ฉันคิดเอาเองว่า คนเราหากในวัยเด็กเติบโตขึ้นมาในเมืองใด ก็คงจะผูกพันกับเมืองนั้นมากเป็นพิเศษ เมื่อนึกถึงคราวใดก็คงจะรู้สึกอบอุ่นใจ และมีความสุขเมื่อภาพความทรงจำในอดีตหวนกลับมา หากสิ่งที่ฉันคิดเป็นเช่นนั้นจริง เมืองๆที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชน่าจะอบอุ่นพระทัยยามหวนคิดถึง ก็คงจะเป็นเมืองอื่นใดไปไม่ได้นอกจากเมืองโลซานน์ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ด้วยทรงเคยประทับอยู่ถึง 18 ปี ตั้งแต่ทรงพระเยาว์

โลซานน์อยู่ห่างจากซูริคที่ฉันอยู่ไปเพียงขับรถ 2 ชั่วโมง แต่ภาษาที่ใช้ก็เปลี่ยนจากเยอรมันไปเป็นฝรั่งเศสแล้ว เมื่อมาอยู่ใหม่ๆฉันไม่ได้ไปเที่ยวหรือมีธุระอะไรที่นั่นมากมายนัก อีกทั้งยังเคยไปมาแล้วปลายสิบปีก่อน จึงไม่ได้คิดจะไปเที่ยวเจาะลึกทั้งๆที่นึกตระหนักอยู่ในใจเสมอว่า นี่คือเมืองสำคัญในประวัติศาสตร์ไทย และฉันควรจะไปเยี่ยมชมสถานที่สำคัญต่างๆให้สมกับที่เป็นคนไทยที่มาอาศัยอยู่สวิตเซอร์แลนด์

แล้วก็มีเหตุการณ์ที่อาจจะไม่บังเอิญผ่านเข้ามาในชีวิต เมื่อปี 2557 ฉันและกลุ่มคนไทยในยุโรปมีความคิดดำริขึ้นมาด้วยกันว่า เราน่าจะจัดงานวันเฉลิม 5 ธันวาคมให้คล้ายกับในประเทศไทย เพื่อให้คนไทยที่อาศัยอยู่ในยุโรปได้ออกมาแสดงความจงรักภักดี ความเป็นคนพลัดถิ่นก็อยากจะมีโอกาสได้ออกมาใส่เสื้อเหลืองและจุดเทียนถวายพระพรกับเขาบ้าง ความคิดของกลุ่มต่อยอดไปถึงว่า อยากจัดงานให้ยิ่งใหญ่จนได้ชื่อว่าเป็นงานที่คนไทยในยุโรปออกมารวมตัวกันได้มากที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ฉันเขียนคำโปรยขึ้นมาอย่างตรงกับที่หัวใจพูดที่สุดว่า ร่วมกันใส่เสื้อเหลืองให้ยุโรปเป็นสีทองผ่องอำไพ จุดเทียนให้สว่างไสวไปทั้งยุโรป บอกให้โลกรู้ว่าเรารักพ่อมากแค่ไหน”

ทีมงานจากหลายประเทศช่วยกันคิดว่าสถานที่จัดงานควรเป็นที่ไหนดี ที่ทุกประเทศเดินทางมาได้ง่าย สถานที่จัดงานทำได้สมพระเกียรติ แล้วทุกคนก็ลงมติกันว่าเมืองโลซานน์นี่แหละเหมาะสมที่สุด นอกจากจะตอบโจทย์ทุกประการแล้ว สิ่งสำคัญที่สุดคือเป็นเมืองสำคัญในวัยเยาว์ของพระองค์ท่าน หากทรงเห็นภาพพวกเราใส่เสื้อเหลืองจุดเทียนกันสว่างไสวไปทั้งเมืองๆนี้ คงจะทรงดีพระทัยมาก

นั่นคือเหตุการณ์ที่ทำให้ฉันได้เที่ยวชมสถานที่ตามรอยพระบาทในเมืองโลซานน์ เพราะทีมงานอยากจัดทัวร์พาเพื่อนๆที่มางานให้ได้ชมสถานที่สำคัญเหล่านั้น และฉันยังต้องรับหน้าที่พานักข่าวที่มาทำข่าวเก็บภาพสถานที่ต่างๆก่อนวันงาน จึงได้ไปเยี่ยมชมสถานที่เหล่านั้นในรูปแบบที่ยิ่งพิเศษกว่าใครในฐานะคนเตรียมงาน

