก็ไม่ต่างอะไรกันมาก แต่คงเป็นบรรยากาศที่เป็นกันเอง แขกเฉพาะของโรงแรมที่มีไม่มาก จึงต่างจากที่เคยชมมาก่อนที่มักเป็นการแสดงแบบ“โชว์วัฒนธรรม” ที่ตั้งใจจัดมา “แสดง”มากเกินไปจนรู้สึกว่าไม่ใช่ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฉันเชื่อว่านักแสดงที่กลับไปจะไม่ถอดโสร่งทิ้งแล้วสวมยีนส์แทน

เนื่องจาก Hotel Bora Bora นี้อยู่บนเกาะใหญ่ที่ตัวหมู่บ้านตั้งอยู่ด้วย เราจึงเก็บรายการเที่ยวชมหมู่บ้านนี้ไว้จนเกือบวันสุดท้ายโดยไม่ต้องเสียเงินซื้อทัวร์ นับเป็นการวางแผนที่ดีอีกอย่าง เรานั่งรถตู้บริการฟรีของโรงแรมเข้าหมู่บ้าน Vaitape ตอนบ่ายสอง คนขับบอกว่าอีกชั่วโมงครึ่งจะมารับ ฉันนึกในใจว่าทำไมให้เวลาแป๊บเดียว แต่พอเดินเที่ยวก็พบว่าครึ่งชั่วโมงก็ทั่วหมดแล้ว ที่นี่เป็นจุดที่เรือครูซลำโตๆมาจอดให้นักท่องเที่ยวขึ้นชม เราจึงเห็นเรือครูซจอดอยู่สองสามลำ และมีนักท่องเที่ยวคึกคักกว่าทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา มีตลาดขายเครื่องประดับที่ทำจากเปลือกหอยและหินรวมทั้งเสื้อลายดอกชบาทั้งหลาย แต่ไม่น่าซื้อเท่าไรและแพงเกินไป ที่ฉันชอบคือยังเห็นคุณลุงคุณป้าชาวพื้นเมืองมานั่งขายผักผลไม้เหมือนกับเก็บมาจากสวนหลังบ้านตัวเอง เพราะมีขายกันคนละไม่กี่ผลเท่านั้น เดินผ่านใครก็ทักเรา “Ia Orana” อย่างเป็นมิตรพร้อมยิ้มที่เต็มปากเต็มตาเสมอ

ของพื้นเมืองที่ขึ้นชื่อของตาฮิติมีหลายอย่าง เช่นน้ำลูกยอโนนิ วานิลลาที่ปลูกที่นี่ แต่ที่โด่งดังที่สุดและช่างเหมาะสมกับการเป็นเมืองแห่งความโรแมนติกจริงๆก็คือไข่มุกดำ อันที่จริงก่อนจะมาใครๆก็บอกให้ซื้อกลับไปแต่ฉันก็ไม่ได้คิดจะซื้อเลย แต่พอเดินเล่นในเมืองทั่งแล้วยังเหลือเวลาเลยแวะเข้าไปในร้านมุก ร้านนี้ฉันเห็นแคตตาล็อกเขามาก่อนแล้ว

