พอบอกว่า ไป Antarctica มา ทุกคนก็ถามเสียงสูงว่า ไปยากไหม ไปอย่างไร แพงไหม ฯลฯ และทำไมทวีปที่เจ็ดหรือ The Seventh Continent นี้ จึงเป็นจุดหมายสุดยอดที่สุดในชีวิตที่ฉันจะต้องดั้นด้นไปให้ได้ จึงขอเขียนรีวิวไว้แบบครบถ้วน ให้หายสงสัยกันทุกคำถาม

𝔸𝕟𝕥𝕒𝕣𝕔𝕥𝕚𝕔𝕒 อยู่ที่ไหน เป็นทวีปหรืออะไร ประเทศไหนเป็นเจ้าของ

แอนตาร์กติกาอยู่ที่ขั้วโลกใต้ เป็นทวีปที่ไม่มีมนุษย์อาศัยอยู่ และเนื่องจากคนส่วนน้อยที่มีโอกาสไปเยือน จึงนับเป็นทวีปที่เจ็ดในโลก ในอดีตเมื่อรู้แล้วว่ามีแผ่นดินอยู่ใต้ลงไปจากอาร์เจนตินาจึงมีคนจากหลายชาติพยายามที่จะเดินทางไปให้ถึงและสำรวจ แต่ชาติแรกที่ไปถึงและขึ้นฝั่งได้สำเร็จคือนอร์เวย์  แปลกดีที่นอร์เวย์อยู่ถึงขั้วโลกเหนือแต่กลับเป็นชาติแรกที่มาพิชิตดินแดนขั้วโลกใต้ได้ คงเป็นเพราะมีความสามารถในการฝ่าอากาศหฤโหดเหมือนกันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ หลังจากนั้นก็มีอีกหลายชาติที่ตามมาสำรวจจนสำเร็จ และสุดท้ายมีประเทศทั้งหมดถึง 7 ประเทศที่ประกาศว่าดินแดนในบางส่วนของแอนตาร์กติกาเป็นของตัว คือนอร์เวย์ อังกฤษ อาร์เจนตินา ชิลี ออสเตรเลีย ฝรั่งเศส และนิวซีแลนด์ ซึ่งในส่วนดินแดนที่ประกาศเป็นเจ้าของกันนั้นก็ไม่ใช่จะตกลงกันได้อย่างชัดเจนและเป็นที่ยอมรับทั้งหมด มีการเคลมทับซ้อนและมั่วกันอยู่เหมือนกันจนถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ดีเมื่อปี 1959 ได้มีการลงนามในสนธิสัญญาโดยประเทศเหล่านี้และประเทศอื่นอีกรวมทั้งหมด 54 ประเทศว่าจะไม่มีการประกาศว่าดินแดนใดในแอนตาร์กติกาเป็นของประเทศใดอีก และทวีปนี้จะสงวนเอาไว้สำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น ห้ามใช้สำหรับกิจกรรมใดๆ ในทางการทหาร การขุดเจาะทรัพยากร ทำการใดๆ เกี่ยวกับระเบิดนิวเคลียร์ หรือทิ้งของเสียจากนิวเคลียร์ลงไปที่ทวีปนี้ ดังนั้นกิจกรรมที่เกิดขึ้นในแอนตาร์กติกาในปัจจุบันจึงมีเพียงการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และชีววิทยา การท่องเที่ยว และประมงเท่านั้น

ภูมิประเทศและภูมิอากาศเป็นอย่างไร

แอนตาร์กติกาคือทวีปที่หนาวที่สุดในโลก แห้งแล้งที่สุดในโลก ลมแรงที่สุดในโลก และอยู่ไกลที่สุดในโลก อุณหภูมิต่ำสุดที่เคยวัดได้ในโลกนี้ก็วัดได้ที่แอนตาร์กติกา คือที่ -89.2 องศาเซลเซียส แต่โดยเฉลี่ยแล้วอุณหภูมิจะอยู่ระหว่าง -80 องศาในใจกลางของทวีป กับ 10 องศาตรงชายฝั่งในหน้าร้อน และหลายคนมักจะแปลกใจเมื่อได้ยินว่านี่คือทวีปที่แห้งแล้งที่สุดเพราะเห็นน้ำแข็งและหิมะขาวโพลนไปหมด แต่อันที่จริงทวีปนี้มีไอน้ำในอากาศที่ตกลงมาเป็นฝนหรือหิมะน้อยมากๆ จนเข้าข่ายแห้งแล้งระดับทะเลทราย เรียกกันว่าเป็นทะเลทรายน้ำแข็งหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Polar desert หรือ white desert

สำหรับขนาดนั้นแอนตาร์กติกานับเป็นทวีปที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 5 ถ้าจะเทียบให้ดูง่ายๆก็คือมีขนาดใหญ่กว่าทวีปยุโรปถึง 40% พื้นที่ทั้งหมดนั้นตั้งอยู่ทางใต้ของเส้น Antarctic Circle ดังนั้นตรงจุดที่เป็นขั้วโลกใต้จริงๆทั้ง Geographical pole และ Magnetic pole (อันนี้ขอไม่อธิบายในรายละเอียดเพราะเดี๋ยวจะยาวเกิน) จึงอยู่ใจกลางผืนแผ่นดินของทวีปแอนตาร์กติกา ต่างกับขั้วโลกเหนือที่ตรงจุดขั้วโลกเหนือนั้นไม่มีพื้นแผ่นดินอยู่เลย เป็นแต่เพียงน้ำทะเลที่แข็งจนเป็นน้ำแข็ง ถึงแม้แอนตาร์กติกาจะเป็นพื้นแผ่นดินหากแต่ก็ถูกปลุกคลุมไปด้วยแผ่นน้ำแข็งหรือ Ice sheet ที่หนาถึงเกือบ 2 กิโลเมตรทีเดียว ดังนั้นจึงสรุปได้ว่าน้ำจืดถึง 61% ของโลกนั้นถูกกักเก็บอยู่ที่แอนตาร์กติกานี่เอง ที่น่าสนใจก็คือแอนตาร์กติกามีภูเขาไฟด้วย และก็ยังปะทุอยู่ทุกวันๆ ละเป็น 10 ครั้ง