ก่อนอื่นต้องเล่าก่อนถึงภูมิประเทศของเมืองโลซานน์ก่อนจะได้เห็นภาพ ทางใต้ของเมืองอยู่ติดทะเลสาบ Lac Léman หรือทะเลสาบเจนีวานั่นเอง ส่วนเมืองด้านนี้มีสถานที่สำคัญเกี่ยวพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลฯคือสวนสาธารณะ Parc du Denantou และโรงแรม Beau Rivage Palace ซึ่งขอเก็บไว้เล่าทีหลัง ส่วนตัวเมืองเก่านั้นอยู่บนเนินเขาสูงทางเหนือขึ้นมา ระหว่างริมทะเลสาบและเมืองเก่ามีรถรางวิ่งตรงดิ่งชันขึ้นสูงจึงไม่ต้องเดินให้เหนื่อย ระหว่างทางรถรางนี้ยังผ่านสถานีรถไฟหลักของโลซานน์ ดังนั้นหากใครมาถึงเมืองโดยรถไปก็สะดวกมากตรงที่ไม่ว่าจะขึ้นเมืองเก่าด้านบนหรือลงทะเลสาบด้านล่างก็สามารถซื้อตั๋วขึ้นรถรางสายเดียวกันนี้ได้เลย

สถานที่แห่งแรกในเมืองเก่าที่ต้องเล่าถึงคงต้องเป็น Place de la Ripponne อันเป็นลานใหญ่กลางเมืองหน้าตึก Palais de Rumine ห้องสมุดของมหาวิทยาลัยโลซานน์ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเคยศึกษา ลานนี้คือสถานที่ที่เราได้จัดงานถวายพระองค์ปีแรก เป็นจุดที่เหมาะสมที่สุดแล้ว เพราะอยู่ตรงใจกลางเมือง สวยงามอลังการ และมีประวัติศาสตร์เกี่ยวข้อง ลานนี้ปกติทุกวันเสาร์กลางวันจะมีตลาดนัดที่ชาวเมืองจะมาจับจ่ายซื้อของกันประจำ เมื่อตลาดวายลานก็จะโล่ง ให้ถ่ายรูปเคียงน้ำพุใหญ่พร้อมฉากตึกที่มีบันไดกว้างเป็นขั้นขึ้นไป สวยงามเป็นสง่า ยิ่งเมื่อนึกถึงภาพในสมัยก่อนที่พระองค์ทรงเสด็จมาเรียนที่นี่ยิ่งชวนขนลุก หากขึ้นรถรางมา สถานีที่จอดหน้าลานนี้พอดีคือ Riponne-M. Béjart หากขับรถมา ก็มีที่จอดรถใต้ตึกที่อยู่ตรงหน้าลานพอดี สะดวกมาก

มหาวิทยาลัยโลซานน์นี้มีความสำคัญต่อคนไทยมาก เพราะเป็นสถานศึกษาของทั้งพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ที่ 9 สมเด็จพระพี่นาง และสมเด็จพระบรมราชชนนีก็ทรงเข้ารับการศึกษาเพิ่มเติมที่นี่ด้วยเช่นกัน ทุกพระองค์จึงเคยทรงใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ ตามคำบอกเล่าที่ได้ยินมา คนเก่าแก่สมัยนั้นเห็นทุกพระองค์เสด็จเป็นประจำอย่างชีวิตประจำวันของคนทั่วไป เมื่อไปยืนอยู่ตรงลาน ปลาซเดอลาริปปอนน์ หน้าตึกมหาวิทยาลัยนั้น ฉันหลับตาคิดภาพเอาเอง เห็นพระองค์เสด็จไปมาตรงมุมนั้นมุมนี้ เสด็จขึ้นบันได ทรงผลักประตูบานใหญ่เข้าไปตัวตึกด้านใน หรืออาจจะประทับยืนที่ลานกับพระสหายกันอย่างที่ฉันยืนอยู่ก็ได้ ใครจะรู้ เมื่อนึกถึงว่าตัวเองได้มาทาบทับกับเวลาที่ต่าง แต่ในสถานที่จุดเดียวกับพระองค์เมื่อเจ็ดสิบกว่าปีที่แล้วก็ชวนให้ขนลุกนัก

