เช้าตรู่เมื่อหมอกยังไม่จางดี  ที่ร้านกาแฟสดในปั๊มน้ำมันบนทางหลวงหมายเลขหนึ่ง  เลยตัวเมืองกำแพงเพชรมาไม่ไกล  ลุงชงกาแฟไปพลางเมียงมองมายังรถโฟร์วีลไดรฟว์ของเราที่บรรทุกข้าวของเครื่องใช้และเสบียงเพียบ  แล้วถามด้วยเสียงเปี่ยมความสงสัยว่า “จะไปเที่ยวไหน  ของเต็มรถขนาดนี้”

คนขับมือหนึ่งของฉันตอบลงเสียงหนักแน่นหากอมยิ้มว่า “บอกไปก็ไม่เชื่อ”

ลุงอึ้งไปนิดหนึ่งด้วยคำตอบที่คาดไม่ถึง  และคงประมาณไม่ถูกด้วยว่า  คำตอบนั้นเป็นมุกหรือเปล่า  แต่ความอยากรู้คงมีมากกว่า  ลุงจึงแหย่หาคำตอบต่อ “เชื่อ…บอกมาเถ้อะ….”

“จะขับรถไป…ทิเบต….”

ฮ้า…………….

นั่นคือปฎิกิริยาที่ฉันได้รับจนชินเสียแล้ว  เมื่อบอกใครต่อใครว่า  จะขับรถไปทิเบต … จากกรุงเทพ

แต่สำหรับเรา  Road Trip อันเหลือเชื่อนี้เป็นส่วนหนึ่งเท่านั้น  อีกส่วนที่ทำให้การเดินทางครั้งนี้สมบูรณ์และน่าตื่นเต้นจนตัองนับวันรอก็คือ  จุดหมายปลายทางในทิเบตที่น้อยคนนักจะได้ไปถึง  นั่นคือ Shangri-La หรือดินแดนลึกลับสุดขอบฟ้าที่สวยงามราวแดนสวรรค์จากหนังสือ Lost Horizon อันโด่งดังของ James Hilton ที่ไม่มีใครรู้ว่าอยู่ที่ใด  จนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้  ที่โลกได้พบหลัฐานมากพอจนสรุปได้ว่า Shangri-La อยู่ที่อำเภอตี๋ชิง ในมลรัฐยูนนานติดกับทิเบตของประเทศจีน

สำหรับนักเดินทางตัวยง Shangri-La คือหนึ่งในรายชื่อจุดหมายที่ต้องไปเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต  ด้วยความสดใหม่ของสถานที่ที่เพิ่งเปิดสู่โลก  ด้วยความไกลและลำบากที่ชวนท้าให้พิชิต  ด้วยตำนานอันลึกลับที่ชวนค้นหา  และด้วยคำล่ำลือถึงความงามที่ว่าดังสวรรค์  กระทั่งชื่อ Shangri-La กลายมาเป็นคำศัพท์ในภาษาอังกฤษ  ที่หมายถึง”สรวงสวรรค์”

แต่สำหรับคนส่วนมาก  Shangri-La คือเพียงชื่อโรงแรมห้าดาว  อันที่จริงก็ถูกต้อง  เพราะความลึกลับของ Shangri-La จากหนังสือ Lost Horizon  อันเป็นตำนานอยู่นานปีนั้น  ได้ทำให้เกิดปรากฏการณ์ที่ทำให้ Shangri-La ได้กลายเป็นชื่อที่ถูกนำมาใช้เป็นชื่อบริษัท  สินค้าและบริการมากมายทั่วโลก  ไม่รู้ว่า James Hilton นักเขียนชาวอังกฤษจะตั้งใจและรู้ล่วงหน้าหรือเปล่า  ว่าเขาได้ทำให้คนทั่วโลกเชื่อและตามหา Shangri-La จนกลายเป็นปรากฏการณ์เช่นนี้  เมื่อเขาได้วางแผงหนังสือ Lost Horizon เมื่อปี 1933 และได้บรรยายถึงดินแดนลึกลับที่เขาบังเอิญค้นพบและใช้ชีวิตอยู่หลายปี  จากการที่ต้องลงจอดเครื่องบินอย่างฉุกเฉิน  ว่าเป็นดินแดนที่สวยงามดังสวรรค์  มีภูเขาสูงยอดแหลมดังปิรามิดที่ปกคลุมด้วยหิมะขาว  มีแม่น้ำสามสายและโตรกผาลึก  ทะเลสาบที่ใสราวแก้วผลึก  ทุ่งหญ้าที่กว้างใหญ่และสวยงาม  มีวัดโบราณที่ลึกลับและขลังศรัทธา  และมีผู้คนที่เปี่ยมสุข  รักสงบ  จิตใจที่สูงส่งและปรารถนาสังคมที่มีแต่ความดีงามดังสวรรค์  ฮิลตันได้ทิ้งปมไว้ให้คนทั้งโลกเชื่อและต่างออกแสวงหาดินแดนสวรรค์สุดขอบฟ้านี้  ก่อนที่จะจากโลกไปโดยทิ้งความลับนี้ไว้อย่างไร้ร่องรอยของคำเฉลย  กว่าห้าสิบปีที่ผู้คนออกแสวงหา Shangri-La อย่างมุ่งมั่นไปทั่ว  อินเดีย  เนปาล  ทิเบต ต่างพากันออกมาประกาศว่า Shangri-La อยู่ในประเทศตนด้วยสารพัดหลักฐานอ้างอิง  หากไม่มีใครพิสูจน์ได้จริง  จนกระทั่งไม่นานมานี้ที่เหล่านักสำรวจและวิจัยได้สรุปว่า  Shangri-La อยู่ที่อำเภอตี๋ชิง (Diqing)  ซึ่งประกอบไปด้วยสามเมืองคือ  จงเตี้ยน  เต๋อชิงและเหวยซี  รัฐบาลจีนจึงได้ประกาศให้เมืองจงเตี้ยนเปลี่ยนชื่ออย่างเป็นทางการเป็น Shangri-La เมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2002

ไม่ว่า Shangri-La จะอยู่ที่ตี๋ชิงจริงหรือไม่  หรือแม้แต่ว่า Shangri-La ของ James Hilton มีจริงหรือไม่  ป้ายถนนและชื่อในแผนที่ของจงเตี้ยนก็ได้เปลี่ยนเป็น Shangri-La ไปเรียบร้อยแล้ว  และวันนี้จีนก็เร่งพัฒนาให้จงเตี้ยนและเต๋อชิงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่หวังจะนำเงินมหาศาลเข้าประเทศแล้วในอนาคต

จะอย่างไรก็ตามแต่  สำหรับเราผู้มี Shangri-La อยู่ในรายชื่อปลายทางในฝัน  การที่จะได้ไปเยือนโดยเฉพาะขับรถไปจากบ้านเป็นระยะทางเกือบสามพันกิโลเมตร  ผ่านประเทศไทย  ลาว  จีน  จนถึงทิเบต  จากอากาศร้อนที่สุดในเดือนเมษายน  ไปจนถึงยอดเขาสูงที่ถนนปกคลุมด้วยหิมะสูงเกือบห้าพันเมตรจากระดับน้ำทะเล  การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นดังสุดยอดเส้นทางขับรถในฝัน  และบอกไปก็ไม่มีใครเชื่อจริงๆ

ขบวนคาราวานบนเส้นทาง 5,600 กิโลเมตร

เนื่องจากการนำรถขับเข้าพม่าและจีนมีขั้นตอนที่ค่อนข้างยุ่งยาก  ในจีนจะต้องมีรถตำรวจนำตลอดทาง  และเส้นทางการเดินทางค่อนข้างกันดารเป็นส่วนมาก  โร้ดทริปคราวนี้จึงเป็นการรวมตัวของคาราวานรถโฟร์วีลไดรฟว์ขบวนใหญ่  รถทั้งหมด 23 คัน กว่า 60 ชีวิต  จึงต้องมีการวางระเบียบกติกาการเดินทางกันพอควร  รถทุกคันมีวิทยุใช้สื่อสารกันตลอดทริป  เพื่อแจ้งสภาพการจราจรให้เป็นไปโดยปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ  ความยาวของขบวนรถจากคันแรกถึงคันสุดท้ายเมื่อเว้นระยะขับแล้วยาวถึง 2 กิโลเมตร  การสื่อสารจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก  วิทยุช่วยได้เยอะทีเดียวในการบอกให้รถคันหลังรู้ว่าจะแซงขึ้นมาได้หรือไม่  โดยเฉพาะเมื่อไต่อยู่บนเขาที่คดเคี้ยวและแคบ  แถมยังไม่มีเส้นถนนอีก  แม้ว่ารถตำรวจที่นำจะคอยโบกให้รถที่สวนมาจอดให้ทางขบวนเราเป็นส่วนมากแล้วก็ตาม

รถทุกคันมารวมตัวกันที่ชายแดนเชียงของ  จังหวัดเชียงราย  หลังจากติดสติกเกอร์และเบอร์รถแล้ว  เราก็ทะยอยกันนำรถขึ้นแพขนานยนต์ข้ามไปเมืองห้วยซาย  ประเทศลาว  ซึ่งเจ้าหน้าที่ลาวมาตรวจสภาพรถ  และติดทะเบียนรถชั่วคราวให้  ที่เก๋คือรถแต่ละคันได้รับแจกพาสปอร์ตรถด้วย  สำหรับเมืองจีน  เมื่อผ่านเข้าด่านแล้วก็ต้องตรวจสภาพรถเช่นกัน  และรถแต่ละคันจะได้รับแจกป้ายทะเบียนรถจีนให้ติดเป็นการชั่วคราวตลอดทริปด้วย

เส้นทางในลาวจากห้วยซายถึงหลวงน้ำทาแม้จะเพียง 190 ก.ม. แต่ต้องใช้เวลาขับถึง 6 ชั่วโมง  ด้วยถนนลูกรังที่เป็นหลุมเป็นบ่ออย่างแย่อยู่แล้วนั้น  ยิ่งขับได้ช้ายิ่งขึ้นเพราะมีการก่อสร้างทำถนนตลอดทาง  แถมเป็นการทำถนนขั้นต้นเสียด้วย  ทางจึงเหมือนไม่ใช่ทางรถวิ่ง  แต่เป็นแนวทางที่กรุยให้งานก่อสร้างเข้าไปมากกว่า  แต่บรรดานักขับรถโฟร์วีลไดรฟว์ก็ได้สนุกเต็มที่กับการเล่นกับรถและสภาพวิบากของถนน  เรียกว่าทั้งลุยฝุ่น  ลุยโคลน  ลุยน้ำ  ขับข้ามห้วย  ขับข้ามเขา  ตกบ่อ  ตกหล่ม  ลื่นเพราะฝุ่น  ไถลเพราะโคลน  กระเด้งกระดอนเพราะหิน  แถมยังต้องใช้ทักษะการขับขั้นสูงเวลาสวนกับรถตักดินและรถสิบล้อตรงโค้งแคบที่ไหล่เขา

กว่าจะถึงเมืองหลวงน้ำทาที่ระยะทางไม่ไกลเลยนั้น  ทั้งคนนั่งคนขับก็สะบักสะบอมกันเต็มที่  ไม่ต้องถามถึงรถที่เต็มไปด้วยฝุ่นโคลน  นี่เพียงแค่ครึ่งวันแรกเท่านั้น