ในเมื่อภูมิอากาศหนาวโหดและลมแรงจัดเช่นนี้จึงไม่แปลกที่การจะไปถึงได้นั้นไม่ง่ายเลย แถมในทะเลก็ยังมีภูเขาน้ำแข็งล่องลอยอยู่เต็มปิดกั้นไม่ให้เรือเข้าฝั่งได้ง่ายๆ สำหรับการท่องเที่ยวนั่นเรือส่วนมากจะพานักท่องเที่ยวเข้าไปเพียงตามริมชายฝั่งทะเล หากเป็นหรือใหญ่ที่มีนักท่องเที่ยวเกิน 500 คนก็จะไม่ได้รับอนุญาตให้ขึ้นฝั่งไม่ว่าจะเป็นเกาะหรือแผ่นดินใหญ่ก็ตาม นักท่องเที่ยวจะทำได้เพียงแค่อยู่บนเรือใหญ่หรือลงเรือยางแล่นไปในทะเลที่ชายฝั่งเท่านั้น และส่วนมากนักท่องเที่ยวจะไปกันทางตะวันตกของทวีปโดยเฉพาะทางตอนเหนือซึ่งเป็นแหลมยื่นออกไปในทะเลและมีเกาะเล็กเกาะน้อยล้อมรอบ ฉันเคยอ่านว่ามีเหมือนกันที่พาขึ้นไปปักเต็นท์นอนอยู่บนด้านในทวีปเลยแต่ค่าใช้จ่ายแพงมากๆ และไม่สามารถรับประกันการเดินทางได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับอากาศ ในส่วนของทางตะวันออกและลึกเข้าไปในแผ่นดินของทวีปนี้ คนที่จะไปอยู่จริงๆก็คงจะมีเพียงแต่นักวิทยาศาสตร์ของชาติต่างๆที่ประจำอยู่ที่สถานีวิจัย ซึ่งนับแล้วทวีปอันกว้างใหญ่ไพศาลแห่งนี้มีคนอยู่ประจำเพียงแค่ 5000 คนในฤดูร้อนและ 1000 คนในฤดูหนาวเท่านั้น

ไปทำอะไร

บางคนถามว่า ถ้าอากาศมันโหดร้ายขนาดนี้แล้วไปแอนตาร์กติกาไปทำอะไรกัน คำตอบคือเราไปชื่นชมธรรมชาติและสัตว์ต่างๆที่หาดูได้ยากและอาศัยอยู่ที่นั่น ดังนั้นใครที่จะไปเที่ยวแอนตาร์กติกาจะต้องเป็นคนที่ชอบใช้เวลาอยู่ในธรรมชาติ ชอบดูสัตว์ต่างๆ ชอบเดินป่าเดินเขา ร่างกายแข็งแรงพอสมควร และชอบที่จะศึกษาหาความรู้ใหม่เกี่ยวกับชีววิทยาและวิทยาศาสตร์ สำหรับตัวฉันเองนั้นชอบที่จะเดินเขาอยู่แล้ว โดยเฉพาะเดินป่าลุยหิมะในหน้าหนาวนี่เป็นกิจกรรมล่าสุดที่ค้นพบเลยว่าชอบมาก การไปดูสัตว์ในธรรมชาตินี่ก็ชอบอยู่แล้วโดยเฉพาะสัตว์น้ำนี่ชอบมากๆ ตามประสานักดำน้ำ ดังนั้นเรื่องกิจกรรมจึงเป็นสิ่งที่ถูกใจอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เร้าใจที่สุดที่ทำให้ฉันต้องไปให้ได้ก็คือความรู้สึกที่ว่าจะต้องไปให้ครบทุกทวีปในโลก และต้องไปพิชิตทวีปที่อยู่ไกลที่สุดในโลกให้ได้! ที่สำคัญที่สุดฉันจะต้องไปเหยียบบนพื้นแผ่นดินใหญ่ของทวีปแอนตาร์กติกาด้วย จะไม่ไปถึงเพียงเฉพาะเกาะต่างๆ รอบๆ เท่านั้น จึงจะเรียกได้ว่าไปถึงแล้วจริงๆ

ไปอย่างไร

สำหรับนักท่องเที่ยวนั้นทางที่สะดวกที่สุดคือนั่งเรือ Cruise ไป โดยจุดที่เรือจะออกก็มีหลายเมืองหลายประเทศเช่น ชิลี เซ้าธ์แอฟริกา นิวซีแลนด์ และอาร์เจนตินา แต่ที่เป็นที่นิยมและสะดวกที่สุดก็คือออกจากเมือง Ushuaia ของอาร์เจนตินาแบบที่ฉันไปนี่แหละ เพราะว่าเป็นเส้นทางที่สั้นที่สุดแล้วที่จะเข้าถึงทวีปแอนตาร์กติกา แต่นั่นก็ยังเป็นระยะทางถึง 800 กิโลเมตร และต้องแล่นเรือผ่าน Drake passage ที่ขึ้นชื่อว่าคลื่นลมแรงอย่างมาก ผู้โดยสารหลายคนเมาเรือ และขนาดเรือใหญ่มากๆ ก็ยังโคลงเคลงข้าวของหล่นกระจัดกระจายแก้วแตกกันเป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็มีหลายครั้งเช่นกันที่คลื่นลมแรงมากจนเรือต้องหันหัวกลับ สำหรับทางเลือกอื่นนั้นก็มีเช่นกันที่นั่งเครื่องบินจากชิลีหรืออาร์เจนตินาไปลงที่แอนตาร์กติกาได้เลย แต่ก็เช่นกัน จะเอาแน่เอานอนกับอากาศและตารางบินไม่ได้ มีบ่อยเช่นกันที่คนไปรอขึ้นเครื่องบินแล้วเครื่องออกไม่ได้ ทริปล่มทั้งๆ ที่เดินทางไกลไปจนถึงขนาดนั้นแล้วก็ต้องอกหักกลับไป อันที่จริงทริปที่ฉันฝันและใฝ่ที่สุดที่จะไปคือบินจากเคปทาวน์ไปที่แคมป์หรูซึ่งตั้งอยู่ในตัวทวีปเลย มีบริษัทที่รับจัดทัวร์แบบนี้แบบ Exclusive มาก หนึ่งทริปรับนักท่องเที่ยวแค่ 10 คนเท่านั้น เต็นท์ที่ตั้งอยู่มีความสะดวกสบายทุกสิ่งอัน มีแม้กระทั่งเชฟดังทำกับข้าวให้กินทุกมื้อ คล้ายไปซาฟารีแบบหรูๆเลย หนึ่งปีเขาจะจัดแค่สองหรือสามทริปเท่านั้น การไปแบบนี้จะไม่ได้ล่องเรือไปตามเกาะแก่ง จะเป็นการเที่ยวแบบเดินเทร็กกิ้งในหิมะเท่านั้น แต่สาเหตุที่ฉันไม่เลือกไปอันนี้ก็เป็นเพราะว่ามันแพงมากๆ เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วตอนตั้งใจไว้ว่าจะไปและขอเก็บเงินก่อนนั้นสนนราคาหัวละหนึ่งล้านบาท แต่ก่อนไปครั้งนี้เช็คอีกทีปาเข้าไปหัวละสามล้านบาทแล้ว! นั่งเรือครูซไปแทนก็แล้วกัน