ปัจจุบันมหาวิทยาลัยโลซานน์ย้ายออกไปนอกเมืองแล้ว ส่วนตัวตึกปัจจุบันที่ลาน ปลาซเดอลาริปปอนน์ นั้นเป็นสถานที่ราชการและพิพิธภัณฑ์ ภายหลังฉันได้เข้ามาร่วมฟังการบรรยายเทอดพระเกียรติเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริซึ่งสถานทูตไทยจัดด้านในตึกนี้ ห้องประชุมใหญ่ที่ใช้นั้นสวยงามน่าตะลึงมาก ภาพวาดเพดานและผนัง และโต๊ะเก้าอี้ที่เป็นไม้หนาๆแบบโบราณ โก้หร่านอลังการสมเป็นมหาวิทยาลัยเก่าแก่

จากลานนี้เดินผ่านถนนคนเดิน Rue Madeleine ชมร้านค้าในตึกโบราณไปแค่ไม่กี่นาทีก็ถึงลานเล็กๆชื่อ Place de la Palud รอบลานนี้มีร้านค้าร้านอาหารมากมาย น่ารักน่าเดิน ยิ่งช่วงเดือนธันวาคมแม้อากาศจะหนาว แต่อารมณ์คริสต์มาสก็ชวนครึกครื้นใจมาก หากตรงลานนี้มีอาคารสำคัญคือ Hotel de Ville หรือศาลาว่าการเมือง เป็นสถานที่ที่คนต้องมาจดทะเบียนแต่งงานที่นี่ดังนั้นจึงเห็นคนสวิสในชุดแต่งงานและชุดไปงานสวยๆมายืนถ่ายรูปกันตรงนี้บ่อยๆ

เดินไปตรงอีกมุมหนึ่งของลานนี้ตรงถนน Rue Mercerie จะเห็นบันไดไม้มีหลังคาคลุมมากมายหลายขั้นสูงลิ่วขึ้นไป แลดูเก่าแก่มาก บันไดนี้คือทางสัญจรของชาวเมืองมานานปี เรียกกันว่า Escaliers du Marché เป็นทางตัดตรงขึ้นเขาข้ามถนนขึ้นไปบนโบสถ์ใหญ่ประจำเมือง La Cathédrale de Lausanne ซึ่งอยู่บนจุดสูงสุดของเมือง สะพานนี้เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่มีเมืองไหนในสวิตเซอร์แลนด์เหมือน สมควรมาเยี่ยมชม ฉันได้ใช้เดินขึ้นลงหลายครั้งเป็นทางลัดระหว่างโบสถ์ด้านบนและเมืองเก่าที่อยู่ต่ำลงมา แต่บอกเลยว่าขนาดฟิตๆอย่างฉันยังหอบแฮ่กมาก

ตามถนนคนเดินปูด้วยก้อนหินโตๆโบราณในเมืองเก่านี้เต็มไปด้วยร้านรวงสองข้างทาง หากเงินสวิสฟรังก์ทำให้ซื้ออะไรไม่ลงก็น่าเดินเล่นชมบรรยากาศ ร้านอาหารคาเฟ่ต่างๆก็มีมากมาย ตอนจัดงานฉันก็ได้ฝากท้องร้านแถวนี้เพื่อความสะดวก ร้านหรูที่แนะนำคือร้านสเต็ก Brasserie Café de Paris สาขาจากร้านดั้งเดิมในเจนีวาที่คนไทยต้องไปเข้าคิวชิมกัน แต่มาที่โลซานน์นี่ไม่ต้องรอนาน ร้านนี้มีเมนูให้เลือกเพียงอย่างเดียว! คือเนื้อเสต็กติดมัน 180 กรัมโปะหน้าด้วยเนยสมุนไพรสูตรคาเฟเดอปารีส์ เคียงมากับสลัดผักถ้วยน้อยและเฟร้นช์ฟราย มีอย่างเดียวแต่อร่อยจนต้องลอง