หลังจากกินข้าวกลางวันยามบ่ายที่หลวงน้ำทา  เราก็บึ่งตรงสู่ชายแดนลาว-จีน  ผ่านด่านบ่อเต็นที่ลาว  และเข้าสู่จีนที่ด่านโมฮัง  จากนั้นก็เป็นการขับตะลุยเร่งสู่เมืองเชียงรุ้ง  หรือจิ่งหงที่สิบสองปันนา  เพื่อพักคืนแรก  กว่าจะถึงเชียงรุ้งได้กินข้าวเย็นก็ร่วมเที่ยงคืน  นี่เพียงแค่วันแรกและระยะทางเพียง 450 ก.ม.  กับการที่อยู่บนรถอย่างเดียวเป็นเวลาร่วม 18 ช.ม. ในสภาพวิบากครบเครื่อง  แม้จะทำให้หมดสภาพทั้งคนขับคนนั่ง  ก็เป็นการเริ่มต้นที่ชงความตื่นเต้นสำหรับวันรุ่งขึ้นได้ดีทีเดียว  เพราะจากพรุ่งนี้ไป  เราก็จะได้ขับรถในประเทศจีนที่ถนนหนทางและทิวทัศน์จะต่างไปจากที่เคยชิน  นับเป็นการเริ่มบรรยากาศเดินทางมุ่งสู่แชงกรี-ลา  ที่เพียงแค่นึกก็น่าตื่นเต้นจะแย่เสียแล้ว

รุ่งขึ้นทุกคนจึงตื่นแต่เช้าไม่มีการโอ้เอ้  และยังคึกคักเป็นพิเศษ  ต่างตรวจเตรียมพร้อมสภาพรถของตัวกันใหญ่  เพราะเส้นทางวันนี้แม้จะไม่กันดารเท่าในลาว  แต่ก็เป็นการขับตะลุยและทำเวลาได้ช้าเช่นกัน  จากเชียงรุ้งเราจะขับตรงมุ่งสู่เมืองหลินซางซึ่งจะถึงในตอนค่ำ  ใช้เวลาขับรถลุยยาวร่วม 13 ชั่วโมง  แม้ระยะทางเพียง 450 ก.ม.  เส้นทางนี้เป็นเส้นทางสายชนบทที่ไต่ไปบนเขา  ทิวทัศน์สวยงามมาก  คล้ายเส้นทางสายเชียงดาว-เชียงราย  แต่ที่พิเศษและทำให้เราขับเร็วไม่ได้คือ  ถนนที่ปูด้วยหินทั้งเส้นตลอดสาย  เป็นถนนหินโบราณที่สภาพยังดีอยู่มาก  ไม่น่าเชื่อที่คนโบราณสามารถสร้างถนนบนเขาที่คดเคี้ยวอย่างนั้นได้เป็นร้อยๆกิโล  โดยเอาหินมาเรียงทีละก้อนๆ และยังคงสภาพที่ดีมาถึงปัจจุบัน  แม้รถยนต์จะแล่นไปได้ไม่เร็วทันใจเหมือนถนนคอนกรีตบนไฮเวย์ก็เถอะ  แต่ก็เป็นเส้นทางอันน่าประทับใจ  ที่นักขับรถโฟร์วีลควรมีประสบการณ์สักครั้ง

พักค้างคืนที่หลินซาง  เช้าวันต่อมาก็เป็นการขับลุยยาว 9 ชั่วโมงอีกครั้ง ในระยะทาง 380 ก.ม. สู่เมืองต้าลี่  ดีหน่อยที่วันนี้พอมีเวลาได้แวะกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารเป็นเรื่องเป็นราวที่เมืองเล็กๆทางผ่าน  ชื่อเมืองม่านวาน  ซึ่งต่อมาฉันสรุปว่าเป็นมื้อที่รสชาติอาหารดีที่สุดตลอดสิบสองวัน  อาหารจีนแถวนี้กินแทบไม่ได้เลย  โดยเฉพาะยิ่งขึ้นเหนือใกล้เข้าทิเบตและเขตเสฉวน  ซึ่งเป็นเพราะอากาศหนาว  อาหารจะมันมาก  หมูมีแต่มันจนน่าสงสัยว่าเขาเอาเนื้อไปทิ้งที่ไหนกันหมด  ส่วนไก่ก็สับรวมมิตรมาหมดทั้งคอขากระดูก  เนื้อไม่มีอีกเหมือนกัน  ทุกอย่างเป็นการผัดในน้ำมัน  ผัดผักที่ปกติเป็นจานโปรดของฉันที่ทำอย่างไรก็อร่อยได้เสมอ  ที่นี่ก็ยังแทบกินไม่ได้เพราะเหมือนเอาผักไปต้มในน้ำมันหมู  จืดๆมันๆ  ตักเข้าปากทีนึกเห็นภาพเม็ดไขมันวิ่งเข้าไปรวมตัวกันรออยู่ที่เส้นเลือดหัวใจ  เลยพาลกินไม่ลง  ส่วนแกงจืดก็ช่างต้มมาได้ขัดแย้งกับวิชาการเรือนที่บรรพบุรุษและครูบาอาจารย์ได้สอนสั่งฉันมาอย่างยิ่ง  ที่ว่าน้ำแกงต้องใสแจ๋วแหวว  เวลาต้มต้องห้ามขี้เกียจหมั่นตักฟองทิ้ง  น้ำไม่เดือดห้ามใส่เนื้อ  ใครต้มน้ำแกงไม่ใสถือว่าแย่มากๆ  แต่ที่เมืองจีนน้ำแกงขุ่นขาวข้นคลั่กได้เหมือนกันทุกร้านทุกชาม  จนนึกเอาว่าคงเป็นตำราของที่นี่  กินไม่ลงอีกเหมือนกัน

ในช่วงที่เป็นทางใต้ของยูนนานคือแถวหลินซางและต้าลี่นั้น  มีอาหารเหลาที่เป็นของดีและอร่อยถูกปากอยู่อย่างคือแฮมยูนนานอันขึ้นชื่อ  เขาฝานมาเป็นชิ้นๆ  ไม่บางมากอย่างฮาโมนหรือแฮมสเปน  จึงเคี้ยวได้หนับๆเค็มๆมันๆ  ระหว่างทางหลินซาง-ต้าลี่นี้เราขับผ่านหมู่บ้านที่ชาวบ้านทำแฮมยูนนานขาย  หน้าบ้านมีขาแฮมห้อยตากเป็นขาๆอยู่เต็มระเบียงไปหมด  แลดูเป็นของโฮมเมดน่ากินมากๆ  นึกถึงสปาเก็ตตี้ปลาเค็มสูตรพิเศษของฉันที่ต้องใส่แฮมยูนนานแต่มักจะหาซื้อไม่ได้เวลานึกจะทำ  กะว่าจะซื้อกลับบ้านติดมาหน่อยแต่ก็ลืม  น่าเสียดาย

ถึงแม้สี่วันแรกจะเป็นการตะลุยขับรถทั้งวันและเกือบครึ่งคืน  สำหรับฉัน  สองวันเต็มบนเส้นทางเชียงรุ้ง-หลินซางนี้ เป็นเส้นทางที่น่าประทับใจตรงที่ได้เห็นวิถีชีวิตชาวจีนต่างจังหวัดแบบธรรมชาติแท้ๆ  ได้เห็นลักษณะบ้านเรือนและวัฒนธรรมความเป็นอยู่ที่ค่อยๆเปลี่ยนไปทีละน้อย  จากทางใต้ที่คล้ายลาว  ค่อยๆกลายมาเป็นไทยลื้อเหมือนชาวเขาทางเหนือของไทย  กลายเป็นจีนมากขึ้นทีละนิด  จนเผลอไปนิดเดียวบ้านไม้หลังคาจั่วสูงแบบไทยเหนือ  ก็ค่อยๆกลายเป็นบ้านไม้ชั้นเดียวทรงยาวๆเหมือนเรือนแถวไม้โบราณตามเมืองเก่าบ้านเรา  แล้วกลายเป็นตึกอิฐและปูนยาวหลังคาทรงเก๋งจีนไปเสียแล้ว  น่าแปลกใจที่ความแตกต่างของวัฒนธรรมนี้ค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปได้อย่างกลมกลืน  ทำให้น่าครุ่นคิดถึงวิถีชีวิตที่แตกต่าง  และน่าเฝ้ามอง  เป็นเสน่ห์ของการขับรถทางไกลมากๆที่ฉันเพิ่งค้นพบ  และทำให้หลงรักจับใจ

ชาวจีนต่างจังหวัดที่ไกลจากเมืองใหญ่เช่นนี้  นับว่ายังห่างไกลแสงสีมายาและความสะดวกสบายของโลกตะวันตกอย่างมาก  ผู้คนอยู่กันอย่างง่ายๆ  และเห็นได้ชัดว่าสภาพสุขอนามัยยังล้าหลังอยู่ไกล  ไม่ต้องพูดถึงเรื่องห้องน้ำที่ขึ้นชื่อของจีน  ตลอดเส้นทางในจีนนั้นห้องน้ำประจำของฉันจึงคือสุมทุมพุ่มไม้ข้างทาง  ที่มั่นใจได้ว่าสะอาดกว่าห้องน้ำแน่นอน  น่าตลกดีที่หลังจากนั่งรถมาทั้งวัน  พอใกล้จะเข้าเมืองเรากลับมุ่งหาที่จอดข้างทางเพื่อเข้าป่า  เพราะถ้าเข้าเมืองก็จะไม่มีป่าให้เข้า  แต่ต้องไปทนเข้าห้องน้ำเหม็นๆที่ไม่มีประตู  กลับตาลปัตรกับเวลาไปประเทศอื่นจริงๆ

แต่วิถีชีวิตของชาวบ้านที่เห็นก็ช่างดูบริสุทธิ์และเรียบง่าย  ผู้คนแต่งตัวแบบพื้นเมือง  ทำนาเลี้ยงสัตว์กันแบบพอเพียง  และคนจีนก็คือคนจีน  ที่ขึ้นชื่อเรื่องการขยันทำมาหากินและฉลาดในการเพิ่มพูนผลผลิต  นาขั้นบันไดสองข้างทางนั้นจึงต่างไปจากนาขั้นบันไดที่ฉันเคยเห็นมาทั้งหมด  คือไม่ว่าภูเขาจะสูงใหญ่เท่าใด  มองขึ้นไปชาวจีนก็ขึ้นไปสร้างไว้เป็นขั้นถี่ยิบ  แถมทุกหย่อมที่มีพื้นที่เป็นดิน  ก็ถูกสร้างเป็นขั้นและหว่านข้าวไว้เต็มพื้นที่ไม่มีเสียประโยชน์แม้แต่นิดเดียว  กระทั่งขอบทางหลวงที่ตรงโค้งมีดินอยู่นิ้ดเดียว  ก็ยังอุตส่าห์มีบันไดมาอยู่สองขั้น  น่านับถือจริงๆ