bora-churchประทับใจในดีไซน์มาก Robert Wan เป็นชาวตาฮิติที่เดิมเป็นชาวจีน เขาเป็นคนแรกที่บุกเบิกทำฟาร์มไข่มุกที่ตาฮิติ ปัจจุบันมีทั้งร้านและงานดีไซน์ของตัวเองและทั้งผลิตมุกส่งออกแก่ร้านเครื่องประดับดังๆเช่นทิฟฟานี งานของเขาไม่ได้มีแต่เครื่องประดับที่เอามุกและหินมีค่าอื่นๆมาประกอบกัน แต่เขาเอาเส้นหนัง ผ้าไหม ผ้าชีฟอง และวัสดุอื่นๆอีกมากมายที่ไม่เคนเห็นใครเอามาใช้กันมาร้อยประดับกับมุก ร้านเขาที่หมู่บ้านในบอราบอร่านี้เป็นร้านใหญ่ ชารอน สโตนก็เคยมาซื้อที่ร้านนี้ด้วย ฉันเข้าไปชมแล้วเพลินเหมือนดูงานศิลป์ โช้กเกอร์ทำจากผ้าไหมตัดรุ่งๆริ่งๆร้อยมุกหลายเม็ดด้านหน้าเวลาใส่เมื่อผูกหลังคอแล้วชายผ้าด้านหลังปล่อยยาวลงไปถึงเอวเหมาะกับเสื้อเปิดหลัง สร้อยหนังสีน้ำตาลแบบคาวบอยร้อยมุกดำสลับมัดปมหนังยาวดูเท่ทอมบอยหากเป็นผู้หญิง หรือเข็มกลัดที่ทำจากผ้าเป็นดอกไม้แต่มีเกสรตรงกลางเป็นมุก ฉันชอบที่เขาใช้วัสดุที่เหนือความคาดหมายมาประกอบกับมุก ทำให้ไม่น่าเบื่อและไม่แก่ หลุดพ้นความเชยที่มักจะมากับคำว่ามุก ชอบที่วัสดุเหล่านั้นไม่ใช่ของมีค่า เพราะรู้สึกว่าคนซื้อ “กล้า” และใส่เพราะค่าที่ความชอบจริงๆ และที่ชอบที่สุดก็คือดีไซน์ที่ไม่ตายตัวหากเหลือไว้ให้ผู้ใส่เติมจินตนาการเอาเอง เช่นจะพันกี่รอบหรือจะผูกด้านหน้าหรือหลังก็ได้ ทำให้ฉันรู้สึกว่าเป็นงานดีไซน์ที่ค่าของความคิดอยู่มากมายเกินค่าของราคา

แล้วตบะก็แตกลงเมื่อมาพบกับสร้อยเส้นยาวชื่อ The Four Seasons อันประกอบด้วยลูกตุ้มใหญ่ยักษ์ทำจากผ้าไหมสีแดงก่ำและน้ำตาลทอง ร้อยด้วยเชือกผ้าสีดำสลับกับมุกดำขนาดเกือบ 12 มิลลิเมตรสิบห้าเม็ด เมื่อใส่แล้วยาวเลยเอวทำให้สามารถร้อยทบพันไปมาสองรอบก็ได้ จะว่าไปแล้วเวลาใส่เห็นลูกตุ้มผ้าไหมเด่นกว่ามุกเสียอีก แต่แบบนี้แหละที่ฉันชอบ ของมีราคาเก็บไว้เผยให้เห็นแค่นิดๆ ไม่ชอบอวดให้โฉ่งฉ่าง และแปลกไม่เหมือนใคร ฉันก็เลยได้มุกดำมาหนึ่งเส้นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ขากลับเราต้องออกจากบอราบอร่าแล้วมาค้างที่ตัวเมืองพาพีอิติที่ตาฮิติหนึ่งคืนเพื่อต่อเครื่องแต่เช้าตรู่ เรามีเวลาช่วงบ่ายที่พาพีอิติ จึงนั่งรถเมล์สองแถวไม้ทาสีน่ารักเข้าไปเที่ยวที่ Marche Cenbral หรือ Central Market ตลาดพื้นเมืองขายทั้งของกินอาหารสดแห้งดอกไม้พวงมาลัยแก่ชาวเมืองและของที่ระลึกแก่นักท่องเที่ยว เช่นสร้อยไม่สดหลากสีไว้ใส่กับชุดพื้นเมืองและกระโปรงฮาวาย ผลิตภัณฑ์ประเภทโอทอปทั้งหลาย น้ำลูกยอ ครีมและโลชั่นน้ำมันที่ทำจากสมุนไพรพื้นเมือง วานิลลาที่ขายทั้งเป็นฝักสดๆและสกัดเป็นน้ำมันแล้ว