เป็นที่รู้กันว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ทรงประทับอยู่ที่โลซานน์ถึง 18 ปี และได้ย้ายที่ประทับหลายครั้ง ฉันได้ตามรอยไปยังสถานที่ในประวัติศาสตร์ 3 แห่ง ที่แรกเป็นแฟลตหมายเลข 16 ถนนทิสโซต์ (Tissot) อันเป็นที่ประทับตั้งแต่ปี 2476-2478 เป็นแฟลตที่เรียบง่ายตามประสาบ้านของคนสวิสโดยทั่วไปเพราะขณะนั้นสมเด็จย่าทรงต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ปัจจุบันเราไปดูได้แต่เพียงตัวตึกด้านนอก เพราด้านในแบ่งเช่าเป็นที่ทำการสำนักงานต่างๆซึ่งเราจะไปรบกวนไม่ได้ ฉันเห็นด้านนอกตึกแล้วช่างไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเลย ตึกสีขาวเรียบๆเก่าๆธรรมดาทั่วไป หากไม่รู้มาก่อนฉันคงจะไม่ใส่ใจมองตึกนี้เลยด้วยซ้ำ และคงจะไม่มีวันเชื่อแน่ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ พระพี่นางและสมเด็จย่าทรงเคยประทับอยู่ที่นี่ แต่เพียงได้มาเห็นและยืนอยู่ตรงนั้นก็รู้สึกเปี่ยมใจบอกไม่ถูก

จากนั้นเดินไปไม่ไกลเพียงแค่ 10 นาทีก็ถึงแฟลตเลขที่ 19 ถนน Avenue de l’Avant-Poste ซึ่งเป็นที่ประทับของสมเด็จย่าตั้งแต่ปี 2493 หลังจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงราชาภิเษกแล้ว อันนี้ก็เป็นตึกธรรมดาเรียบๆอีกเช่นกัน และเราไม่สามารถมองชมอะไรได้มากนักเนื่องจากต้องระวังที่จะไม่รบกวนคนสวิสที่พักอาศัยอยู่

เรื่องการเคารพความเป็นส่วนตัวนี้คนสวิสนับว่าเป็นเลิศจริงๆ คือเขาจะไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน และเขาก็จะไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งเรื่องของเขา ตอนย้ายมาสวิตฯใหม่ๆนั้นถูกสั่งไว้เลยว่าอย่าได้เที่ยวไปมองเข้าไปในบ้านใครเขาเด็ดขาด ต่อให้เขาเปิดม่านโล่งโจ้งเปิดไฟล่อสายตาก็ห้ามมองเด็ดขาด เขาถือว่าควรอยู่ได้อย่างอิสระโดยที่ไม่ต้องมีสายตาใครมาละลาบละล้วง ตอนที่เตรียมงานทัวร์ให้คนที่มางานได้ชมสถานที่ประทับเหล่านี้ ทีมงานต้องเขียนจดหมายส่งเข้าไปให้บ้านทุกบ้านในบริเวณเพื่อขออนุญาตว่าจะมีกลุ่มคนไทยมาเยี่ยมชม เพราะเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ อาจจะอึกทึกครึกโครมไปบ้างก็ขออภัยไว้ล่วงหน้า

สถานที่ถัดไปคือที่ตั้งของ “วิลล่าวัฒนา” ที่เราเคยได้ยินกัน ซึ่งปัจจุบันไม่มีตึกนั้นอยู่แล้ว เจ้าของตึกที่ทำเป็นบ้านให้เช่าได้รื้อแล้วสร้างตึกใหม่ขึ้นมาแทน ปัจจุบันเลขที่ 51 ถนน Chemin de Chamblandes เป็นแฟลตให้คนเช่าและมีป้ายปักเขียนไว้ด้านหน้าตึกว่า “ทางส่วนบุคคล ห้ามเข้า” คงจะเป็นเพราะมีคนไทยแวะเวียนกันมารบกวนเขาหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆนั้น ตอนที่ฉันพานักข่าวไปเก็บภาพ ซึ่งเรามีกันเพียงสี่คนและช่างภาพอีกสอง และพยายามเดินไปตามถนนสาธารณะอย่างเงียบเรียบร้อยแล้ว คุณยายที่เดินผ่านมายังหยุดพูดด้วยท่าทางไม่ค่อยพอใจว่า มาทำอะไรกัน ถนนแถวนี้มีแต่บ้านคนอยู่นะ เธอมีธุระอะไร ดูสิ คนสวิสเขาเป็นอย่างนี้แหละ สอดส่องดูแลกันเองและเข้มเคร่งเรื่องความเป็นส่วนตัวอย่างที่สุด