เพราะว่าชาวบ้านยังอยู่กันแบบง่ายๆและใช้วิถีชีวิตแบบเดิมๆเช่นนี้  ดังนั้นแม้ว่ารัฐบาลจีนจะเร่งสร้างถนนเพื่อนำความเจริญเข้าสู่ชุมชน  เราจึงยังเห็นภาพที่ไม่คาดว่าจะได้เห็น  จะว่าน่ารักก็ใช่  จะว่าอึ้งๆบอกไม่ถูกก็ใช่อยู่  อย่างเช่นเราแล่นรถทำเวลาอยู่บนซุปเปอร์ไฮเวย์ดีๆ  จู่ๆขบวนก็ต้องชะลอจนแทบจะจอด  เพราะมีกองคาราวานชาวบ้านเดินจูงฝูงล่อสวนมาตามถนน  แถมยังข้ามถนนไปมาเล่นเสียด้วย  ตรงริมทางมีคุณป้านั่งยองๆอยู่กับฝูงไก่เป็นๆ  คาดว่าถ้าไม่เพิ่งไปซื้อมาก็กำลังจะนำไปขาย  พอเลยไปหน่อยก็มีเหมือนตลาดนัดขายสัตว์และอาหารสดกันบนไฮเวย์  ว่ากันง่ายๆแบบนั้นนั่นเอง

พูดถึงตลาด  ตลอดทางที่เราผ่านจะมีตลาดอยู่ระหว่างเมืองเป็นช่วงๆ  เหมือนตลาดสดชุมชนตามต่างจังหวัดบ้านเรา  แต่เห็นได้ว่าเป็นจุดรวมสำคัญที่ชาวบ้านทุกคนในเขตใกล้เคียงมาแลกเปลี่ยนซื้อขายกัน  ของที่ขายและร้านค้าจึงมีทุกประเภท  ที่เห็นได้ชัดคือการซื้อขายสัตว์เลี้ยงและเนื้อสัตว์ที่เป็นอาหารจะขายกันเป็นๆ  เราจึงได้เห็นล่อมากมายที่ตลาด  และไก่ที่บรรจุในกรงชะลอมหวายเต็มไปหมด  ยานพาหนะเครื่องยนต์ที่เห็นมีเพียงอีแต๋นหรือสิงห์คะนองนาแบบจีน  กับรถบรรทุกคันน้อยที่ด้านหลังมีหลังคาผ้าใบโค้งมุง  หากไม่ใช้บรรทุกของ  ก็ใช้เป็นคล้ายรถสองแถวบ้านเรา  บรรจุคนนั่งไปกลับจากตลาดกันแน่น  อย่าว่าแต่รถ  ที่นี่ไม่มีแม้แต่มอเตอร์ไซค์  บ้านเรือนเก่าฝุ่นเกาะคร่ำกระดำกระด่าง  บรรดาผู้คนที่แต่งกายแบบจีนพื้นเมือง  หอบหิ้วไก่เป็นๆ  จูงล่อ  ซื้อแตงโมที่ขนมาจากไร่บนรถอีแต๋นดำปี๋เก่าคร่ำ  หากจะดูว่าล้าหลังห่างความเจริญก็คงได้  แต่ฉันมองว่าเป็นวิถีที่เรียบง่าย  พอเพียง  และมีเสน่ห์จริงๆ

ก่อนเข้าเมืองหลินซางเราผ่านอำเภอเล็กๆชื่อหนาเจี้ยน  ที่นี่มีการปลูกข้าวบาร์เล่ย์กันมาก  เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วแทนที่จะต้องเสียแรงฝัดข้าวให้เหนื่อย  ภูมิปัญญาชาวบ้านกลับฉลาดล้ำ  เอารวงข้างบาร์เล่ย์มากองเต็มพื้นถนนให้รถแล่นทับนวดให้เมล็ดร่วงหล่นออกจากรวง  เราแล่นรถไปถึงเห็นบาร์เล่ย์กองเต็มถนนทีแรกก็พยามยามขับหลบ  แต่พอเห็นอาซ้อยืนคอยโบกมือให้แล่นทับเลยเข้าใจ  ทีนี้เลยช่วยแล่นทับให้อย่างเต็มใจ  เป็นการเป็นอยู่แบบชาวบ้านอีกอย่างที่ว่ากันง่ายๆซื่อๆอย่างนี้เอง

ต้าลี่  เมืองมรดกโลก

หลังจากตะลุยตะลอนขับรถกันไม่หยุดมาสี่วันเต็ม  เราก็มาถึงเมืองแรกที่จะได้หยุดแวะเที่ยวกันจริงๆ  ต้าลี่ (Dali) ได้ถูกประกาศให้เป็นเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรมโดยยูเนสโก  เราเข้าพักที่โรงแรมในเขตเมืองเก่า  ชื่อโรงแรมลานหลิงเก๋อ  หรือ Landscape Hotel ซึ่งขอแนะนำเป็นอย่างยิ่ง  โรงแรมเป็นตึกจีนเก่าหลายตึกเรียงกันเป็นหมู่  ในตึกมีคอร์ทยาร์ดตรงกลาง  วางหมู่โต๊ะมุกให้นั่งเล่น  ประดับด้วยภาพวาดจีนโบราณ  และไล้แสงสลัวเหลืองนวลจากโคมไฟที่ตามอยู่ทั่ว  ได้บรรยากาศโรงเตี๊ยมเรโทรเก๋แบบห้าดาว  ห้องนอนตกแต่งน่ารักด้วยผ้ามัดย้อมสีน้ำเงินอันโด่งดังประจำต้าลี่  เฟอร์นิเจอร์แบบจีนประยุกต์กับโคมไฟเหลืองนวลสลัว  แม้แต่ตู้เสื้อผ้ายังออกแบบคล้ายเตียงนอนจีนโดยใช้ผ้ามุ้งขาวจีบม่านแทนฝาตู้  เพียงตัวตึกโรงแรมก็สวยงามและเต็มไปด้วยเรื่องราวไม่รู้เบื่อแล้ว  ใครรักโรงแรมแนว Heritage Hotel ที่เต็มไปด้วยความสะดวกสบายแบบห้าดาวไม่สมควรพลาด

ที่สำคัญเพียงก้าวเท้าออกด้านหน้าโรงแรมก็คือใจกลางเมืองเก่าต้าลี่ที่น่าเดินเล่นชมไม่รู้เบื่อ  ส่วนด้านหลังคือถนนสายชุมนุมของเหล่าฝรั่งนักท่องโลกที่เต็มไปด้วยบาร์เก๋  และถนนชอปปิ้งหลักที่เต็มไปด้วยงานฝีมือแบบพื้นบ้านอันน่าตื่นตะลึงและราคาถูกไม่น่าเชื่อ  ไม่ว่าจะเป็นผ้ามัดย้อมแบบต้าลี่  ราคาผ้าปูโต๊ะขนาดหกที่นั่งเพียงร้อยกว่าบาท  หรือเสื้อจีนแนวชางไฮแทงที่ตัวละไม่กี่ร้อยบาทหากไม่รังเกียจฝีมือที่ลูกทุ่งแบบอาม่าชุนเอง  ส่วนฉันได้รองเท้าผ้าสำหรับดอกบัวสวรรค์ปักด้วยมือยิบทั้งคู่  ใส่บีบหัวเล็กน้อยด้วยเท้าเราไม่ใช่ดอกบัว  แต่เพื่อความเก๋ขอสู้ตาย  กับกระเป๋าสะพายแบบจีนที่ปักแน่นจนไม่เห็นเนื้อผ้า  ผสมสารพัดแม่สีแปร๋แปร๋นแบบไม่เกรงใจใคร  ออกงานไหนรับรองกระเป๋าฝรั่งเศสไม่มีทางเก๋เท่า  ส่วนราคาไม่อยากบอกให้อิจฉา  ขึ้นอยู่กับความสามารถในการต่อ(แบบภาษาใบ้)  และความถูกชะตากับอาม่าคนขาย  แต่ฉันได้มาด้วยหลักร้อยต้นๆเท่านั้นเอง

เสน่ห์ของเมืองเก่าต้าลี่ที่ฉันต้องใจอยู่ตรงที่วิถีชีวิตของชาวบ้าน  ถึงจะดูก็รู้ว่าต้าลี่ถูกจัดแต่งให้คงความเป็นเมืองเก่าเอาไว้อวดนักท่องเที่ยว  แต่หากดูดีๆชาวบ้านที่นี่ก็ยังใช้ชีวิตเป็นปกติธรรมชาติหาได้ตั้งใจอวดโชว์  หากตื่นเช้าแล้วเดินไปตามถนน Fuxing Lu ที่คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวในตอนกลางคืน  จะแปลกใจที่พบว่าบรรยากาศตลาดเช้าที่สะท้อนวิถีชีวิตชาวบ้านแท้ๆเกิดขึ้นณ.ที่ถนนเดียวกัน  เพียงต่างเวลา  อาซ้อหลายคนเดินหาบสาแหรกหวายหน้าหลังไปจ่ายตลาด  อาม่าผอมเกร็งสะพายกระบุงหวายเบ้อเริ่มบนหลังบรรจุอาหารสดที่เพิ่งซื้อมา  บ้างก็มีอาม่าและอาแปะเข็นรถเข็นหรือถีบสามล้อมาด้วยกันบรรทุกผักเต็มคัน  แม่บ้านบางคนหยุดคุยกันอย่างถูกคอเบาๆข้างๆร้านขายปาท่องโก๋  ถนนทั้งสายยังเงียบด้วยร้านค้าจะเปิดรับนักท่องเที่ยวเมื่อสายไปแล้ว  ทั้งถนนจึงมีเพียงชาวบ้านแท้ๆในชุดจีนพื้นบ้านที่ไม่ได้ใส่โชว์  หมอกจางๆลอยตัวบนยอดหลิวที่เรียงตัวเป็นแถวเลียบคลอง  หลังคาและประตูจีนที่ปิดเงียบในเมืองเก่าต้าลี่ที่ซุกตัวอิงอยู่ในอ้อมโอบของภูเขาตาไซที่ยืนตระหง่านยอดคลุมด้วยหิมะขาว  เป็นอารมณ์อ้อยอิ่งยามเช้าที่น่ามหัศจรรย์ ที่ฉันติดใจคือชาวบ้านหลายคนที่เดินคุยกลับมาจากตลาดด้วยกัน  โดยมีไก่เป็นๆขนสีน้ำตาลเหลือบสวยนั่งเรียบร้อยอยู่หลายตัวในกระบุงสะพายหลังหรือสาแหรก  มันจะรู้ตัวไหมนะว่ากำลังจะได้ขึ้นโต๊ะเป็นมื้อเอกสำหรับครอบครัว  นึกถึงไก่ที่คนอเมริกันซื้อมาทำอาหาร  เราเคยค่อนขอดเพื่อนอเมริกันว่าดัดจริต  รู้จักแต่ไก่ฟิเลต์คือตัดแต่งเป็นชิ้นมาเสียสวย  ไม่มีกระดูกไม่มีหนัง  เห็นเราคนไทยซื้อไก่เป็นชิ้นติดกระดูกมาเลาะเองก็ทำหน้าเบ้  นี่ถ้ามาเห็นคนจีนซื้อไก่เป็นๆไปถอนขนเองจะร้องว่าอย่างไร

สิ่งหนึ่งที่เป็นเหมือนเส้นเลือดหล่อเลี้ยงและเชื่อมต่อทุกชีวิตที่ต้าลี่ไว้ด้วยกันคือลำคลองเล็กๆที่ขนานคั่นกลางระหว่างถนนและฟุตบาธทั่วเมือง   คลองนี้แคบเพียงก้าวกระโดดข้าม  และถูกสร้างขอบคั่นด้วยหินเป็นคันอย่างสวยงามตลอดทั้งเมือง  มีสะพานโค้งเล็กๆน่ารักพาดผ่านตลอดสายให้คนเดินข้ามไปมาได้  ความลึกคลองเพียงแค่สองสามฟุต  ก้นคลองเป็นก้อนหินธรรมชาติเรียงกัน  บางครั้งน้ำจึงไหลผ่านเหมือนน้ำตก  แลดูสวยงามและได้ยินเสียงน้ำไหลเพราะ  ทำให้ต้าลี่มีชีวิตชีวาเหมือนมีน้ำตกธรรมชาติอยู่กลางเมือง  ว่ากันว่าชาวต้าลี่มีชีวิตที่ขึ้นอยู่กับลำคลองนี้  เพราะใช้น้ำจากคลองทำทุกอย่าง  เราจึงเห็นชาวบ้านล้างผักทั้งกะละมังในคลองนี้ในใจกลางเมือง  เห็นเด็กน้อยปีนลงไปวักน้ำกินและล้างมือ  และเห็นอาหมวยเอาชามก๋วยเตี๋ยวที่กินเสร็จแล้วลงไปล้าง!!!