ไปเมื่อไหร่ดี

การไปเที่ยวแอนตาร์กติกานั้นจะไปได้เฉพาะช่วงหน้าร้อน คือตั้งแต่เดือนพฤศจิกายนไปจนถึงมีนาคม ถ้าใครไปช่วงพฤศจิกายนอย่างฉันก็จะยังค่อนข้างหนาวอยู่ อากาศคลื่นลมก็จะยังแปรปรวนอยู่ แต่เราจะได้เห็นแอนตาร์กติกาแบบสีขาวโพลนและจะได้เห็นช่วงเวลาที่เพนกวินกำลังเริ่มผสมพันธุ์และวางไข่ ถ้าใครไปช่วงหน้าร้อนก็จะได้เห็นลูกเพนกวินเล็กๆ ที่เกิดออกมาจากไข่แล้ว และจะมีโอกาสท้องฟ้ากระจ่างอากาศดีมากกว่า การถ่ายรูปสีสันก็จะสดใสกว่า อากาศก็จะอุ่นกว่า อันนี้ก็ต้องเลือกเอาตามจริตของแต่ละคนว่าชอบแบบไหน

ไปเรือแบบไหน ยี่ห้ออะไรดี

สมัยนี้มีเรือสำราญขนาดใหญ่พาเที่ยวไปแอนตาร์กติกาเยอะกว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วมาก เมื่อก่อนต้องไปเรือตัดน้ำแข็งที่เป็นพวกเรือสำรวจเก่า จะไม่ได้หรูหราสะดวกสบายอย่างสมัยนี้ เดี๋ยวนี้มียี่ห้อเรือสำราญใหญ่ๆหลายบริษัท ระดับความหรูหราก็จะต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วจะค่อนข้างไปทางหรูหรากว่าเรือสำราญที่แล่นตามเส้นทางอื่น ขนาดก็มีทั้งขนาดใหญ่ผู้โดยสารเกือบ 500 คนหรือขนาดเล็ก 100 กว่าคน สำหรับฉันนั้นขอเรือเล็กที่สุดที่จะเป็นไปได้เพราะไม่ชอบคนเยอะ และสาเหตุสำคัญก็คือถ้าไปเรือที่มีผู้โดยสารเกิน 500 คนขึ้นไปจะอดขึ้นฝั่ง ซึ่งความตั้งใจของฉันนั้นจะต้องขึ้นไปเหยียบแผ่นดินใหญ่แอนตาร์กติกาให้ได้ เรือเล็กจึงเป็นคำตอบเดียวเท่านั้น แต่สำหรับบางคนนั้นอาจจะชอบเรือใหญ่คนเยอะมากกว่าเพราะมีอะไรให้ทำมากกว่า จำนวนห้องอาหารก็มากกว่า ให้เลือกหมุนเวียนเปลี่ยนไปได้ไม่เบื่อ ห้องยิมห้องซาวน่าสระว่ายน้ำกิจกรรมต่างๆ นานาก็จะมีให้ทำมากกว่า ไม่เบื่อ ดังนั้นก็นานาจิตตังตามจริตแต่ละคน

สำหรับยี่ห้อเรือที่ไปนั้นมีทั้งเรือสำราญยี่ห้อดังเป็นที่รู้จักระดับโลกอยู่แล้วเช่น Silversea, Seabourne, Celebrity, Princess หรือยี่ห้อที่เน้นเฉพาะเจาะจงจุดหมายที่ขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้เป็นสายเน้นกิจกรรม เช่น Quark, G Expeditions, Hurtigruten หรือกระทั่ง National Geographic ก็มีเรือพาท่องเที่ยวของตัวเองเช่นกัน อาจจะเป็นเพราะต้องใช้งานสำรวจอยู่แล้วหรือเปล่าก็ไม่ทราบ สำหรับตัวฉันนั้นหลังจากศึกษาหลายปัจจัยแล้วก็มาเหลือทางเลือกตัวสุดท้ายที่ตอบโจทย์ของตัวเองอยู่สามยี่ห้อคือ Ponant, Aurora และ Swan Hellenic เพราะสามเจ้านี้นับว่าเป็นเรือที่ค่อนข้างอยู่ในระดับหรูอยู่สบายแต่ว่ายังเน้นกิจกรรม Expedition ทั้งบนบกและในน้ำเยอะ คือเรือยี่ห้อหรูหราระดับโลกนั้นมักจะเน้นความสุขสบายสำราญบนเรือมากกว่ากิจกรรมลุยๆ แต่ถ้าเป็นเรือระดับถูกลงมาหน่อยเน้นกิจกรรมลุยๆ ก็อาจจะไม่ได้มีความสะดวกสบายบนเรือมากนัก สำหรับแนว “เที่ยวเหนือฟ้า” ในแบบของฉันนั้นแฟนๆ คงทราบดีอยู่แล้วว่าเน้นทั้งลุยและเน้นทั้งหรู เพราะไปเที่ยวไหนในเมื่อถึงที่แล้วทั้งทีฉันก็จะต้องทำกิจกรรมให้ถึงลูกถึงโคนสุดๆ ไปเลย แต่พอเหนื่อยแล้วก็ขอพักผ่อนให้สบายสุดๆ เอาเรี่ยวแรงคืนมาเพื่อลุยต่อในวันรุ่งขึ้นเช่นกัน ดังนั้นพวกเรือที่เน้นกิจกรรมอย่างเดียวแต่ไม่สะดวกสบายเต็มที่ฉันก็ตัดออก และพวกที่ไปนั่งเรือเล่นสบายอย่างเดียวกิจกรรมน้อยๆ ฉันก็ตัดออกเช่นกัน สามยี่ห้อนี้ราคาต่างกันนิดหน่อย สุดท้ายแล้วเลือก Ponant ซึ่งเป็นเรือยี่ห้อฝรั่งเศส เน้นความหรูหราอาหารอร่อย ไวน์ดี ในแนวฝรั่งเศส แต่ก็ยังเป็นบริษัทที่เจาะจงเรื่องกิจกรรม Expedition อย่างเต็มที่ เขาจะทำเรือเล็กที่มีจำนวนผู้โดยสารน้อยๆ เท่านั้น จึงมีจำนวนผู้โดยสารน้อยที่สุดในทั้งสามตัวเลือกสุดท้าย คือแค่ประมาณ 200 คน ที่สำคัญเรือไม่เก่ามาก มีเทคโนโลยีก้าวหน้า มีความเชี่ยวชาญการเดินเรือมานาน ต่างกับเรือใหญ่ระดับโลกที่ความเชี่ยวชาญจะมาจากทางเรื่องของ Hospitality มากกว่า ดังนั้นแม้ในสามตัวเลือกนี้ Ponant จะมีราคาสูงที่สุดฉันก็เลือกไปกับบริษัทนี้ค่ะ