จากบ้านที่สามารถเดินลงเนินไปยังสวนสาธารณะ Denantou ได้ ว่ากันว่าสมเด็จย่าทรงเสด็จพากันกับพระราชโอรสและธิดาดำเนินไปสวนกันอย่างคนสวิสทั่วไปอยู่บ่อยๆ ที่สวนนี้มีรูปปั้นลิง 3 ตัวกำลังทำท่าปิดหูปิดตาปิดปากซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรด และมีศาลาไทยอันสวยงามเด่นเป็นสง่าสมหน้าตาของประเทศ ใครผ่านไปมาก็ต้องหยุดชม ซึ่งรัฐบาลไทยได้สร้างในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 พรรษา และการดำเนินความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยกับสมาพันธรัฐสวิตฯครบ 75 ปี มอบแก่เมืองโลซานน์โดยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาเสด็จมาทรงเปิดในปี 2550

จากศาลาไทยนี้เดินตามทางในสวนสาธารณะเลียบทะเลสาบไปทางตะวันตก ก็จะมาถึงโรงแรม Beau Rivage หรูหราห้าดาว เป็นโรงแรมที่สมเด็จย่าและสมเด็จพระบรมชนกได้เสด็จมาฮันนีมูนกัน ฉันไม่มีเวลาเข้าไปชมด้านใน แต่ได้ผ่านไปมาหลายครั้งที่ไปโลซานน์

ย่านตรงโรงแรมโบริวาจและสวนเดอนองตูนี้เรียกว่า Ouchy เป็นส่วนด้านใต้ของเมืองติดทะเลสาบที่เกริ่นไว้แต่ต้น ริมทะเลสาบไม่ไกลโรงแรมโบริวาจมีปราสาทเก่าจากศตวรรษที่ 12 เห็นเด่นเป็นสง่าคือ Château d’Ouchy ตรงข้ามมีร้านอาหารสองร้านที่ฉันถูกใจ คือร้านขายเครปทั้งคาวหวาน La Crêperie d’Ouchy เหมาะไปกินเครปคาวมื้อกลางวันหรือเครปหวานแกล้มกาแฟยามบ่ายๆ นั่งง่ายๆเหมือนคาเฟ่ทั่วไปและราคาไม่แพง ส่วนอีกร้านอยู่ติดๆกันคือ Café du Vieil Ouchy เป็นร้านเก่าแก่ ขายอาหารสวิสแท้ๆ ที่ขึ้นชื่อคือฟองดูว์ซึ่งต้องกินเป็นชีสฟองดูว์จึงจะถือว่ากินแบบคนสวิสจริงๆ ฟองดูว์เนื้อแบบที่คนไทยนิยมนั้นคนสวิสกินกันน้อยมาก ฉันเคยรู้มาว่าพระบามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯทรงโปรดชีสฟองดูว์มากเช่นกัน และเคยให้จัดถวายสมัยพระพาสภาคเหนือเวลาหนาวๆเมื่อหลายสิบปีมาแล้ว อาหารอย่างอื่นที่ขึ้นชื่อก็มีขาแกะตุ๋น มันฝรั่งขูดทอดที่เรียกว่า Rösti อันนี้คนสวิสบางคนถือว่าเป็นจานประจำชาติทีเดียว ส่วนขนมขึ้นชื่อของร้านต้องชิมเมอแรงใส่ชีสกรุยแยร์ นอกจากนี้ทั้งยังมีชีสและไวน์ของสวิสให้เลือกอย่างสมเป็นร้านอาหารสวิสแท้ๆ

จากอุชชี่ตรงริมทะเลสาบมีสถานีรถรางสายเดิมที่เล่าถึงแล้ว นั่งตรงผ่านสถานีรถไฟขึ้นเขาย้อนกลับมา ปลาซเดอลาริปปอนน์ ตรงด้านบนของเมืองได้เลย ตอนที่ฉันไปเตรียมงานจัดงาน “ในหลวงในดวงใจ”ก็ป้วนเปี้ยนวิ่งขึ้นลงอยู่บนรถรางสายนี้ตลอด เพราะโรงแรมที่พักอยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟ ชื่อ Agora Swiss Night เป็นบูทีคโฮเท็ลที่ราคาสมเหตุสมผล ห้องหับน่ารัก สะอาดเรี่ยมสมคุณภาพแบบสวิส สะดวกสบายหาที่ติไม่ได้เลย ตั้งอยู่ตำแหน่งที่สะดวกสุดๆ และยังมีห้องอาหารเช้าชั้นบนสุดเปิดโล่งชมวิว อาหารอร่อยคุณภาพดี แถมมีมาม่าตั้งไว้ให้ข้างกระติกน้ำร้อนด้วย ท่าทางจะมีคนเอเชียมาพักพอสมควร