นอกจากเมืองเก่าที่มีเรื่องราวให้นั่งมองได้ไม่รู้เบื่อแล้ว  สัญลักษณ์อีกอย่างของเมืองต้าลี่ฟู่แห่งอาณาจักรน่านเจ้าในอดีตที่ไม่ควรพลาดชมคือเจดีย์ซั่นถะที่เรียงตัวกันอยู่สามองค์  และมีวัดฉมซึ่นซื่ออยู่ด้านบน  เจดีย์สีขาวนวลไข่ไก่นี้มีรูปทรงคล้ายหลังคาวัดญี่ปุ่น  เรียงกันเป็นชั้นๆ  ภายในบริเวณเจดีย์และวัดใหญ่ทีเดียว  และต้องเดินขึ้นบันไดหลายขั้นเมื่อถึงด้านในสุดจะเห็นวิวเมืองต้าลี่ที่มีเขาตาไซยอดคลุมหิมะขาวเป็นพื้นหลัง  และเห็นทะเลสาบเป๋อไห่ที่อยู่ฝั่งเมืองใหม่  สวยงามมาก

ต้าลี่เป็นเมืองเล็กๆน่ารักที่เที่ยวทั่วได้ไม่เหนื่อยทว่าเต็มอิ่ม  ถ้ามีเวลาสองสามวันสามารถนั่งเครื่องมาจากกรุงเทพได้  เป็นทริปสั้นๆไม่ไกลที่ได้บรรยากาศเข้มข้นของวัฒนธรรมอย่างเต็มที่  น่าจะเป็นทางเลือกใหม่ที่ดีของชาวกรุงเทพ  ถ้ามีเวลาฉันคงของอ้อยอิ่งอยู่ต่ออีกสักวันสองวัน  เพียงแต่ว่าเรามีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่กว่ารออยู่ในวันนี้

มุ่งสู่ที่ราบสูงทิเบต  ปากประตูดินแดนสุดขอบฟ้า

จากต้าลี่เราจะเริ่มเดินทางไต่เขามุ่งขึ้นสู่เขตทิเบต โดยมีจุดหมายที่เมืองจงเตี้ยนหรือชื่อใหม่นามแชงกรี-ลาเป็นดังปากประตูเปิดสู่แดนสวรรค์ที่สูงสุดขอบฟ้า

เส้นทางจากต้าลี่สู่จงเตี้ยนถือเป็นโร้ดทริปที่น่าประทับใจอีกเส้นทางหนึ่ง  เพราะนอกจากจะมีจุดหมายสำคัญหลายแห่งที่พลาดไม่ได้  รวมถึงเมืองลี่เจียง  เมืองมรดกโลกอีกแห่งหนึ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าต้าลี่  ซึ่งเราจะเก็บไว้ย้อนกลับลงมาทีหลัง  การเปลี่ยนแปลงของวัฒนธรรม  บ้านเรือน  การเป็นอยู่ของผู้คน  และทิวทัศน์ยังค่อยๆเป็นไปอย่างน่าอัศจรรย์ชั่วเพียงขับรถวันเดียว  จากชานเมืองต้าลี่ที่เราเห็นชาวบ้านทำไร่ผักเล็กๆ  ลงแขกเก็บเกี่ยวกันง่ายๆริมถนน  ขับผ่านเมืองเล็กและหมู่บ้านหลายแห่ง  ซึ่งทำให้เห็นวิถีชีวิตชาวจีนที่เรียบง่ายในอีกแบบหนึ่ง  บ้านเรือนแบบจีนที่สร้างด้วยอิฐก้อนโตเรียงกันง่ายๆไม่มีการฉาบเคลือบ  ประตูไม้หนาหนักในกรอบซุ้มงอนแบบจีน  ซ่อนคอร์ทยาร์ดและตัวบ้านอย่างเป็นส่วนตัวไว้เบื้องหลัง  สวยแบบธรรมชาติแท้  หากน่าเสียดายที่เก่าโทรมและสกปรกเป็นส่วนมาก

ระหว่างทางมีที่สำคัญสองแห่งที่พลาดไม่ได้  ที่แรกคือหุบเหวเสือกระโจน หรือ Tiger-Leaping Gorge ซึ่งเป็นโตรกผาแม่น้ำในซอกเขาที่ลึกที่สุดในโลก  ความลึกจากยอดเขาถึงแม่น้ำนั้นลึกถึงสามพันกว่าเมตรทีเดียว  และเป็นจุดที่แคบที่สุดของแม่น้ำแยงซีเกียง  จากที่จอดรถต้องเดินไต่บันไดลงเขาชันและไกลพอควรไปที่แม่น้ำ  ซึ่งจะเห็นหินก้อนใหญ่ขวางอยู่ตรงกลางแม่น้ำ ทำให้น้ำเชี่ยวที่ไหลมานั้นปะทะกระจายเป็นฝอยขาว  นี่เองคือที่มาของชื่อหุบเหวเสือกระโจน  ด้วยเขาว่ากันว่าสมัยก่อนเคยมีชาวบ้านเห็นเสือโคร่งตัวใหญ่มาข้ามแม่น้ำโดยกระโดดเหยียบไปบนหินก้อนใหญ่กลางแม่น้ำนั้น

หากเดินขึ้นเดินลงไม่ไหว  ก็มีชาวบ้านมาบริการแบกเกี้ยวให้นั่งขึ้นลง  คนแบกหน้าคนหลังคน  มีที่นั่งพอดีหนึ่งตัวคนนั่ง  พร้อมหลังคาหวายคลุม  น่ารักดี  ได้ประสบการณ์ไปอีกแบบ  หากฉันนิยมเดินมากกว่าแม้จะเหนื่อยสาหัสเอาการ  เพราะมีกฎส่วนตัวว่า  เวลาเดินทางให้พยายามเดินออกแรงทุกครั้งที่มีโอกาส  เนื่องจากไม่ได้การออกกำลังกายตามปกติ  เป็นเคล็ดง่ายๆที่ไม่ให้น้ำหนักขึ้นจากการเดินทาง  แต่สำหรับที่นี่ยิ่งพบว่าการเดินเองคุ้มกว่า  เพราะคนแบกมีการหยุดแบกเกี้ยวพักเหนื่อยตลอดทาง  คนนั่งก็ต้องนั่งจุมปุ๊กรอ  หรือบางคนมีการทิ้งให้นั่งรอในเกี้ยวเฉยๆเพราะขอวิ่งลงไปช่วยเพื่อนแบกลูกค้าด้านล่างอีกรอบก่อน  อย่างนี้ก็มีด้วย  แต่ที่เด็ดคือระหว่างทางเดินขึ้นนั้นมีชาวบ้านทิเบตแต่งตัวคล้ายชาวเขามานั่งขายสร้อยหินสีตามทางหลายเจ้า  แต่ละเจ้ามีของไม่มากและต่างไม่ซ้ำกันเลย  ดูรู้ว่าไม่ใช่เหมามาขายเหมือนกันทุกเจ้าแน่นอน  พวกนั่งเกี้ยวไม่มีโอกาสได้เห็นเลือกซื้อ  ส่วนฉันเดินไปจอดพักซื้อไปทุกเจ้า  ได้สร้อยมาหลายเส้นถูกมากๆเหลือเชื่อ  มีเส้นหนึ่งเป็นหินเม็ดเป้งๆสีสันแปร๋นสุดๆร้อยเป็นพวงยาว  อย่างที่เห็นเด็กชาวบ้านทิเบตใส่อยู่ที่คอเลย  ตลอดทั้งทริปเห็นป้าคนนั้นขายอยู่คนเดียว  ไม่เห็นมีที่ไหนอีก  ทุกวันนี้ใส่สร้อยเส้นนี้ทีไรก็มีอาการตื่นตะลึงของคนให้เห็นทุกที

อีกที่สำคัญคือโค้งแรกของแม่น้ำแยงซีเกียง  จุดนี้เป็นจุดที่เมื่อแม่น้ำแยงซีเกียงไหลจากเหนือมาใต้แล้วจู่ๆก็หักโค้งยูเทิร์นย้อนกลับขึ้นเหนือไป  ดูจากภาพถ่ายทางอากาศเห็นเป็นโค้งเหมือนถุงก้นกลมใหญ่ชัดเจน  แต่เมื่อไปดูของจริงริมฝั่งแม่น้ำจะไม่เห็นเป็นรูปโค้ง  เพราะมุมมองจากระดับพื้นในระยะใกล้ทำให้เห็นความโค้งไม่ชัด  ว่ากันว่า  หากเมืองจีนไม่มีโค้งนี้จะลำบากทีเดียว  เพราะจะเกิดน้ำท่วมใหญ่ได้  โค้งนี้ของแยงซีเกียงได้ช่วยชะลอกระแสน้ำเชี่ยวที่ไหลลงมาอย่างมาก  ด้วยความโค้งที่กว้างมากและไหลหักกลับถึง 180 องศา

ถึงแม้จุดชมวิวที่โค้งแรกแยงซีเกียงจะไม่ได้สวยมากมาย  ตรงหมู่บ้านเล็กๆชื่อหมู่บ้านสือกู่ที่เราจอดรถเพื่อเดินไปชมโค้งนั้นกลับมีตลาดนัดริมทางที่น่าสนใจมาก  ชาวบ้านต่างมาตั้งโต๊ะขายของกัน  เป็นพวกของเก่าชิ้นเล็กชิ้นน้อยและงานฝีมือประเภทโอทอป  ราคาถูกมากและหากตาดีจะได้ของดีๆไม่น่าเชื่อกลับไป  เห็นแล้วนึกถึงพวกเปิดร้านขายของเก่างานฝีมือท้องถิ่น  หากมาเห็นคงขนกลับไปไม่หวาดไม่ไหว