รีวิว Ponant

อันนี้บอกก่อนเลยฉันไม่ได้เขียนโปรโมทบริษัทเขา จ่ายเงินเองทุกบาททุกสตางค์ บริษัทเขาไม่ได้รู้เรื่องรีวิวอะไรนี่เลย แต่ขอเขียนไว้ให้เป็นแนวทางเพื่อให้แฟนๆ ที่อยากไปเห็นภาพเท่านั้น

Ponant เน้นความเป็นฝรั่งเศสอย่างมาก เขาพูดชัดเจนตั้งแต่แรกเลยว่าเป็นเรือฝรั่งเศส ชักธงฝรั่งเศส และบนเรือจะพูดสองภาษาตลอดคือฝรั่งเศสและอังกฤษ ดังนั้นคาดหวังได้เลยว่าอาหารบนเรือจะออกแนวฝรั่งเศสเป็นส่วนมาก ห้องอาหารมีสองห้อง ห้องหนึ่งเป็นไฟน์ไดน์นิ่ง อีกห้องเป็นบุฟเฟ่ต์ ซึ่งเมนูส่วนมากก็จะเหมือนกันแหละ เพียงแต่ห้องหนึ่งจะเสิร์ฟมาให้เป็นคอร์ส อีกห้องหนึ่งจะตักกินเองแบบสบายๆ ซึ่งฉันเป็นคนเกลียดการกินอาหารบุฟเฟ่ต์ที่สุด จึงจบลงที่ห้องอาหารแบบซิตดาวน์เสีย 90% อาหารนั้นทำได้ดีทีเดียว เมนูใช้ได้ วัตถุดิบดี แม้จะต้องสารภาพว่าฉันคาดหวังเอาไว้สูงกว่านั้นจากคำโฆษณาของเขา เอาเข้าจริงมันก็ไม่ได้หรูหราหมาเห่าขนาดนั้น เหมือนร้านอาหารดีๆ ทั่วไป ไม่ได้เกร็งมาก เขาจะมีเมนูให้เราเลือกที่เปลี่ยนไปทุกมื้อ กับเมนูที่มีอยู่ประจำให้สั่งได้ตลอด และเราจะสั่งกี่จานอย่างไรได้หมดไม่จำเป็นต้องเลือกอย่างละจาน เขาเต็มใจเสิร์ฟทุกอย่างเท่าที่เราเรียกขอ บางมื้อฉันอยากชิมเมนคอร์สสองอย่างเขาก็จัดให้อย่างเต็มอกเต็มใจ บางมื้ออยากจะกินจานเรียกน้ำย่อยสองจานแล้วไม่กินเมนเขาก็เต็มใจจัดให้เช่นกัน สำหรับเครื่องดื่มนั้นรวมอยู่ในค่าใช้จ่ายทั้งหมดแล้วไม่ว่าจะเป็นไวน์ แชมเปญ เบียร์ วิสกี้ กินได้แบบไม่อั้น ยกเว้นแอลกอฮอล์ที่พรีเมี่ยมราคาแพงหน่อยก็มีในเมนูให้เลือกจ่ายเพิ่มได้ แต่ฉันว่าที่จัดรวมอยู่แล้วก็มากมายเลือกกินไม่หมดจนจะเมากลิ้งอยู่แล้ว ไวน์และแชมเปญนั้นเขาเปลี่ยนไปทุกวันเลยเพื่อให้ตรงกับเมนูอาหารที่จัดมา บุฟเฟ่ต์อาหารเช้าก็ยังมีแชมเปญวางให้ด้วย บาร์มี 2 ที่ซึ่งเราเดินไปสั่งได้ทั้งวัน จะกินวันละกี่สิบแก้วก็ได้ มีค็อกเทลเป็นสิบ รายการและยังมีค็อกเทลประจำวันอีก โอ้ยใครขากินแอลกอฮอล์นี่ขึ้นสวรรค์เลยจริงๆ

ห้องพักนั้นก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์หรูหราดูดีทีเดียวแม้ฉันจะว่าคับแคบไปหน่อย ขนาดห้องที่เลือกอยู่ระดับกลางๆ แล้ว ไม่ใช่ห้องที่ราคาถูกที่สุด ก็ต้องจัดเก็บเสื้อผ้าข้าวของให้เป็นระเบียบพอสมควร

สิ่งอื่นๆ บนเรือนั้นมีห้องสตีมอบไอน้ำ สปานวด ท้ายเรือมีสระว่ายน้ำขนาดไม่ใหญ่มากหนึ่งสระ แต่ตลอดทริปที่เราไปนั้นแทบไม่ได้เปิดใช้เลยเนื่องจากอากาศยังหนาวเย็นอยู่มาก เสียดายเหมือนกัน  มีห้องประชุมใหญ่ที่ใช้สำหรับ Briefing ประจำวันและการแสดงต่างๆ มีห้องสมุดห้องนั่งเล่นที่หัวเรือซึ่งอันนี้ฉันชอบมาก เนื่องจากเปิดโล่งเห็นวิวกว้าง ตกบ่ายฉันจะมานั่งดื่มที่นี่เสมอ มีห้องยิมที่มีอุปกรณ์ต่างๆให้ใช้ และมีบูทีคขายของหนึ่งร้าน เรือของเราเล็กจึงมีกิจกรรมบนเรือไม่มาก ไม่เหมือนกับเรือใหญ่เป็นพันคนที่ฉันเคยไปมาที่มีทั้งคาสิโน โรงละคร สระว่ายน้ำโอลิมปิก ลู่วิ่งรอบเรือ แต่ทริปนี้โจทย์ฉันไม่ใช่เรือใหญ่แบบนั้นจึงไม่ได้สนใจกิจกรรมในเรือเท่าไร