ได้ชมสถานที่ตามรอยพระบาทมาหลายที่ ทั้งที่ตั้งของวิลล่าวัฒนาเก่า แฟลต 2 แห่ง สวนสาธารณะเดอนองตู ศาลาไทย มหาวิทยาลัยโลซานน์ ได้พูดคุยกับบุคคลที่เกี่ยวข้องและรู้ประวัติที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ต่างๆสมัยทรงเคยประทับ แต่บอกตรงๆว่าฉันก็ยังรู้สึกเหมือนไม่อิ่ม เหมือนยังไม่ได้เห็นอะไร มีความรู้สึกว่าพระองค์ทรงเคยประทับอยู่ตั้ง 18 ปี และยังทรงเคยกลับมาประทับอีกครั้งเมื่อเยือนยุโรปอย่างเป็นทางการ เมืองก็เล็กๆ มันน่าจะมีรอยประทับอะไรให้จับต้องสัมผัสและเห็นได้มากกว่านี้ นี่เท่าที่เห็นก็เหลือเพียงตำแหน่งที่ตั้ง แต่ไม่สามารถเข้าไปชมด้านใน หรือถึงเข้าไปได้ก็ไม่เหลืออะไรเกี่ยวกับพระองค์ให้เห็นเลย มันรู้สึกเหมือนขาดหลักฐานพยานอย่างไรไม่รู้

สถานที่อีกสองแห่งที่ฉันอยากจะไปแต่เวลาไม่พอไปในครั้งนั้นคือ Clinique de Montchoisi สถานพยาบาลอันเป็นที่ประสูติของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และโรงเรียน Ecole Nouvelle de la Suisse Romande  ซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทั้ง 2 พระองค์ทรงเข้าเรียนตั้งแต่ชั้นประถมและอนุบาล โดยสองปีสุดท้ายเป็นนักเรียนประจำด้วย แต่ได้ยินมาว่า ทั้งสองแห่งไม่เปิดให้คนภายนอกเข้าไปวุ่นวายชมเล่น ซึ่งก็เหมาะสมแล้ว และถึงเข้าไป ก็ไม่มีอะไรให้ชมเป็นพิเศษอยู่ดี นอกจากจะรับรู้ว่า นี่คือสถานที่อันเคยเกี่ยวข้องกับพระเจ้าอยู่หัวของไทย

เนื่องจากสถานที่จัดงาน “ในหลวงในดวงใจ” คือลาน พลาซเดอลาริปปอนน์ ซึ่งอยู่ใจกลางเมือง ฉันจึงวนเวียนวิ่งวุ่นอยู่แต่แถวนั้นเสียมาก และงานต่างๆที่เกี่ยวข้องก็อยู่ไม่ไกลกัน เช่นการสัมนาวิชาการเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงอันเป็นส่วนหนึ่งของงาน จัดโดยสถานเอกอัครราชทูตไทยและมีนักวิชาการผู้มีชื่อเสียงหลายท่านมาพูด สัมนานี้จัดที่ห้องประชุมชั้นสองของศาลาว่าการเมืองตรงปลาซเดอลาปาลุด โก้มาก ส่วนชั้นล่างอาคารเดียวกันนั้นก็มีการจัดนิทรรศการพระบรมฉายาลักษณ์เก่าๆหาชมยากสมัยประทับที่สวิตฯ ฉันวิ่งเข้าออกในห้องจัดนิทรรศการนี้ก่อนวันงานหนึ่งวันเพื่อประสานงานต่างๆ เย็นวันนั้นเมื่อเราเก็บข้าวของในห้องและเดินออกมาเพื่อจะกลับโรงแรม ก็เห็นว่ามีกลุ่มฝรั่งแต่งตัวสวยงามมาถ่ายรูปกับเจ้าบ่าวเจ้าสาวอยู่ด้านหน้าตึก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของชาวเมืองโลซานน์ที่จะต้องมาเก็บภาพที่ระลึกวันแต่งงานกันตรงนั้น