จากถนนราบเราค่อยๆเริ่มขับขึ้นที่ราบสูงทีละน้อย  และไต่โค้งของเขาขึ้นมาจนเริ่มเห็นภูเขาที่ยอดคลุมด้วยหิมะ  ถนนเป็นทางราดยางสวนกันคนละเลน  แม้ไม่ใช่ถนนหินที่แล่นได้ช้าอย่างเก่า  แต่ก็ทำเวลาได้ลำบากเช่นกัน  เพราะเราต้องพยายามรักษาขบวนยาวสองกิโลให้ไม่ขาดตอน  ในขณะที่มีรถสวนมาตามโค้งเขาตลอดเวลา  ดีที่เราได้ฝึกระบบการสื่อสารด้วยวิทยุกันจนทุกคนเข้าที่รู้ใจกันแล้ว  ทำให้นักขับทั้งหลายสนุกและเพลินไปอีกแบบ  จนกว่าจะรู้ตัว  บ้านทรงจีนกำแพงอิฐก็ได้กลายเป็นบ้านปูนเหลี่ยมทรงทิเบต  หน้าต่างแคบเล็ก  หลังคาเรียบไม่โค้งงอน  มีธงสีประดับไปเรียบร้อยแล้ว  และในทุ่งรอบๆบ้านแต่ละหลังที่มีราวตากข้าวบาร์เล่ย์กระจายอยู่ทั่วไป  พร้อมกับเจดีย์ขาวที่มีธงสีร้อยเป็นสายพาดผ่านที่มีให้เห็นมากมายนั้น  ก็ทำให้รู้ว่า  เราได้มาถึงที่ราบสูงแห่งทิเบตแล้วจริงๆ

ส่วนทิวทัศน์ก็สมกับที่เรียกว่าที่ราบสูงเหลือเกิน  เพราะเป็นที่ราบโล่งบนเนินน้อยๆ  ทุ่งหญ้าแห้งสีน้ำตาลไหม้ไกลสุดสายตา  หากอยู่สูงเสียดฟ้าด้วยความสูงสามพันกว่าเมตรเหนือระดับน้ำทะเล  นี่คือที่ราบสูงเต๋อชิงแห่งทิเบต  เทือกเขาใหญ่ตระการสุดปลายฟ้าที่โอบกอดทุ่งหญ้าไว้มียอดขาวโพลนปกคลุมยอด  ประหนึ่งขวางกั้นปกป้องดินแดนแห่งทิเบตไว้จากโลกภายนอก  เราได้เห็นจามรีตัวแรก  ขนยาวดำเป็นมัน  เขาหนาป้อมสองข้างโค้งเข้าหากัน  ยืนอยู่ในทุ่งหญ้าของบ้านหลังหนึ่ง  นี่เองตัวเป็นๆของวัวขนยาวของทิเบต  ที่ขนของมันมีค่าสูงนัก  ไม่นับเนื้อที่ราคาแพงเช่นกัน  ระหว่างทางเราผ่านร้านขายเนื้อจามรีหลายร้าน  มีขนหางของมันมัดเป็นพู่แขวนขายอยู่เป็นแผงสารพัดสี  ทั้งดำ  น้ำตาลและขาวบริสุทธิ์  ในร้านเจ้าของร้านกำลังนั่งแล่เนื้อจามรีที่คงเพิ่งล้มอยู่  ซี่โครงยังอาบเลือดแดง  ทุกอย่างขายหมดทุกส่วนอวัยวะ  และหัวกะโหลกที่เรียงอยู่เต็ม  แต่ฉันก็ต้องเดินจากมาโดยไม่ได้ซื้ออะไร  เมื่อหันไปสบกับตาดวงโตที่ยังใสแจ๋วของหัวกะโหลกเจ้าจามรีตัวนั้นที่กองอยู่บนพื้น

แชงกรี-ลา  ดินแดนสวรรค์สุดขอบฟ้า

เราจะพักที่จงเตี้ยน (Zhongdian) หนึ่งคืน  เพื่อเตรียมตัวและเตรียมพร้อมร่างกายก่อนจะออกเดินทางไต่ภูเขาหิมะไป่หมางขึ้นสู่เมืองเต๋อชิงซึ่งสูง 3,350 เมตรจากระดับน้ำทะเล  จงเตี้ยนเหมือนเป็นเมืองหน้าด่านปากทางตีนเขาขึ้นสู่สวรรค์  ที่จงเตี้ยนนี้ก็สูงจากกระดับน้ำทะเลและออกซิเจนเริ่มเบาบางจนบางคนเริ่มปวดหัวแล้ว  อากาศก็เริ่มเย็นลงมากจนต้องเปิดฮีทเตอร์นอน  ต่างคนต่างซื้ออุปกรณ์กันหนาวเพิ่มเติม  เราได้รับแจกหมอนบรรจุออกซิเจนคนละใบเพื่อพกไว้ใช้ในอีกสองวันข้างหน้าหากปวดหัวจากอากาศที่บางลง  ตึกรามที่จงเตี้ยนนั้นเห็นได้ชัดว่าเพิ่งสร้างขึ้นใหม่อย่างจงใจที่จะเปิดรับการท่องเที่ยวหลังจากประกาศเปลี่ยนชื่อเป็นแชงกรี-ลา  หากทุกอย่างยังดูแห้งแล้งไร้ชีวิตชีวาและไม่มีอะไรน่าสนใจเลย  ทุกคนจึงมุ่งแต่การเตรียมตัวและรถราให้พร้อม  และตื่นเต้นกับการที่จะได้ตื่นแต่เช้าเพื่อก้าวย่างเข้าสู่เขตแดนสวรรค์อย่างแท้จริงของทิเบต

หากการก้าวออกจากจงเตี้ยนมุ่งสู่เทือกเขาหิมะไป่หมางเป็นเสมือนก้าวย่างสู่สวรรค์  จุดแรกระหว่างทางที่เราจอดแวะจึงดูจะไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะเหมาะสมไปกว่าวัดลามะจงส้านหลิน (Songzanlin Lamasery) หรือที่รู้จักกันดีในนามวังโปตาลาน้อย  ด้วยคล้ายพระราชวังโปตาลาที่เมืองหลวงลาซาของทิเบต  วัดนี้เป็นวัดทิเบตที่ใหญ่และมีความสำคัญที่สุดในยูนนาน  สร้างขึ้นเมื่อปี 1679 ในสมัยราชวงศ์ชิงก็มีอายุกว่า 300 ปี  ตัววัดแบ่งเป็นแปดส่วนดังสัญลักษณ์ของบัวแปดกลีบ  ส่วนที่เป็นห้องสวดมนต์กับกุฏินั้นอยู่ด้านบนสุดของวัด  เราเดินไต่ขึ้นบันไดชันขึ้นไป  ด้านบนเป็นลานกว้าง  มองลงมาเห็นวิวสุดสายตาของหมู่บ้านด้านล่างและเทือกเขาสีน้ำตาลยาวตระหง่านกั้นอยู่ที่ขอบฟ้า  ดังกำแพงกั้นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งสรวงสวรรค์ไว้จากโลกภายนอก  สุดลานคือตึกส่วนที่เป็นห้องสวดมนต์รวมคล้ายอุโบสถ  ด้านหน้ามีม่านหนาหนักผืนใหญ่ทอจากขนจามรีสีดำลายขาวทิ้งตัวสูงลงมาสามชั้นปิดประตูทางเข้า  เมื่อแหวกสู่ด้านในจะพบส่วนหน้าก่อนเข้าห้องสวด  ซึ่งทาสีแดงจ้ามีจิตรกรรมฝาผนังลวดลายสีสดประมาณโรงงิ้ว  เมื่อก้าวนำด้วยเท้าซ้ายเข้าก่อนสู่ด้านใน  จะพบห้องสวดมนต์ที่มีที่นั่งเป็นแถวยาวตามขวางหลายแถว  จุพระลามะได้ถึง 1600 รูปทีเดียว  นึกถึงบรรยากาศที่ลามะเต็มห้องสวดพร้อมกันในวัดที่เก่าแก่ 300 กว่าปี  และของทุกอย่างในห้องนั้นก็ดูท่าจะเก่าพอกันด้วย  บรรยากาศสลัว  คงจะขลังทีเดียว  แต่ที่เราเห็นวันนั้นมีเพียงเณรองค์เล็กที่ก้มหน้าก้มตาท่องบทสวดมนต์เสียงดังเป็นภาษาทิเบตอยู่ในห้องติดกัน  มีกองไฟจุดให้ความอบอุ่นอยู่ข้างเตียงนอน  เป็นภาพชวนขลังและศรัทธาที่ดึงดูดให้แอบยืนมองอยู่นาน  หากพอคนเริ่มมามุงดูมากเข้า  เณรเลยพาลหันมาตะโกนพร้อมกับโบกมือไล่เสียงดังลั่นด้วยเสียสมาธิ

อีกภาพที่ฉันประทับใจคือท่ากราบพระของชาวทิเบต  ฉันยืนดูชาวบ้านที่มาไหว้พระทำบุญ  เมื่อก้าวเข้ามาถึงด้านในห้องสวด  ตรงด้านหน้าจะมีผ้าปูอยู่หน้าแท่นปักธูปซึ่งตรงกับองค์พระด้านใน  เขาจะยืนยกมือไหว้แล้วทรุดตัวลงกราบโดยคุกเข่าแล้วไถลตัวค้อมก้มลงเอาหน้าราบแบมือเหยียดยาวไปกับพื้น  แล้วลุกขึ้นมายืนใหม่เพื่อกราบให้ครบสามครั้ง  นี่คือการกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์ คือกราบโดยให้อวัยวะในร่างกาย 8 ส่วนสัมผัสพื้น ฉันว่าเป็นการกราบที่แสดงออกถึงศรัทธาได้อย่างน่าชื่นชม  เพราะต้องตั้งใจไปทั้งตัวจริงๆ

อีกวัดที่เราแวะคือวัดลามะตงจวู๋หลิน (Dongzhulin Lamasery) เล็กกว่าวัดจงส้านหลินแต่เก่ากว่า  สร้างเมื่อปี 1574  อยู่บนเส้นทางการค้าใบชาโบราณที่เมืองปันจือหลาน (Bengzilan) ในอ้อมกอดของภูเขาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบต  ที่วัดนี้เราเห็นพระลามะในจีวรสีแดงอมชมพูสดหลายรูปตั้งแต่ปากทางเข้าวัดเรื่อยไป  ตอนที่เดินจากที่จอดรถผ่านกุฏิเข้าไปก่อนถึงวัด  ฉันเห็นพระโผล่ออกมามองไปนอกหน้าต่างเล็กแคบแบบทิเบต  เหมือนภาพที่เคยเห็นชินตาในแนชั่นแนลจีโอกราฟฟิกหรือหนังสือท่องเที่ยว  แต่พอมาเห็นเองมันได้ความรู้สึกบอกไม่ถูก  เป็นภาพที่ตั้งคำถามได้มากมาย  ด้วยความน่าสนใจในความเป็นไปอันเรียบง่ายราวกับเมื่อหลายร้อยปีที่แล้ว  ของโลกและสังคมที่ต่างจากที่เราอยู่อย่างสิ้นเชิง