สำหรับบริการของ Ponant นั้นต้องบอกว่าการโต้ตอบทางอีเมลเพื่อให้ข้อมูลและเตรียมตัวต่างๆก่อนขึ้นเรือนั้นไม่ค่อยดีเท่าไหร่ มีผู้ตอบเมล์หลายคนและกว่าจะได้คำตอบแต่ละเรื่องก็ใช้เวลามาก คือการเตรียมตัวขึ้นเรือไปแอนตาร์กติกานี้มันมีรายละเอียดเยอะ การแต่งตัวอุปกรณ์ที่ต้องนำไปหลายอย่าง และยังมีรายละเอียดเรื่องกิจกรรมก่อนขึ้นเรือและไฟลท์ในประเทศอีก ดังนั้นจึงต้องมีการสื่อสารเตรียมตัวกันเยอะ แต่เจ้าหน้าที่ตอบไม่ค่อยรู้เรื่องนัก ฉันถึงกับต้องเขียนไปคอมเพลนทีเดียว ซึ่งโชคดีคนที่เป็นเซลส์คนแรกที่ฉันเรียกขอคุยด้วยเป็นพิเศษนั้นก็เข้ามาเคลียร์ให้และขอโทษขอโพยโดยให้เครดิตไว้ Shopping หรือใช้จ่ายบนเรือพิเศษ 200 ยูโร เลยหายโกรธเลย แต่ว่าพอขึ้นเรือแล้วบริการทุกอย่างดีมาก เจ้าหน้าที่ทุกคนมีจิตใจบริการดีที่สุด อยากได้อะไรได้ ผิดกับการบริการของฝรั่งเศสโดยทั่วไปเป็นที่สุด

ข้อดีของ Ponant อีกอย่างหนึ่งคือ package ของเขานี้รวมค่าโรงแรมหนึ่งคืนที่เมืองบัวโนสไอเรส และรวมค่าเครื่องบินจากบัวโนสไอเรสลงมาเมือง Ushuaia ด้วยทั้งไปและกลับโดยเป็นเครื่องเหมาลำ ซึ่งสองเรื่องนี้ทำให้สะดวกอย่างมากเนื่องจากว่าถ้าเป็นเรือที่ไม่ได้รวมตรงนี้เราจะต้องซื้อตั๋วบินในประเทศไปเอง ซึ่งก็จะจำกัดเรื่องน้ำหนักกระเป๋าและก็กังวลว่ากระเป๋าจะหายหรือไม่ ใครจะไปขึ้นเรือแอนตาร์กติกานี่บอกเลยต้องวางแผนดีๆ และเผื่อเวลาเอาไว้เยอะๆ เพราะว่าถ้าไปไม่ทันขึ้นเรือหรือตัวไปทันแต่กระเป๋าไม่ทันแล้วก็จบข่าวเลย เรียกว่าทริปล่มเลยก็ได้ ดังนั้นเมื่อเราไปเช็กอินที่โรงแรมในบัวโนสไอเรสหนึ่งคืนล่วงหน้าก็จะมีเจ้าหน้าที่ดูแลเราตั้งแต่บัดนั้นตลอดไป มั่นใจได้ว่าจะมีรถพาเราจากโรงแรมไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องในประเทศ มีคนดูแลกระเป๋าไปจนถึงห้องของเราบนเรือทีเดียวเลย ซึ่งคำนวณดูแล้วราคาที่ต้องจ่ายแพงขึ้นสำหรับ Ponant นี้ฉันว่าคุ้มกว่าซื้อเรือที่ถูกกว่าแล้วจ่ายอย่างอื่นเพิ่มเติมแยกเอาเองอีก

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ฉันตัดสินใจเลือก Ponant ก็เพราะว่าเขาได้รับการโหวตให้เป็นอันดับหนึ่งใน Gold List ประจำปี 2021 ของนิตยสาร Conde Naste ในหมู่เรือสำราญขนาดเล็ก อะไรที่ติดโพลของสำนักนี้ประจำปีมักจะเชื่อถือได้และตรงจริตของเที่ยวเหนือฟ้าอยู่แล้ว