เราคงจะพูดคุยกันเองเสียงดังไปหน่อย  คุณตาฝรั่งผมขาวในสูทโก้หันมามองตามเสียงแล้วเดินแยกออกจากกลุ่มตรงเข้ามาหาเรา ยิ้มแล้วถามเป็นภาษาอังกฤษว่า “พวกเธอเป็นคนไทยใช่ไหม” ฉันชอบว่า “ใช่ คุณฟังออกเหรอคะ” และโดยไม่คาดคิด คุณตายิ้มกว้าง ไม่ตอบคำถาม แต่พูดว่า

“เธอรู้ไหม ฉันเรียนที่มหาวิทยาลัยโลซานน์นี้ …. ในช่วงเวลาเดียวกับ ภูมิพล…”*

“……..” เราทุกคนได้แต่อ้าปากกว้าง

“ใช่ พระมหากษัตริย์ของเธอนั่นแหละ”

ฉันตั้งสติได้ ร้องถามไปด้วยความตื่นเต้นว่า “จริงหรือคะ คุณตาเป็นพระสหายหรือคะ”

คุณตาบอกว่าไม่ได้เรียนชั้นเดียวกัน คุณตาเรียนปีหลังพระเจ้าอยู่หัวฯ แต่ว่าเป็นช่วงเวลาเดียวกันจึงได้เห็นพระองค์ใช้ชีวิตเสด็จไปมาในรั้วมหาวิทยาลัยเช่นเดียวกับนักศึกษาอื่นๆ ฉันตื่นเต้นมากๆ เคยแต่ได้ยินคนไทยในโลซานน์เล่าต่อๆกันมาว่า คนสวิสในโลซานน์รุ่นเก่าๆเคยเห็นพระองค์และยังจำได้กันทั้งนั้น หากเจอคนไทยก็มักจะเล่าเรื่องเก่าๆให้ฟัง คนสวิสรักพระองค์ ภูมิใจที่พระองค์เคยเป็นพลเมืองที่อาศัยที่นี่ เขารู้สึกเป็นเกียรติที่เมืองโลซานน์คือสถานที่ที่พระมหากษัตริย์ของไทยถึงสองพระองค์ทรงเติบโตและเล่าเรียนที่นี่ ฉันไม่คาดคิดเลยว่าจะได้ประสบพบเจอกับคนรุ่นเก่าที่มีประสบการณ์ตรงเข้ามาพูดคุยให้ฟังเช่นนี้ ขนลุกไปหมดทั้งตัว จากสีหน้าและน้ำเสียงของคุณตา ฉันเข้าใจแล้วว่าคนโลซานน์รักพระองค์เพียงใด และมันไม่ใช่แต่เพียงคำร่ำลือ นี่ไง หลักฐานพยานที่ฉันโหยหา … มันไม่ได้อยู่ในตึกหรืออาคารก่อสร้างใดๆ แต่มันอยู่ในหัวใจของคนโลซานน์……ฉันขอถ่ายรูปกับคุณตาไว้เป็นที่ระลึกด้วยความตื้นตันใจ เสียดายที่ไม่ได้ถามชื่อและเบอร์ติดต่อท่านเอาไว้ จึงต้องขออนุญาตไม่นำภาพคุณตามาลง เพื่อไม่เป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคุณตา

การที่โชคดีได้มาเป็นส่วนหนึ่งในการจัดงานเพื่อพระองค์นี้ทำให้ฉันรู้แล้วว่า ถึงแม้จะไม่เหลือร่องรอยของสถานที่ต่างๆให้เห็นเป็นรูปธรรมมากนัก แต่บอกได้เลยว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ของพวกเรายังคงอยู่ในความทรงจำและเป็นความภูมิใจของคนโลซานน์อย่างไม่เลือนหาย การที่เราคนไทยได้ไปตามรอยพระองค์ท่านในเมืองนี้จึงเป็นสิ่งที่มีความหมายยิ่ง และควรค่าที่จะไปสักครั้ง สำหรับฉัน ถือเลยว่าเป็นบุญแก่ตัว และเป็นพรอันประเสริฐสำหรับการเดินทางไม่ว่าทริปใดๆตลอดไปทั้งชีวิต

*หมายเหตุ ผู้เขียนขอกราบแทบพระบาทขอพระราชทานอภัย ที่ใช้คำเรียกพระนามโดยปราศจากพระสิริยศ เพียงต้องการใช้คำเรียกตามที่คนสวิสที่พบในเนื้อเรื่องกล่าวถึงพระองค์จริงๆ ด้วยเห็นว่าเป็นการแปลมาจากภาษาอังกฤษ และจะป็นการแสดงให้เห็นว่าชาวสวิสรู้สึกใกล้ชิดพระองค์อย่างไรผ่านทางภาษาที่เขาใช้โดยไม่ได้ดัดแปลง ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด

What to see

สถานที่สำคัญตามรอยพระบาท

  • ศาลาไทยในสวน ตั้งเด่นเป็นสง่างดงามอยู่ในสวนสาธารณะ Le Denantou หากหาเจอให้ถามหา Pavillon Thaïlandais
  • แฟลตหมายเลข 16 ถนนทิสโซต์ (Tissot)
  • แฟลตเลขที่ 19 ถนน Avenue de l’Avant-Poste
  • ที่ตั้งวิลลาวัฒนาเก่า เลขที่ 51 ถนน Chemin de Chamblandes
  • โรงแรม Beau Rivage ที่ฮันนีมูนของสมเด็จย่าและพระบรมมหาราชชนก
  • Clinique de Montchoisi สถานพยาบาลอันเป็นที่ประสูติของทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี
  • โรงเรียน Ecole Nouvelle de la Suisse Romande
  • ชมตึกมหาวิทยาลัยโลซานน์ที่หน้าลาน Place de la Riponne ช้อปปิ้งแบบชาวเมืองโลซานน์ที่ทำกันมาหลายสิบปี ที่ตลาดนัดหน้าลาน Place de la Riponne ทุกวันเสาร์

Where to Eat

  • Brasserie Café de Paris กินสเต็กชื่อดัง ที่อยู่ Place Saint-François 5, 1003 Lausanne เว็บ http://lausanne.chezboubier.com/en/
  • La Crêperie d’Ouchy เครปอร่อยริมทะเลสาบ ที่อยู่ Place du Port 7, 1006 Lausanne เว็บ ouchycrep.ch
  • Café du Vieil กินชีสฟองดูว์แท้แบบสวิส ที่อยู่ Ouchy Place du Port 3, 1006 Lausanne เว็บ vieilouchy.ch
  • Les Délices du Siam ร้านอาหารไทยที่เล็กๆเรียบง่ายแต่รสชาติอร่อยถูกปากคนไทย เป็นร้านที่เคยทำอาหารถวายสมเด็จย่าและพระพี่นางหลายครั้ง อยู่เมืองเล็กๆนอกโลซานน์ไป 15 นาทีแต่ถ้านั่งรถไฟไปสะดวกมากแค่ 6 นาทีเท่านั้น ที่อยู่ Avenue de la Gare 1, 1020 Renens โทร +4121 635 8177
  • Tribeca ร้านนั่งสบายๆในเมืองเก่าตรงป้ายรถราง จะกินอาหารกลางวันหรือเย็นก็ดี หรือแวะพักกินกาแฟยามบ่ายก็ได้ สะดวกและอร่อย ที่อยู่ Place de la Riponne 4, 1005 Lausanne เว็บ tribeca-lausanne.ch

Where to Stay

โรงแรม Agora Swiss Night by Fassbind ที่อยู่ Avenue du Rond-Point 9, Lausanne, 1006 เว็บ

www.agoraswissnighthotel-lausanne.com

Beau Rivage Palace Hotel ที่อยู่ Chemin de Beau-Rivage 21, 1006 Lausanne เว็บ www.brp.ch

2 COMMENTS

  1. ได้อ่านเรื่องนี้จากนิตยสารแล้ว รู้สึกประทับใจ และส่วนตัวรักพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช อยู่แล้ว พอได้อ่านเรื่องเลยทำให้สักวันหนึ่งเราอยากไปเมืองโลซานต์บ้าง อยากไปดูพระตำหนักวิลล่าวัฒนา อยากไปดูมหาวิทยาลัยโลซานต์ และที่สำคัญคือศาลาไทย อยากไปมากที่สุด ช่วงเวลานี้นับตั้งแต่ 13 ตุลาคม 2559 เป็นต้นมาไม่มีวันไหนเลยที่จะไม่คิดถึงพระองค์ท่าน องค์พ่อหลวงของปวงชนชาวไทยค่ะ…
    Som Thanida…

    • ขอบคุณค่ะ กางโพยเรื่องติดตัวตามไปเที่ยวได้เลยนะคะ ฝรั่งโลซานน์รักพระองค์มากๆเช่นกันค่ะ

Comments are closed.