จากวัดเราเริ่มการขับไต่เขาอย่างจริงจัง  เส้นทางขับลัดเลาะเทือกเขาไป่หมางนี้ถือเป็นสุดยอดของโร้ดทริปสู่แชงกรี-ลา  ถนนเป็นทางเลียบโค้งไต่เกาะไปตามเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ  ทางแคบเลนเดียวถึงจะโค้งไปโค้งมาตลอดเวลาแต่พื้นถนนนับว่าดีใช้ได้และขับไม่ยากมาก  เราวิทยุถามความสูงกันตลอดจากรถคันที่มี GPS  ขับไต่ความสูงขึ้นๆจนเริ่มเห็นภูเขาสูงมีหิมะปกคลุมยอดล้อมรอบ  บรรยากาศเริ่มสลัวอึมครึมด้วยสีเข้มขรึมของเขาหินโล้นที่ไร้ต้นไม้  พอเลี้ยวโค้งฉันมองลงไปในหุบเขา  ข้างล่างก็ลึกมาก  ข้างบนก็สูงใหญ่ตระการเสียดฟ้า  รู้สึกว่าตัวเราช่างเล็กนิดเดียว  มีอยู่ช่วงหนึ่งท่ามกลางถนนและภูเขาที่แห้งเป็นสีน้ำตาลกลับมีดอกเหมยบานเต็มต้นสีชมพูอ่อนเรียงรายอยู่ที่ขอบเขาเป็นแถวราวกับรอต้อนรับเรา  และกลีบที่ลมพัดร่วงลงก็เสมือนมีนางฟ้าโปรยกลีบดอกไม้ลาดบนทางเดินให้เราก้าวเหยียบเข้าสู่เขตสวรรค์

เมื่อรู้ตัวอีกที่หิมะที่เห็นอยู่ไกลๆบนยอดเขาก็มากขึ้นและใกล้เข้าจนมาขาวโพลนถึงขอบข้างถนนแล้ว  ถนนราดยางกลายเป็นถนนหินก้อนโตที่ไม่มีไหล่ทาง  ฝนปนหิมะเริ่มโปรยลงมา  รอบตัวกลายเป็นหมอกขาว  จนในที่สุดทั้งขอบทาง  ภูเขา  และพื้นถนนก็มีแต่หิมะปกคลุมขาวโพลนเต็มไปหมด  บ้านหลังเล็กข้างทางถูกฝังในหิมะเห็นแต่หลังคาโผล่ขึ้นมา  เราจอดรถกันที่ความสูง 4,000 เมตร  แล้วสโนว์ไฟท์ก็เริ่มขึ้น  ทุกคนต่างปาหิมะใส่กันอย่างสนุกสนานตรงกลางถนนนั่นเอง

ณ จุดหนึ่งเราเห็นราวธงสามเหลี่ยมหลากสีตัดกับสีขาวโพลนของหิมะพาดผ่านหลายสายอันเป็นสัญลักษณ์ของการบูชาของชาวทิเบต  แลดูเหมือนว่าบนสวรรค์อันบริสุทธิ์นี้  สิ่งเดียวที่อนุญาตให้มิใช่สีขาวคือสีสันแห่งศรัทธา  และณ ตรงนั้น  เรารู้ว่า  เราได้มาถึงแล้วที่แชงกรี-ลา  แดนสวรรค์สุดขอบฟ้าที่หลายคนใฝ่จะมาเยือนให้เห็นกับตา  และหลายคนแสวงหาว่ามีจริงหรือไม่

เรามาถึงเมืองเต๋อชิง  เมืองที่ตั้งอยู่สูงที่สุดในมลรัฐยูนนานในยามที่แสงสุดท้ายของดวงอาทิตย์ลาลับพอดี  ท่ามกลางความสลัวด้วยอุณหภูมิติดลบ  เมืองเล็กเงียบเชียบที่ซุกตัวอยู่ในปราการหุบเขาอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบตนี้  จึงเหมือนเมืองที่ถูกซ่อนเก็บไว้เป็นความลับของแชงกรี-ลา

ด้วยความยากลำบากที่จะมาถึง  เต๋อชิงจึงเป็นเมืองเล็กที่ยังห่างไกลความเจริญมาก  แม้ในไม่ช้าเชื่อได้ว่าจีนคงเปิดเต๋อชิงให้เป็นเมืองท่องเที่ยวใหญ่แน่  ในวันนี้เต๋อชิงจึงยังไม่มีโรงแรมหรูหรือความตระการตาล่อใจนักท่องเที่ยว  ในเมืองที่ดูเหมือนหมู่บ้านเล็กๆในหุบเขานี้  ที่พักที่ดีที่สุดคือโฮลี่ทิเบตโฮเต็ลหรือโรงแรมคาวาเก๋อเป๋อ  ฉันไต่บันไดแบกกระเป๋าขึ้นไปห้องพักชั้นสามพลางนึกในใจว่าทำไมต้องโชคร้ายได้ห้องชั้นบนสุดด้วย  เข้าห้องไปเจอห้องหัวมุมที่มีม่านจีบย้วยล้อมหน้าต่างยาวจรดสองฝากำแพง  อาบน้ำที่ร้อนบ้างเย็นบ้างสลับกันไปที่อุณหภูมิลบสาม  หากเตียงสะอาดที่ปูทับด้วยผ้านวมหนานุ่มสองชั้นก็ทำให้หลับสบายได้ถึงเช้า  ตื่นขึ้นมาแดดยังไม่พ้นยอดเขาดี  ฉันรูดม่านเปิดกว้างออกทั้งสองฝาแล้วก็ต้องตื่นตะลึง  ภูเขายอดขาวด้วยหิมะสองลูกตั้งตระการอยู่ตรงหน้าราวกับจะเอื้อมมือไปจับได้  บ้านเรือนชาวบ้านที่อยู่ต่ำลงไปเริ่มเห็นควันไฟพุ่งออกมา  หมอกเป็นสายลอยอ้อยอิ่งอยู่ข้างหน้าพอดี  คั่นกลางระหว่างหมู่บ้างด้านล่างและยอดเขาด้านบน  นี่เอง A room with a view ของจริง  หน้าต่างกระจกยาวจากกำแพงจรดกำแพงสองด้านของห้อง 309 มอบเต๋อชิงทั้งเมืองให้ฉัน  และตอนนี้เองที่ฉันรู้ว่า  สวรรค์มีจริง

ตามรายการจุดหมายสุดท้ายของแชงกรี-ลาคือภูเขาหิมะเหมยลี่  ซึ่งเราจะขับรถเข้าไปที่หมู่บ้านหมิงหย่งอันเป็นหมู่บ้านทิเบตโบราณ  และจะขี่ม้าไต่เขาขึ้นไปชมธารน้ำแข็งกัน  และยังจะไปเยี่ยมชมวัดเทียนจื่อหรือไถ้จวื่อที่สร้างขึ้นบูชาภูเขาเหมยลี่  หากเช้านี้หิมะตกหนักมากต่อเนื่องมาทั้งคืน  เมื่อคณะปรึกษากันแล้วจึงตัดสินใจล้มเลิกไม่ไปทั้งหมด  ด้วยเส้นทางที่จะไปซึ่งรถสวนกันแทบไม่ได้นั้นตอนนี้ปกคลุมด้วยหิมะหนามากจนอันตรายเกินไปแม้รถเราทุกคันจะขับเคลื่อนสี่ล้อก็ตาม

เราตัดสินใจขับรถกลับจงเตี้ยน  ดูจากสภาพอากาศและถนนที่ขาวโพลนไปด้วยหิมะแล้ว  เราคงต้องขับอย่างระมัดระวังและใช้เวลานานกว่าขามาแน่นอน  บนเส้นทางไต่เขาไป่หมางขากลับนั้น  เราจะจอดชมเทือกเขาเหมยลี่อันเป็นส่วนหนึ่งของเทือกเขาหิมาลัย  เทือกเขาเหมยลี่ถือเป็นดังเมกกะของชาวทิเบต  ที่หนึ่งครั้งในชีวิตจะต้องเดินทางมาบูชา  เหมยลี่มียอดเขา 13 ยอด  เรียกว่าไถ้จวื่อซาน  ที่แปลว่ายอดเขารัชทายาทหรือโอรสสวรรค์  ยอดที่สูงที่สุดซึ่งสูงสุดในยูนนานด้วย  ถือเป็นพ่อคือกาวาการ์โป (Kawa Karpo) สูงถึง 6,740 เมตรจากระดับน้ำทะเล  ยอดที่สูงรองลงมาเป็นแม่ชื่อเหมียนฉู่มู่  อีกสิบเอ็ดยอดที่เหลือเป็นลูก  ยอดกาวาการ์โปนี้เองที่มีลักษณะเป็นรูปปิระมิดดังที่เจมส์ ฮิลตันได้บรรยายแชงกรี-ลาเอาไว้  เป็นหลักฐานว่าตี๋ชิงคือแชงกรี-ลานอกเหนือไปจากแม่น้ำสามสายที่ไหลผ่านคือ  แยงซีเกียง (จินซาเจียง) โขง(หลันชางเจียง)  และสาละวิน (นู่เจียง)  และหลักฐานที่ว่าในภาษาตี๋ชิงเท่านั้นที่มีคำที่ออกเสียงใกล้เคียงแชงกรี-ลาว่า เซียงเก๋อหลี่ลา ที่แปลว่าสถานที่ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ประทับอยู่ในดวงใจ

เมื่อเรามาถึงลานบูชายอดเขาโอรสสวรรค์ซึ่งมีเจดีย์สีขาวอยู่ 13 องค์ตามจำนวนยอดเขาเหมยลี่นั้น  หิมะตกหนักขึ้นและหมอกลงจัดมาก  ฉันเดินไปไหว้เจดีย์ที่เรียงกันอยู่  ยืนอยู่ดีๆเจดีย์ที่เห็นเรียงกันเป็นแถวยาวนั้น  เพียงกระพริบตาหมอกก็พัดมาขวางหน้ากระทั่งเห็นได้ไกลเพียงปลายมือเท่านั้น  หากก็มิอาจหยุดศรัทธาหญิงชราชาวทิเบตที่กระย่องกระแย่งเผาใบไม้ในฐานเจดีย์เพื่อบูชาสักการะกาวาการ์โป  และเดินไปไล่หมุนกงล้อทองเหลืองที่เรียงกันอยู่  พร้อมสวดภาวนา โอมมณีปัทเมหุม ด้วยศรัทธาที่หมอกหิมะใดก็มิอาจทัดทาน

ฉันนิ่งอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง  นอกจากจะไม่ได้ไปหมู่บ้านหมิงหย่งและธารน้ำแข็งแล้ว  ที่สำคัญอากาศยังไม่เป็นใจให้เห็นสุดยอดความงามของแชงกรี-ลาคือยอดกาวาการ์โปอีกด้วยแม้จะยืนอยู่ตรงหน้าจุดบูชานี้แล้ว  สมกับที่ชาวทิเบตเชื่อว่ากาวาการ์โปเลือกที่จะเผยหรือไม่เผยตัว  หากด้วยสถิติแล้ว  ในเดือนเมษายนที่ฉันไปนี้  โอกาสเห็นยอดกาวาการ์โปมีเพียง 10% ในเดือนพฤษภาคมถึงกลางมิถุนายนมีโอกาส 25% และจะได้เห็นดอกกุหลาบพันปีหรือ Rododendron บานด้วย  หากช่วงเวลาที่มีโอกาสเห็นมากสุดคือกลางเดือนกันยายนถึงพฤศจิกายน