กิจกรรมและโปรแกรมเที่ยวมีอะไรบ้าง

โปรแกรมเรือนี้มีตั้งแต่ระยะเวลาน้อยสุด 11 วันไปจนถึง 20 กว่าวันหรือหนึ่งเดือนทีเดียว สำหรับฉันนั้นมีเวลาไม่มากและไม่อยากอยู่บนเรือนานเกินไปจึงเลือกเวลาน้อยที่สุดคือ 11 วัน 10 คืน ถึงแม้ว่าด้วยเวลาเท่านี้จะจำเป็นต้องตัดเกาะฟอล์กแลนด์และ South Georgia ไปก็ตาม สำหรับคนที่อยากจะเก็บให้หมดทั้งเกาะรอบนอกในบริเวณที่เรียกว่า Sub Antarctica และด้านในทวีปแอนตาร์กติกาด้วยก็ต้องอย่างน้อยสองสัปดาห์ขึ้นไป โปรแกรมของฉัน 11 วันนี้คือ สองวันแรกเป็นการแล่นเรือผ่าน Drake passage มุ่งเข้าทวีปแอนตาร์กติกาแบบไม่หยุดเลย กิจกรรมบนเรือนั้นก็จะมีเล็คเชอร์และพรีเซนเทชั่นให้ฟังหลายรายการ พวกเราจะต้องฟังกฎกติกามารยาทหลายอย่างที่กำหนดโดย IAATO หรือ The International Association of Antarctica Tour Operators ซึ่งเป็นองค์กรที่ตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อให้การท่องเที่ยวในแอนตาร์กติกาเป็นไปอย่างไม่ทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม บริษัททัวร์หรือเรือที่จะพานักท่องเที่ยวมาจะต้องปฏิบัติตามกฎต่างๆในข้อตกลงอย่างเคร่งครัด และจะต้องพรีเซนต์สไลด์และวิดีโอซึ่งเป็นมาตรฐานของ IAATO ให้นักท่องเที่ยวทุกคนที่มารับรู้ กฎต่างๆก็เช่น ห้ามเข้าใกล้เพนกวินเกิน 5 เมตร ถ้าน้องคนไหนเดินเข้ามาหาเราๆก็ต้องหยุดให้เขาผ่านไปก่อนหรือต้องถอยหนีและเว้นระยะ ห้ามใช้โดรนเด็ดขาดทั้งทวีป และการขึ้นฝั่งทุกครั้งเราจะต้องฆ่าเชื้อรองเท้าก่อน ต้องระมัดระวังไม่ให้มีสิ่งแปลกปลอมอันใดไปทิ้งไว้บนแผ่นดินแอนตาร์กติกาเลย อย่าว่าแต่ขยะเลย แม้แต่เมล็ดพันธุ์พืชหรืออะไรต่างๆ ที่อาจจะติดหลงเหลือซ่อนอยู่ในถุงมือเสื้อผ้าเราได้ก็ต้องระมัดระวัง ดังนั้นในสองวันนี้จึงมีวันที่เราต้องเอาเสื้อผ้าของใช้ต่างๆ เช่นเป้ ผ้าพันคอ ถุงมือ แจ็คเก็ต รองเท้า ทุกสิ่งอันไปดูดฝุ่นอย่างเกลี้ยงสะอาดในบริเวณที่เรือเตรียมเอาไว้ เรือของฉันนี้แจกแจ็คเก็ตกันหนาวให้ใช้และเอากลับบ้านได้ด้วย และมีรองเท้าบู๊ทให้ยืมใช้ตลอดทริป ดังนั้นเราก็ต้องไปลองเสื้อและลองรองเท้ารวมทั้งเสื้อชูชีพเตรียมไว้ให้เรียบร้อย สองวันนี้จึงเหมือนกับเป็นการเริ่มสร้างความตื่นเต้นทีละนิดให้กับประสบการณ์ที่กำลังจะมาถึง นอกจากนี้เรือ Ponant ยังมีการทำงานร่วมกับ National Geographic โดยมีช่างภาพและนักวิทยาศาสตร์เป็นแขกรับเชิญมากับเราตลอดทริป ซึ่งเขาจะมีเล็คเชอร์บรรยายให้ความรู้ต่างๆ มีคลาสสอนถ่ายรูปด้วย เป็นต้น บนเรือยังมีนักธรรมชาติวิทยาซึ่งเป็นไกด์ของพวกเราด้วยหลายคน แต่ละคนจะมีความเชี่ยวชาญในสาขาต่างๆกันไป บางคนเชี่ยวชาญเรื่องวาฬ บางคนเชี่ยวชาญเรื่องเพนกวิน บางคนเชี่ยวชาญเรื่องธรณีวิทยาและน้ำแข็ง บางคนเชี่ยวชาญเรื่องประวัติศาสตร์ ทุกวันเขาจะสลับกันมาเล็คเชอร์หรือพรีเซนต์เล่าเรื่องต่างๆพวกนี้ให้เราฟังซึ่งฉันชอบมาก เหมือนกลับไปเป็นนักเรียนใหม่ ได้ความรู้มากมาย ทำให้การท่องเที่ยวสนุกขึ้นอย่างมาก นักธรรมชาติวิทยาพวกนี้เขามีความรู้มากจริงๆ เรียนสายวิทยาศาสตร์กันมาโดยเฉพาะเจาะจงเลย หรือบางคนก็เป็นวิศวกรหรือนักธรณีวิทยาที่ตัดสินใจเปลี่ยนอาชีพมาทำงานเป็นนักธรรมชาติวิทยาและไกด์ ดังนั้นข้อมูลที่เขาเล่าให้เราฟังจึงแน่นไปด้วยวิชาการ ไม่ใช่เหมือนกับไกด์ที่มาเล่าเรื่องสนุกให้ฟังเฉยๆ

วันที่สามเราก็เข้าถึงทวีปแอนตาร์กติกา ช่วงหกวันที่อยู่ในทวีปนี้ Expedition director หรือหัวหน้าทีมกิจกรรมจะทำงานปรึกษากับกัปตันเรือตลอดว่าจะจอดที่จุดไหน จะจัดกิจกรรมขึ้นฝั่งอย่างไร เนื่องจากจะต้องดูสถานการณ์ของดินฟ้าอากาศเป็นหลัก บางทีน้ำแข็งลอยอยู่ในอ่าวเยอะเกินก็ไม่สามารถขึ้นฝั่งได้ จึงไม่มีเรือไหนกำหนดได้เลยว่าวันไหนจะไปจอดที่จุดไหนบ้าง ต้องตัดสินใจกันหน้างานไปเลย พวกเรานักท่องเที่ยวจึงต้องเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อมที่จะปรับเปลี่ยนตลอดเวลา แต่การจัดการของเขาดีมาก จะมีการ Briefing ล่วงหน้าทุกวันให้เรารู้ว่าจะต้องแต่งตัวอย่างไร อุณหภูมิเท่าไหร่ กิจกรรมเป็นอย่างไร ใช้เวลาเท่าไหร่ และถ้าเกิดมีการเปลี่ยนแปลงเขาก็จะประกาศให้เรารู้ตลอด แต่โดยรวมแล้วในหนึ่งวันจะมีกิจกรรมสองอย่าง เป็นการขึ้นบกไปเดินในหิมะชมเพนกวินชมสัตว์ต่างๆ กับนั่งเรือยาง Zodiac เพื่อไปชมภูเขาน้ำแข็งและสัตว์โลกน่ารักตามเกาะต่างๆ พอตกเย็นของทุกวันก็จะมีการพรีเซนต์ทบทวนกิจกรรมซึ่งฉันก็ชอบมากอีกเช่นกัน เพราะเท่ากับเป็นการทวนความจำและทำให้เข้าใจสิ่งที่ไปเห็นมาได้มากขึ้น เรียกว่าในหนึ่งวันมีกิจกรรมทำตลอดไม่เบื่อเลย และยังมีเวลาเหลือให้นั่งเขียนเพจ จัดระเบียบรูปที่ถ่ายมา พร้อมจิบค็อกเทลชิลล์ๆอย่างอุ่นในเรืออีกด้วย กลางวันก็มีเวลากินอาหารกลางวันพักเหนื่อยระหว่างกิจกรรมอย่างสบายๆ ตกบ่ายมีน้ำชาขนมนมเนยสลับสับเปลี่ยนไปทุกวัน เช่นบางวันมีปาร์ตี้ Macaron บางวันมีปาร์ตี้ขาหมูสเปนรมควันแกล้มแชมเปญและไวน์  บางวันมีปาร์ตี้คาเวียร์กับว้อดก้าและแชมเปญ ตกเย็นก็แต่งตัวสวยไปดินเนอร์ มีคืนที่เป็นกาล่าต้องใส่ชุดราตรีสองคืนหลัง ดินเนอร์บางวันก็มีการแสดงหรือเปิดฟลอร์เต้นรำ และทุกวันจะมีนักดนตรีเล่นดนตรีสด ทั้งเดี่ยวเปียโน ทั้งวงดูโอ้จากปารากวัย และนักร้องเสียงไนติงเกลที่ครวญเพลงให้ฟัง โดยเขาจะสลับเวลาและห้องที่เล่นดนตรีกันไปทุกวัน แต่ละเช้าจะมี Newsletter มาเสียบหน้าห้องบอกรายละเอียดโปรแกรมของแต่ละวันให้เราวางแผนชีวิตได้