ตลาดนี้อยู่ห่างจากหาดริมน้ำนิดเดียว ซึ่งมีทางเดินเลียบน้ำชมบรรยากาศเมืองได้ เห็นเรือครูซหลายลำจอดอยู่หลายลำทีเดียว เดินเล่นริมน้ำและนั่งรถเมล์ไปกลับก็เห็นตัวเมืองได้เกือบทั่ว ก็เหมือนเมืองหลวงทั่วไป จะเล็กจะใหญ่ก็วุ่นวายทั้งนั้น ช่างผิดกับบอราบอร่าอันแสนสงบที่เพิ่งจากมา เรายังอยู่ในอารมณ์อันนิ่งและช้าจึงไม่อยากเหนื่อยกับพาพีอิติมาก

bora-bora-papeete-market-1เราจบมื้อสุดท้ายในตาฮิติที่ร้านอาหารที่ยื่นไปในทะเลของโรงแรม นั่งดูพระอาทิตย์ตกดินแล้วทิ้งแสงสีแสดเศร้าไว้บนฟ้าเบื้องหลัง ฉันไม่เคยชอบสีท้องฟ้าที่พระอาทิตย์ลาลับไปแล้วเลย มันเศร้ายังไงไม่รู้ ปกติฉันรักการเดินทางแต่ไม่เคยไม่อยากกลับบ้าน หากที่ไหนชอบมากก็จะวางแผนกลับมาใหม่ในรูปแบบที่ต่างไปจากเดิม ไม่เคยเลยที่จะอาลัยอาวรณ์หรือรู้สึกไม่อยากกลับไปทำงาน บอราบอร่าคือสถานที่แห่งแรกจริงๆ ที่ทำให้ฉันรู้สึกอย่างนี้

คงเป็นเพราะว่าทริปนี้ถือเป็นอีกทริปที่สุดยอดในดวงใจของฉัน

bora-bora-papeete-sunsetบทสรุปคือว่า บอราบอร่าเกาะโรแมนติกในฝันของคนมากมายนี้ นอกจากจะมีทะเลสวยที่สุดสมกับที่หลายคนลงความเห็นจริงๆแล้ว ยังสงบ นิ่ง บริสุทธิ์ และอบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความรัก หากจะมีคำเตือนก็คงมีแค่สองอย่างคือ อย่ามากับคนที่โรแมนติกด้วยไม่ได้เด็ดขาด กับให้เตรียมใจเลยว่ามาแล้วสปอยล์แน่นอนเพราะจะไม่เห็นทะเลที่ไหนสวยอีกแล้ว ดังนั้นหากใครถามว่า ไปบอราบอร่ามาแล้วจะกลับไปอีกไหม ฉันตอบได้แบบไม่ลังเลใจเลยว่า

“Yes, I will!”bora-bora-hotel-pier


ที่พัก

โรงแรมบนน้ำ

– Hotel Bora Bora (689) 604 460 www.amanresorts.com

– Intercontinental Resort and Thalasso Spa (689) 607 600 www.boraboraspa.interconti.com

– St. Regis (689) 607888 http://www.starwoodhotels.com/stregis

– Le Meridien Bora Bora (689) 605151 http://www.starwoodhotels.com/lemeridien/index.html

– Bora Bora Nui Resort (689) 603300 http://www.boraboranui.com

– Sofitel Motu (+689)605600 http://www.sofitel.com/sofitel/fichehotel/gb/sof/resort/2755/fiche_hotel.shtml

– Four Seasons  http://www.fourseasons.com

กิจกรรมต่างๆ

– ปิกนิคที่ Motu (เกาะเล็กๆส่วนตัว) สามารถจัดแบบเก๋โดยตั้งโต๊ะอาหารอยู่ในน้ำแล้วนั่งแช่น้ำกิน

– กีฬาทางน้ำทุกชนิดจัดได้เป็นคู่ๆ Parasailing ดำน้ำลึกหรือสนอกเกิ้ล เล่น Funny Cat เล่นเรือใบในลากูนรอบเกาะ

– ไม่ควรพลาดการพายเรือหรือเล่นเรือใบแบบ Outrigger ซึ่งเป็นเรือแบบโพลีนีเชียน

– ว่ายน้ำป้อนอาหารปลากระเบนหรือดำน้ำป้อนอาหารฉลาม ที่ Lagoonarium ของโรงแรม Le Meridien แถมมีบริการถ่ายรูปและวีดิโอให้เก็บเป็นที่ระลึกด้วย