ไม่เป็นไร  ถึงอย่างไรฉันก็ดั้นด้นมาถึงแชงกรี-ลาแล้ว  และยอดกาวาการ์โปก็อยู่ตรงหน้าฉันนี่เองแม้จะซ่อนตัวอยู่หลังทะเลหมอกที่บังขุนเขาตระหง่านที่ยิ่งใหญ่ไว้จนมิด  ด้วยศรัทธาเฉกเช่นที่หญิงชราชาวทิเบตผู้นั้นมี  ฉันก็บรรลุเป้าหมายแห่งการเดินทางแล้วเช่นกัน  แปลกดีที่แม้แชงกรี-ลาจะเป็นเป้าหมายแห่งการเดินทางที่ฉันได้พิชิตแล้ว  ก็ยังมีส่วนหนึ่งของที่นี่ที่ยังคงเป็นความลับไว้  อาจจะเป็นความตั้งใจของกาวาการ์โปกระมัง  ที่จะให้แชงกรี-ลาเป็นดินแดนแห่งปริศนาแก่ฉันตลอดไป

แม้ตอนแรกฉันจะคิดว่าการที่ไม่ได้เห็นเทือกเขาโอรสสวรรค์เป็นการพลาดสุดยอดแห่งแชงกรี-ลา  ฉันก็ผิดไปแล้วอย่างจัง  เพราะเส้นทางไต่ขอบฟ้าเทือกเขาไป่หมางขาลงจากเต๋อชิงมาจงเตี้ยนในวันนั้นต่างหาก  คือประสบการณ์แห่งชีวิตที่ถือว่าเป็นสุดยอดของโร้ดทริปนี้จริงๆ  เส้นทางเดิมที่เราขับขึ้นไปวันก่อนนั้น  เหมือนเป็นอีกเส้นทางเมื่อปกคลุมไปด้วยหิมะหนาที่ตกลงมาร่วมเมตรในกลางคืน  ถนนหินที่แคบและไม่มีไหล่ทางอยู่แล้วนั้น  เมื่อปกคลุมด้วยหิมะจนขาวโพลนยิ่งไม่มีทางรู้ได้เลยว่าขอบถนนอยู่ตรงไหน  แม้รถพวกเราจะขับบนหิมะได้สบายอยู่แล้ว  แต่บางคนก็ไม่เคยขับรถในหิมะมาก่อน  แม้จะคลานตามกันประมาณ 10 ก.ม.ต่อชั่วโมง   ก็ยังไม่วายมีเรื่องหวาดเสียว  เมื่อรถคันหนึ่งลื่นปัดไปอยู่ที่ขอบเหว  ต้องไปช่วยแก้สถานการณ์กันจึงหลุดมาได้  และที่น่าหวาดเสียวที่สุดคือเวลามีรถสวนมากันเป็นขบวนยาว  ตำรวจที่นำขบวนเราต้องลงไปกรุยทางและจัดคิวให้สวนกัน  แต่ละครั้งใช้เวลานานมากเพราะบางทีรถที่สวนมาก็เป็นรถบรรทุกหรือรถทัวร์คันโตๆ  รถเราอยู่ท้ายขบวนไม่เห็นว่าข้างหน้าเกิดอะไรขึ้นบ้าง  ได้แต่รับแจ้งทางวิทยุ  จอดแต่ละครั้งนานขนาดที่ลงไปเล่นปาหิมะกันได้เป็นเรื่องเป็นราว   หรือบางคนก็จัดการหาอะไรกินกันได้เป็นมื้อ  แต่ก็ดับเครื่องรถไม่ได้เพราะอาจสตาร์ทไม่ติด  หิมะตกลงมาไม่หยุด ไม่มีอาหารไม่มีคลื่นโทรศัพท์  มีแต่เหวกับหิมะ  และเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ  ไม่มีทีท่าว่าเราจะหลุดลงมาข้างล่างได้เลย  เหมือนติดในพายุหิมะแบบในหนังไม่มีผิด  ตอนนั้นฉันไม่ได้กลัวอะไรเลย  เพราะเคยชินและรู้ฝีมือขับรถในหิมะของคนขับมือหนึ่ง  แถมยังอุ่นสบายในรถที่มีฮีทเตอร์แม้กระทั่งที่เบาะนั่ง  มารู้ทีหลังว่าคนในรถคันอื่นหลายคันสวดมนต์กันแทบแย่

สรุปแล้วระยะทางเพียง 90 ก.ม. เราใช้เวลาเดินทางในวันนั้นถึง 9 ชั่วโมง  กว่าจะถึงจงเตี้ยนเราก็ใช้เวลาไปร่วม 14 ชั่วโมง  นับว่าเราใช้เวลาดื่มด่ำความงามของแชงกรี-ลาได้คุ้มจริงๆ

แม้จะต้องล่ำลาแชงกรี-ลากันที่จงเตี้ยน  ความสนุกของโร้ดทริปนี้ยังไม่หมด  เพราะจุดหมายต่อไปของเราคือเมืองลี่เจียง  อีกหนึ่งเมืองมรดกโลกทางวัฒนธรรม  หากว่าต้าลี่น่าประทับใจแล้ว  ลี่เจียงยิ่งน่าประทับใจกว่าไม่รู้กี่เท่า  เราอยู่ที่ลี่เจียงกันสองวันสองคืน  ในเมืองเก่าใช้เวลาดื่มด่ำได้ไม่รู้เบื่อ  เพราะเต็มไปด้วยเสน่ห์ของวัฒนธรรมที่เฉพาะตัวมากมาย  คงต้องเก็บไว้เล่าต่างหาก  แต่ถ้าจะให้พูดสั้นๆ  ลองนึกถึงเมืองที่จอมยุทธบู๊ลิ้มมาชุมนุมกันเมื่อ 800 ปีก่อน  หากภาพที่นึกในใจเป็นอย่างไร  ลี่เจียงในวันนี้คือภาพนั้นเลย  จะขาดอยู่ก็แต่จอมยุทธที่ฟันดาบกันแล้วกระโดดตัวเบาไปตามหลังคาที่ซ้อนๆกันอยู่เท่านั้นเอง

ที่ลี่เจียงเราได้ขึ้นกระเช้าขึ้นไปบนยอดเขาหิมะมังกรหยกซึ่งสูงร่วม 6,000 เมตร  บนยอดเขาเป็นลานหิมะซึ่งไม่มีใครตื่นเต้นกันแล้วหลังจากติดอยู่บนไป่หมางทั้งวัน  จากลี่เจียงเป็นเส้นทางกลับบ้านซึ่งเราไม่ได้ขับย้อนทางเดิม  แต่จะขับขึ้นไฮเวย์เข้าพักหนึ่งคืนที่คุนหมิง  บางคนช้อปปิ้งแต่ฉันไม่ประทับใจเลยกับเมืองใหม่ไร้ชีวิตและรถติดขนาดนั้นหลังจากประทับใจไม่รู้ลืมมาแล้วจากต้าลี่  ลี่เจียง  และแชงกรี-ลา  จากนั้นเส้นทางที่เราขับรถต่อคือขึ้นไฮเวย์จากคุนหมิงเข้ามาเชียงรุ้ง  หากไม่นับถนนในประเทศไทย  ทางช่วงนี้คงเป็นทางที่ขับสบายที่สุดแล้ว  และมีอุโมงค์ยาวๆตลอดสาย  ที่ยาวที่สุดคือสามก.ม. กว่าๆ  เราได้ผ่านสะพานข้ามแม่น้ำเอ๋อซานที่เป็นสะพานตอม่อปูนที่สูงที่สุดในโลกด้วย  ชื่อสะพานหงเหอ

จากเชียงรุ้งเป็นการขับทับเส้นทางเดิม  คือมุ่งสู่เมืองล่า  ผ่านด่านโมฮังข้ามชายแดนจีนเข้าลาวที่ด่านบ่อเต็น  ระหว่างทางเราได้เห็นสาวๆคนไตแต่งตัวสวยงามเกล้าผมกางจ้องออกมาฉลองงานสงกรานต์กันทุกหมู่บ้าน  คืนสุดท้ายเราพักที่เมืองหลวงน้ำทา  พอเช้าก็ลุยทางที่วิบากที่สุดอย่างขามาคือ 180 ก.ม. 6 ชั่วโมงกับถนนก่อสร้างที่ได้เล่นออฟโร้ดกันอย่างเต็มที่อีกครั้งก่อนกลับบ้าน  ถึงชายแดนข้ามเข้าประเทศไทยสู่เชียงของแล้วตีรถเข้ากรุงเทพ  ทันทีที่รถเราแตะถนนประเทศไทย  เราพูดพร้อมกันโดยไม่นัดหมายว่า  บ้านเราเจริญจังเลย  แม้แต่ถนนในอำเภอเล็กๆชายแดนยังดีเลย  เราจอดกินข้าวร้านเล็กๆข้างถนนโดยไม่ต้องกังวลเลยว่าจะท้องเสียหรือเปล่า  และขอเข้าห้องน้ำโดยไม่กลัวเลยว่าจะไม่สะอาด  ฉันบอกตัวเองว่า  You have to travel far to discover what’s near.”ตลอดทางเชียงราย-กรุงเทพ  ฉันนั่งทบทวนถึงประสบการณ์โร้ดทริปครั้งนี้ที่หลายอย่างเป็นครั้งแรกที่แตกต่าง  ถึงแชงกรี-ลาในฝัน  ดินแดนที่หลายคนไม่เคยคิดจะไป  หรือคิดไม่ออกว่าจะไปอย่างไร  หรือไม่รู้จักเลยด้วยซ้ำ  แต่เราได้ไปมาแล้วอย่างเต็มอิ่ม  และได้ไปในรูปแบบที่ไม่น่าเชื่ออีกด้วย  5,500 กิโลเมตรด้วยรถของเราจากบ้านของเราเองในกรุงเทพ  จากถนนที่ดีที่สุดของประเทศไทย  ลุยโคลน หลุม บ่อ  ขับข้ามลำธารน้ำ  ลุยฝุ่นบนทางก่อสร้างในลาว  ผ่านถนนปูด้วยหินโบราณ  ทางที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อในจีน กระทั่งสุดยอดลุยหิมะบนถนนไต่ขอบฟ้าที่เทือกเขาไป่หมาง  เราไปมาแล้ว  แชงกรี-ลาแห่งทิเบตแดนสวรรค์สุดขอบฟ้า  แล้วจะให้ใครเชื่อง่ายๆได้อย่างไร

ถึงได้บอกไปก็ไม่เชื่อ  Unbelievable Road Trip จริงๆ

Itinerary

เส้นทางโร้ดทริปอันเหลื่อเชื่อ 13 วัน กรุงเทพ-แชงกรี-ลา  ระยะทาง 5,600 ก.ม. และเวลาการเดินทาง

วันที่ 1 กรุงเทพ-เชียงของ 850 ก.ม. (ซุปเปอร์ไฮเวย์มีเกาะกลางจากกรุงเทพจนถึงพะเยาจึงแยกเข้าทางลาดยางสภาพดี)