พอทำกิจกรรมเที่ยวครบหกวันแล้วสองวันสุดท้ายก็จะเป็นการล่องเรือมุ่งกลับ Ushuaia ก็จะมีเล็คเชอร์เพิ่มเติมอีกและก็มีปาร์ตี้บนเรืออีกทุกวัน ของฉันนั้นเรามาถึง Ushuaia ในตอนค่ำของวันก่อนที่จะต้องออกจากเรือจริงๆ จึงมีโบนัสแถมโดยให้พวกเราเดินไปเดินเที่ยวเล่นในเมืองได้ตอนเย็นหนึ่งคืน

การเตรียมตัว ข้าวของที่ต้องนำไป

การแต่งตัวนั้นสำคัญที่สุด เพราะถ้าหนาวหรือเปียกแล้วละก็หมดสนุกแน่นอน ดีไม่ดีต้องเลิกเดินแล้วกลับเรือเลย มาตรฐานของการแต่งตัวนั้นก็จะต้องมีสี่ชั้น คือพวกชั้นในแนบตัวแบบควบคุณอุณหภูมิหรือฮีทเทค มีสเวตเตอร์ขนสัตว์บางๆ ทับ ตามด้วยแจ็คเก็ตอุ่นๆซึ่งฉันเลือกเป็น Fleece แล้วจึงทับนอกสุดด้วยแจ็คเก็ต Parka หนากันน้ำ กางเกงต้องมีกางเกงกันน้ำใส่ทับเล็กกิ้งขนสัตว์หรือ Fleece ด้านใน บางคนใช้กางเกงสกีแต่ฉันไม่แนะนำเพราะถ้าเปียกขึ้นมามันจะแห้งยากแล้วก็เทอะทะเกิน ถุงเท้าใส่ไปเลยสามชั้น ชั้นในสุดให้เลือกเป็นถุงเท้าขนสัตว์ ถุงมือฉันใส่สองชั้นคือชั้นในเป็นขนสัตว์และชั้นนอกใช้ถุงมือสกีกันน้ำ ต้องมีถุงคอให้ความอบอุ่นซึ่งฉันใช้แบบที่ใช้เล่นสกี มันจะดึงขึ้นมาปิดหน้าปิดจมูกปิดหูได้ครึ่งนึงเลย และก็ต้องมีหมวกไหมพรมอีกด้วย เรียกว่าปิดสนิททั้งตัวเลย ส่วนรองเท้านั้นเป็นรองเท้า Muck boots ที่เป็นยางเพราะเวลาขึ้นฝั่งหลายครั้งเราจะต้องลุยลงไปในน้ำ ดังนั้นขากางเกงเปียกแน่นอน เราจึงต้องใช้กางเกงกันน้ำและดึงทับรองเท้าบู๊ทไว้ข้างนอก แว่นกันแดดสำคัญเพราะหิมะขาวจะจ้าเข้าตา แต่ฉันและหลายคนใช้แว่นสกีเลยเพราะกันลมได้ด้วย กล้องส่องทางไกลถ้ามีก็จะเอาไว้ส่องดูสัตว์ที่อยู่ไกลลิบๆได้ ฉันถนัดเดินป่าเดินหิมะโดยใช้ไม้ค้ำก็จะพกเอาไม้เดินส่วนตัวไปเอง เป็นแบบที่พับได้จึงใส่กระเป๋าเดินทางได้สบาย บางคนเตรียมเป้กันน้ำไปด้วยแต่ฉันไม่ได้แบกสมบัติอะไรจึงไม่ใช้เป้ โทรศัพท์กันน้ำอยู่แล้วจึงใช้เพียงสายคล้องคอเอาไว้ถ่ายรูปได้สะดวกเท่านั้น

บนเรือนั้นไม่หนาวเลย สามารถแต่งตัวแบบปกติได้เลย แต่ว่าควรมีแจ็คเก็ตติดมือเอาไว้และสวมรองเท้าที่สามารถออกไปเดินด้านนอกของเรือซึ่งอาจจะเปียกนิดหน่อยได้ เพราะบางครั้งกัปตันจะประกาศว่ามีวาฬหรือสัตว์อะไร เรานั่งเล่นอยู่ข้างในเรือก็อาจจะต้องวิ่งออกไปข้างนอกทันที สำหรับชุดดินเนอร์นั้นก็ต้องเตรียมชุดสวยสำหรับกาล่าสองวัน อันนี้แต่ละเรือก็จะต่างกันไปแต่เขาจะแจ้งล่วงหน้า แต่โดยรวมแล้วเราไม่จำเป็นต้องเอาเสื้อผ้าหรืออะไรไปเยอะเลย สามารถใช้ซ้ำได้สบาย

เกร็ด

ฉันแนะนำให้ไปถึงบัวโนสไอเรสก่อนวันที่จะบินในประเทศอย่างน้อยหนึ่งวัน และขากลับก็ควรเผื่อเวลาไว้หนึ่งวันเช่นกันเพื่อความชัวร์ว่าจะไม่พลาดขึ้นเรือแน่ๆ

ตอนนั่งเรือยางแนะนำให้นั่งท้ายเรือไม่ไกลกับตัน เพราะถ้านั่งหัวเรือหน้าสุดมีสิทธิ์เจอคลื่นใหญ่น้ำสาดเปียกทั้งตัว ฉันเจอมาแล้ว นึกว่าจะหนาวจนเดินไม่ได้เสียแล้ว แต่อึดเลยรอด บางคนต้องกลับขึ้นเรือเลย

