แม้จะเจาะลึกเปรูไปแล้วอย่างละเอียดสามเมืองกับถึงสองสัปดาห์  ความลึกลับและปาฏิหาริย์ของเปรูก็ยังคงตกตะกอนนอนอยู่ในใจฉันอย่างไม่เสื่อมคลาย  หนึ่งปีผ่านไป..ภาพประสบการณ์ที่ผ่านมาก็คอยจะผุดขึ้นมาในใจตลอด  ทุกครั้งก็จะรู้สึกว่าความสุขมันล้นท่วมท้นและคิดถึงขึ้นมาอย่างรุนแรง  เหมือนมีเสียงเรียกให้กลับไปอีก  ไม่เคยเลยที่ฉันจะเฝ้าวนเวียนครุ่นคิดอยากกลับไปเยือนสถานที่เดิมที่เคยไปมาแล้วอย่างสลัดออกจากหัวไม่ออกเช่นนี้  เหมือนคนที่ตกหลุมรัก  นี่ฉันคงจะต้องมนต์สะกดลึกลับของเปรูเข้าเสียแล้ว

ในเมื่อถูกวางยาให้รักแล้วเช่นนั้นก็ต้องตามรักไปให้สุดขอบฟ้า  ฉันจึงวางแผนกลับไปเยือนเปรูอีกครั้งในเดือนมีนาคมของปีถัดมา  เป็นช่วงเวลาเดียวกับปีก่อนที่ไปเยือน  แม้จะหวั่นๆว่าอาจจะเจอฝนบนยอดมาชูปิชูอย่างปีที่แล้ว  แต่รักเสียจนตาบอดแล้วเช่นนี้ถึงไหนก็ถึงกัน  นอกเหนือจากย้อนรอยรักเก่าขึ้นมาชูปิชูและ Sacred Valley อีกครั้ง  ฉันจึงวางแผนไปทะเลสาบ Titicaca ที่คราวที่แล้วพลาดไปเสียด้วย  แค่ตอนที่วางแผนการเที่ยวก็สนุกล่วงหน้าจนต้องยิ้มคนเดียวไปหลายรอบแล้ว  ไม่นับความตื่นเต้นที่บ่มมากขึ้นๆทุกวันจนแทบจะรอให้วันเดินทางมาถึงไม่ไหว

ด้วยทฤษฎี“เก็บของดีไว้ทีหลัง”  ฉันจึงเก็บมาชูปิชูไว้ปลายทริป  และเริ่มทริปที่ทะเลสาบติติกากาก่อน  เราต้องบินไปลงที่เมือง Juliaca จากนั้นต้องนั่งรถอีกชั่วโมงหนึ่งต่อไปเมือง Puno ระหว่างทางเราจอดแวะเที่ยว Sillustani อันเป็นหลุมศพเก่าของอินคา  เราได้ไกด์ชาวพื้นเมืองชื่อ Placido ซึ่งจะพาเราเที่ยวตลอดสองวันที่อยู่ปูโน  ฉันชอบเขามากเพราะเขาเป็นคนพื้นเมืองแท้เลือด Aymara ต้นเผ่าบรรพบุรุษก่อนยุคอินคา  เวลาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับประวัติศาสตร์โบราณลึกลับจึงดูน่าเลื่อมใสเป็นพิเศษ  Sillustani นี้ตั้งอยู่บนเนินเขาเตี้ยๆริมทะเลสาบชื่อ Umayo กลางทะเลสาบมีเกาะเล็กๆชื่อเดียวกับทะเลสาบคือ  เกาะ”อูมาโย่”  ริมทะเลสาบมีแผ่นดินส่วนหนึ่งลักษณะแปลกไป  คือยื่นเข้าไปในน้ำเป็นฟันปลาแนวซิกแซก  ปลาซิโดบอกว่าเรียกว่า Waruwaru เป็นเทคนิคการเพาะปลูกโบราณ  เพื่อสร้างสภาพภูมิอากาศจำลอง (Micro Climate) ให้เหมาะสมสำหรับมันฝรั่งที่จะเติบโตงอกงามให้เก็บเกี่ยวกินได้ตลอดทั้งปี  แค่เริ่มก็น่าทึ่งในความชาญฉลาดของอินคาจนต้องร้องโอ้โหกันแล้ว