วันที่ 2 ชายแดนเชียงของ-ห้วยซาย  ประเทศลาว-หลวงน้ำทา-ด่านบ่อเต็น-ด่านโมฮังประเทศจีน-เชียงรุ้ง 450 ก.ม. (ถนนทางดินแดงฝุ่นจัดเพราะเป็นเส้นทางก่อสร้างถนน  มีหลุมบ่อโคลนและลุยข้ามลำธาร  ผ่านหมู่บ้านชนบทกันดารของลาว  ในจีนถนนดีขึ้นเป็นลาดยางแต่ยังเล็กแคบ  ลัดเลาะผ่านหมู่บ้านชนบท)

วันที่ 3 เชียงรุ้ง-หลินซาง 450 ก.ม. (ถนนเลนเดียวปูด้วยหินโบราณลัดเลาะไปตามเขาและผ่านหมู่บ้านเล็กๆในชนบทจีน)

วันที่ 4 หลินซาง-ต้าลี่ 380 ก.ม. (ถนนลาดยางมีหลุมบ่อเป็นช่วงๆเลาะไปตามเขาเลียบแม่น้ำโขงและใช้ทางด่วนบางระยะ)

วันที่ 5 ต้าลี่–หุบเหวเสือกระโจน-โค้งแรกแยงซีเกียง-จงเตี้ยน 350 ก.ม. (ถนนลาดยางเล็กๆและไต่เขาขึ้นที่ราบสูงเลาะไปตามภูเขา)

วันที่ 6 จงเตี้ยน-ไต่ภูเขาหิมะไป่หมาง-เต๋อชิง 190 ก.ม. (ถนนปูด้วยหินแคบและคดเคี้ยวไปตามไหล่เขาสูงชัน  ไม่มีขอบถนน  มีหิมะตามขอบถนน  หากหิมะตกหนักอาจปกคลุมด้วยหิมะหนามิดจนไม่เห็นทางได้)

วันที่ 7 เต๋อชิง-เทือกเขาโอรสสวรรค์-จงเตี้ยน 190 ก.ม.

วันที่ 8 จงเตี้ยน-ลี่เจียง 200 ก.ม. (ถนนลาดยางขับไม่ยาก)

วันที่ 9 ลี่เจียง-ภูเขาหิมะมังกรหยก-ลี่เจียง 80 ก.ม.

วันที่ 10 ลี่เจียง-คุนหมิง 500 ก.ม. (ถนนใหญ่และไฮเวย์)

วันที่ 11 คุนหมิง-เชียงรุ้ง 650 ก.ม. (ถนนไฮเวย์คอนกรีต)

วันที่ 12 เชียงรุ้ง-เมืองล่า-ด่านบ่อเต็น-หลวงน้ำทา 260 ก.ม. (เส้นทางเดียวกับขามา)

วันที่ 13 หลวงน้ำทา-ห้วยซาย-เชียงของ-เชียงราย-กรุงเทพ 1,040 ก.ม. (เส้นทางเดียวกับขามา)

ข้อมูลเกี่ยวกับรถ

– รถควรเป็นขับเคลื่อนสี่ล้อเท่านั้น

– ค่าน้ำมัน  รถของเราดีเซลขนาด 2,500 ซีซี ใช้ 600 ลิตร ประมาณ 15,000 บาท  รถเบนซินแล้วแต่สภาพรถและรุ่น  ในขบวนเรามีตั้งแต่ 15,000 ถึง 30,000 บาท

– ก่อนไปควรเตรียมรถให้พร้อม  ตรวจเช็คยางและสภาพรถโดยรวม  ดูว่ายางอะไหล่และแม่แรงสามารถใช้งานได้จริง  – สิ่งที่ควรพกติดไปคือ  ไส้กรองน้ำมันเครื่องและเชื้อเพลิง  ไส้กรองอากาศ เพราะฝุ่นในลาวเยอะมาก สายพานเครื่องยนต์น้ำมันเครื่องและน้ำมันเบรกสำรอง  น้ำในหม้อน้ำควรเป็นน้ำยาหม้อน้ำไม่ใช่น้ำเปล่าเฉยๆเนื่องจากอากาศหนาว

– ระหว่างทางเมื่อเห็นปั๊มให้เติมน้ำมันให้เต็มเสมอแม้ยังไม่หมดถัง

– การแพ็คของเข้าท้านรถควรจัดให้เป็นระเบียบหยิบออกง่าย  โดยเฉพาะยางอะไหล่เพราะอาจต้องจอดหยิบของระหว่างทางที่เล็กแคบหรืออยู่บนไหล่เขา

ที่พัก

เมืองต้าลี่  โรงแรมลานหลิงเก๋อ หรือ Landscape Hotel 96 Yuer Road, The Old City of Dali, 86-0872-2666188

เมืองจงเตี้ยน  โรงแรมหลงฟุ้งเสียงหรือ Holy Palace Hotel  ดีที่สุดในเมือง 86-0887-8229788

เมืองเต๋อชิง โรงแรมคาวาเก๋อเป๋อ  ดีที่สุดในเมืองและวิวสวยที่สุดอย่างกับสวรรค์ต้องห้อง 309

เมืองลี่เจียง  โรงแรม He Xi อยู่ที่ The Square of South Gate Lijiang Old Town 86-0888-3105888

ร้านอาหารและของกิน

ส่วนมากเป็นร้านเล็กๆพื้นเมือง  ไม่ควรกินอาหารที่ไม่สุกหรือน้ำดื่มไม่สะอาดเพราะจะท้องเสียได้ง่าย  เพื่อความปลอดภัยควรขอน้ำร้อนมาลวกจานชามก่อนกินอาหารทุกครั้ง  ผักในเมืองจีนเก็บสดๆจึงกรอบอร่อยแต่ควรทำให้สุกก่อน  ที่อร่อยมากคือพริกหยวกหรือพริกใหญ่เขียว  ผัดน้ำมันอร่อยมาก  แฮมยูนนานกินเล่นอร่อยเพลิน  ที่ห้ามพลาดคือขาหมูยูนนานกินกับหมั่นโถร้อนๆ  และยามเช้ามีปาท่องโก๋ตัวโตๆทอดขายทั่วไป  อย่าลืมผลไม้แห้งแช่อิ่มหรืออบแห้งและบ๊วยหวานเค็มนานาชนิดติดไว้ในรถ  เมื่อถึงทิเบตควรลองชิมเนื้อจามรีของดีราคาแพง  ทำกินได้หลายอย่าง  คนไม่กินเนื้อมาหลายปีลองแล้วยังติดใจ  บอกว่าไม่เหม็นเลย  ขากลับอย่าลืมซื้อเนื้อสวรรค์จามรีมีขายหลายร้านที่ลี่เจียง

ของควรซื้อ

แส้ขนจามรี  เนื้อสวรรค์จามรี  หากไม่สงสารมัน  ของกินควรซื้อแฮมยูนนาน  ผลไม้แห้ง  ที่ทิเบตควรซื้อกังหันมนตราเป็นที่ระลึก  ซื้อในวัดอาจแพงกว่าไม่กี่บาทแต่ได้ทำบุญไปด้วย  สร้อยหินเม็ดเป้งๆร้อยหลากหลายแบบใส่เดินกรุงเทพเก๋มากๆมีขายตามร้านขายของที่ระลึก  เครื่องประดับเงินแบบจีนมีขายไม่แพงที่ลี่เจียงหรือเมืองเล็กๆระหว่างทาง  เสื้อจีนใส่เล่นถูกๆหลายแบบมากมายมีขายทั้งที่ต้าลี่และลี่เจียง  เสื้อผ้ากระเป๋ารองเท้าปักมือแท้ๆก็น่าซื้อ  ที่ต้าลี่ต้องซื้อผ้าปูเตียงคลุมโต๊ะมัดย้อมสีน้ำเงินขาว  ของเก่าแท้ของแต่งบ้านกระจุกกระจิกมากมายเหมาะนำมาแต่งบ้านสไตล์โอเรียนทัล  อย่าลืมว่าซื้อของทุกอย่างต้องต่ออย่างน้อยครึ่งราคา

การเตรียมตัวและของที่ควรนำติดรถไป

ใครกินอาหารรสจืดไม่ได้ควรพกน้ำปลาพริกป่นไข่เค็มปลาเค็มตามอัธยาศัย  ในรถควรมีผ้าห่มเสื้อหนาวพร้อมหยิบฉวย  ร่มมีประโยชน์มากเอาไว้ใช้กางบังเวลาจอดชิ้งฉ่องข้างทาง  กระติกน้ำร้อนห้างลืมเพราะก่อนออกจากโรงแรมทุกเช้าให้ขอน้ำร้อนใส่กระติกไว้ให้เต็ม  เอาไว้ใช้สารพัดประโยชน์ทั้งชงกาแฟ มาม่า โจ๊กและล้างถ้วยชาม  กระดาษเช็ดมือแบบเปียกหรือผ้าเย็นเอาไปเยอะๆ  อย่าลืมยาประจำตัวและยาเบื้องต้น  ขนมขบเคี้ยวและของใช้กระจุกกระจิกเอาไปเกินไว้ก่อนเป็นดีเพราะเส้นทางส่วนมากเป็นชนบท  ร้านค้าหายากและคนพูดภาษาอังกฤษไม่ได้  เสื้อหนาวและลองจอห์นเอาเกินไว้ก่อน  เมื่อถึงจงเตี้ยนให้ซื้อออกซิเจนกระป๋องติดไว้ก่อนขึ้นเต๋อชิงเพราะยิ่งสูงยิ่งแพง

เกร็ดเล็กน้อย

– การออกเสียงชื่อสถานที่ต่างๆในภาษาจีนจะไม่ตรงกับการเขียนในภาษาอังกฤษ  ทางที่ดีควรศึกษาไปหรือถามคนท้องที่ถึงการออกเสียงให้ถูกต้องจะได้ไม่หลงทางและอ่านแผนที่ได้ถูกต้อง

– คนส่วนมากพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลยแม้แต่ในโรงแรมสี่ดาว  จึงควรพกไกด์บุคหรือดิกชันนารีจีนไปด้วย

– เพื่อความสะดวกในการขออนุญาตนำรถเข้าประเทศลาวและจีน  ควรใช้บริการบริษัทที่ชำนาญรับดำเนินเรื่องพร้อมรับจัดโร้ดทริป

4 COMMENTS

  1. ….โห … อ่าน เพลิน และ คงไท่ต้องไปเองแล้ว
    เพราะ ที่เจียนนี้ ละเอียด มาก บรรยาย ให้เห็น ราวกับ ได้ไปด้วยตัวเอง ??????

  2. สุดยอดค่ะ..น้องฟ้าอ่านแล้วอยากไปเลย..!!อยากไปซื้อผ้าปูโต๊ะ,กระเป๋า,รองเท้า,สร้อยหินสี..(ต้าลี่คือความฝันค่ะ..เพราะดูจินซีฮ่องเต้แล้ว..ต้าลี่ปรากฏชื่อในประวัติศาสตร์จีน)

    • ดีใจที่ชอบค่ะ อยากกลับไปอีกเหมือนกันค่า

Comments are closed.