กางเกงกันน้ำต้องเลือกแบบ Waterproof จริงๆ แค่ Water resistant ไม่พอ

หลายคนกลัวจะเมาคลื่นไม่ไหวตอนเรือผ่าน Drake passage แต่ฉันว่ามันไม่แย่ขนาดนั้น อาจจะเป็นเพราะเรือของเรามีเทคโนโลยีให้เรือบาลานซ์ได้ดี อันนี้น่าจะลองสืบดูก่อนไปได้ว่าเรือที่จะไปมี Stabilizer ไฮเทคขนาดไหน ฉันว่าเรือยิ่งใหม่น่าจะยิ่งดี

ราคาเท่าไร

ราคานี้ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ปัจจัยต่างกันราคาอาจจะต่างกันได้เป็นเท่าตัวเลยทีเดียว ปัจจัยต่างๆ นั้นก็มีว่า ระดับของเรือหรูขนาดไหน ห้องที่เลือกของเรือเป็นระดับไหน จะเอาแบบมีระเบียงหรือไม่มีระเบียง ขนาดใหญ่หรือขนาดเล็ก เวลาที่ไปหากเป็นช่วงแรกของการเปิดฤดูกับช่วงท้ายราคาก็จะถูกกว่ากลางหน้าร้อนซึ่งถือว่าเป็นไฮซีซั่นกว่า และที่สำคัญที่สุดก็คือจำนวนวันที่ไป ฉันไป 11 วัน แต่มีคนเยอะมากที่ไป 20 วันราคาก็จะต่างกันเป็นเท่าตัวไปเลย นอกจากนี้หากไปคนเดียวนอนห้องเดี่ยวบางเรือก็จะต้องคิดเงินเพิ่มเป็นค่า Supplement

สำหรับทริปที่ฉันไปนั้น Ponant นับเป็นเรือที่ราคาค่อนข้างสูง แต่ฉันเลือกไปในช่วงเวลาก่อนหน้าร้อนซึ่งไม่ใช่ช่วงราคาแพงที่สุด และจำนวนวันก็วันสั้นที่สุด ห้องที่เลือกพักอยู่ในระดับปานกลาง สรุปออกมาแล้วคือหัวละประมาณ 500,000 บาท ซึ่งอันนี้จะรวมตั๋วเครื่องบินในประเทศอาร์เจนติน่าไปกลับแล้วด้วย และห้องพักที่บัวโนสไอเรสอีกหนึ่งคืนก่อนบินลงมา Ushuaia

ค่าเรือราคาถูกหรือแพงกว่านี้ก็มี ฉันเห็นเอเจ้นต์ที่เมืองไทยขาย 20 วันราคา 1,200,000 บาทก็มี แต่บางเรือเห็นขายในเว็บ 11-12 วันราคา 300,000 บาทก็มีเช่นกัน และเห็นคนเขาคุยกันว่าบางครั้งหากไปเกร่แถว Ushuaia ก่อนเรือออก ถ้าเรือเขาไม่เต็มก็อาจจะซื้อที่หน้าเรือได้เลยราคาลดลงไป 50% ก็มีเช่นกัน แต่ฉันว่า แบบนี้ความเสี่ยงสูงเพราะเดาไม่ได้เลยว่าจะได้ไปไหม

ค่าใช้จ่ายนอกจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าจะพ่วงไปเที่ยวที่อื่นในอาร์เจนตินากี่วันและไปที่ไหนบ้าง แต่ค่าครองชีพประเทศนี้ถูกจริงๆ ที่จะแพงก็คือค่าตั๋วเครื่องบินจากเมืองไทยนี่แหละ กว่าจะไปถึงไกลมาก ฉันบินออกจากยุโรปก็ใกล้กว่าครึ่งทางเลยทีเดียว และครั้งนี้เราใช้ไมล์แลกได้เยอะหน่อย บินบิสสิเนสคลาสจึงจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินไปเพียงแค่คนละ 30,000 กว่าบาทเท่านั้น

บทสรุป

สำหรับนักเที่ยวฮาร์ดคอร์ ฉันแนะนำเลยว่าอย่างไรชีวิตนี้ก็ต้องไปแอนตาร์กติกาให้ได้สักครั้ง เพราะประสบการณ์นั้นไม่เหมือนเลยกับที่ไหนเลยในโลก ไม่ว่าจะเป็นวิวทิวทัศน์ การได้ใกล้ชิดกับสัตว์ต่างๆในธรรมชาติที่มีอาศัยอยู่เพียงขั้วโลกใต้เท่านั้น และยังได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และภูมิศาสตร์เกี่ยวกับพื้นแผ่นดินของทวีปหนึ่งในโลกซึ่งเราไม่รู้จักคุ้นเคยเท่าไร แต่ทวีปนี้ก็ไม่ใช่จุดหมายสำหรับคนทุกคน อย่างที่บอกว่า จะต้องเป็นคนรักธรรมชาติ ชอบใฝ่หาความรู้ใหม่ๆ เล็คเชอร์เยอะภาษาอังกฤษก็ต้องแข็งแรง และร่างกายก็ต้องฟิตพอที่จะไปเดินเที่ยวในสภาพอากาศรุนแรงได้ทุกวัน ฉันได้ยินมาว่าไม่เคยมีใครที่ได้ไปแอนตาร์กติกาแล้วเสียใจเลย สำหรับฉันานั้นเป้าหมายที่จะไปให้ครบทุกทวีปในโลกได้บรรลุแล้ว และก็บอกได้เลยว่าเป็นทริปที่สนุกและลืมไม่ลงครั้งหนึ่งในชีวิตทีเดียว ยืนยันว่าไม่เสียใจเลยจริงๆ

3 COMMENTS

  1. เราไปน่าจะช่วงเดียวกันเลยครับ (ของผมช่วง 12-22 Dec 2022)

    ส่วนตัว ก็ประทับใจทุกสิ่งอย่างที่นั่น มากครับ (พิเศษคือผมได้ไปฉลองที่ Argentina ได้แชมป์บอลโลกพอดีอีกด้วย

  2. เราไปน่าจะช่วงเดียวกันเลยครับ (ของผมช่วง 12-23 Dec 2022)

    ส่วนตัว ก็ประทับใจทุกสิ่งอย่างที่นั่น มากครับ (พิเศษคือผมได้ไปฉลองที่ Argentina ได้แชมป์บอลโลกพอดีอีกด้วย

    • สวนกันนิดเดียวค่ะ ได้เชียร์บอลรอบอาร์เจนเตะในบัวโนสไอเรสเหมือนกัน แค่นั้นก็ฟินมากแล้วค่ะ ของคุณคงยิ่งสุดๆ ดีใจมาก เขาสมควรได้รับข่าวดีบ้างค่ะ

Comments are closed.