– ขับรถขับเคลื่อนสี่ล้อตะลุยป่ากลางเกาะ

– เที่ยวชมหมู่บ้าน Vaitape

แต่งงานแบบโพลีนีเชียน สามารถจัดที่โรงแรมหรือบนเกาะ Motu แบบส่วนตัวก็ได้ (แต่ไม่ถือเป็นพิธีที่เป็นทางการตามศาสนาหรือกฎหมาย)

– ทุกโรงแรมสามารถสร้างสรรค์จัดกิจกรรมโรแมนติกทั้งหลาย ไม่ว่าจะนั่งเรือจิบแชมเปญชมพระอาทิตย์ตก ดินเนอร์บนเกาะส่วนตัว หรืออาหารเช้าที่ชาวพื้นเมืองพายเรือมาส่งที่ท่าน้ำหน้าบังละโลส่วนตัว

ของควรซื้อ

– บรรดาเครื่องประดับนานาชนิด โดนเฉพาะสร้อยหินเม็ดเป้งๆร้อยหลากหลายแบบใส่เดินกรุงเทพเก๋มากๆ

– งานแกะสลักเป็นศิลปะแบบโพลีนีเชียน “Tiki” อาจเป็นหน้ากาก ของแต่งบ้าน เครื่องใช้ต่างๆ มักเป็นรูปเต่า สัตว์ต่างๆ ต้นไม้ มักทำจากไม้โดยเฉพาะ Rose wood

Tapa ผ้ามัดย้อมเขียนลายแบบพื้นเมืองสีสันสดใส

– ฝักวานิลลาสดหรือน้ำมันหอมระเหยวานิลลา

– น้ำลูกยอ Noni เชื่อว่าเต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย บ้างอ้างว่ารักษาได้สารพัดโรคอย่างกับยาผีบอก จนขึ้นโรงขึ้นศาลที่อเมริกามาแล้ว ควรบริโภคโดยใช้วิจารณญาณ และคิดเสียว่าเป็นสมุนไพรอย่างหนึ่ง

– ไข่มุกดำ ควรเลือกซื้อจากร้านที่มีใบรับประกัน เช่น Robert Wan,Tahia Collins, The Polynesian Bureau of Expertise (O.P.E.C.) สามารถขอคืนภาษีที่สนามบินได้ มุกดำไม่ได้แปลว่าต้องดำสนิทเท่านั้น แต่อาจออกเป็นสีต่างๆได้เช่นดำเหลือบชมพู อมเขียว สนิมน้ำตาล ควรเลือกสีที่ใส่แล้วเข้ากับผิวเรามากที่สุด

เกร็ดเล็กน้อย

– ภาษาราชการของตาฮิติคือฝรั่งเศสและตาฮิเชียน แต่คนส่วนมากพูดภาษาอังกฤษได้ดี

– ที่ตาฮิติไม่จำเป็นต้องให้ทิปเลย ชาวเกาะถือเป็นเรื่องยินดีด้วยซ้ำที่ได้ต้อนรับผู้มาเยื่อนอย่างดี

– สกุลเงินที่ใช้คือ เฟร้นช์แปซิฟิกฟรังก์ โดยประมาณ 95 CFP เท่ากับ 1 $US

– การทำวีซ่าใช้เวลานานมากและต้องมีหลักฐานว่าเราได้ชำระเงินค่าใช้จ่ายเต็มจำนวนล่วงหน้าหมดแล้ว และการจัดการจองโรงแรมและการเดินทางด้วยตัวเองเองทำได้ยากมาก เนื่องจากตาฮิติสนับสนุนให้บริษัททัวร์ท้องถิ่นจัดการทุกอย่างทั้งหมด จึงควรเหมาจองทุกอย่างให้เป็นแพ็คเก็จ

– หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ http://tahiti-explorer.com เขียนได้ละเอียดดีมาก (ตลกด้วย ตรงเรื่องวีซ่าเขียนไว้ว่า ตาฮิติไม่มีการออกวีซ่าทำงานให้ และไม่มีงานให้ทำด้วย… ฮา ฮา)


ตีพิมพ์ในนิตยสาร Anywhere ธันวาคม 2006

แก้ไขปรับปรุง กรกฎาคม 2016

NO COMMENTS