ส่วนตัวสุสานนั้นเรียกว่า Chullpa มีหลายจุดกระจายกันบนเนินเตี้ย  สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคก่อนอินคาเสียอีก  คือสมัยอารยธรรม Colla ที่พูดภาษา Aymara  อารยธรรมของเปรูนั้นมีมาตั้งแต่ก่อนอินคาถึงสามยุค  เพราะยุคอินคาจริงๆนั้นผ่านมาแค่ 400 กว่าปีเท่านั้นเอง  ตรงหน้าสุสานที่ปลาซิโดชี้ให้ดูยังมองเห็นชิ้นกระดูกเล็กๆเกลื่อนอยู่เลย  หากไม่ดูดีๆก็จะนึกว่าเป็นหิน  และมีซากพวกของที่นำมาเซ่นหล่นอยู่ด้วยบนพื้น  เหตุที่กระจัดกระจายอยู่นอกหลุมเช่นนี้ก็เพราะพวกสเปนที่บุกมาขุดหาทองในสุสาน  ทำไว้เละเทะอย่างไม่เคารพศพที่อยู่ในนั้นเลย  ส่วนสุสานที่ใหญ่ที่สุดนั้นเห็นเป็นอาคารหอคอยกลมสูงเด่นชัดที่สุดในบริเวณ  ชิ่อ Chullpa Lagarto  ลักษณะก็ต่างไปจากหินที่ก่อเป็นหลุมหรืออาคารอื่นๆ  คือเป็นหินที่ตัดจนเป็นก้อนที่มีด้านเรียบหลายด้านมาเข้ามุมกัน  จึงทำให้รู้ว่าสุสานหอคอยนี้สร้างขึ้นในยุคอินคา  ตรงผนังด้านบนมีรูปแกะเนื้อหินเข้าไปเป็นตัวจิ้งจก  ซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ผู้พิทักษ์น้ำ  หอคอยนี้สูงถึง 12 เมตร  คาดว่าอินคาใช้วิธีสร้างโดยทำสะพานลาดเพี่อขนหินแต่ละก้อนขึ้นไปก่อซ้อนกันสูงขึ้นไปทีละก้อน  ปลาซิโดเล่าว่าเดิมหอคอยนี้มีหลังคาเป็นทรงโดมคลุมด้วย  ส่วนด้านในของหอคอยนั้น  มีสร้างเป็นแท่นไว้วางศพสูงจากพื้นขึ้นไปเจ็ดเมตร  ว่ากันว่าเคยพบทองในนี้หนักถึง 4 กิโลกรัม  ปากทางเข้าหอเก็บศพนั้นอยู่ตรงพื้นเป็นช่องเปิดเล็กนิดเดียว  แทบจะต้องคลานมุดเข้าไป  ที่เล็กเพราะไม่ได้ทำไว้ให้ใครเดินเข้าเดินออก  มีไว้แค่ให้คนนำของเซ่นเข้าไปวางไว้เท่านั้น  นักโบราณคดีพบศพข้างในหอนั้นถึง 65 ศพ  เป็นศพผู้นำและบริวารที่ถูกสังเวยชีวิตให้ตายตามกันไปเพื่อไปรับใช้ในโลกหลังความตาย  สันนิษฐานว่าศพทั้งหมดนั้นถูกลำเลียงเข้าไปทางหลังคา  ก่อนที่จะปิดหลังคารูปโดมลงฝังศพทั้งหมดไว้ในนั้น  ส่วนหลุมศพที่เป็นของยุคก่อนอินคานั้น  พบศพอยู่ 34 ศพ  เดินดูรอบๆเนินนั้น  หากสังเกตดีๆจะเห็นเศษกระดูกเล็กๆแตกอยู่บนพื้นเหมือนหิน  ไม่บอกก็ไม่รู้ว่าเป็นกระดูก  ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าของกระดูกเหล่านี้ตายไปตั้งหลายร้อยปีมาแล้ว

Lake Umayo

บนเนินนั้นยังมีโบราณสถานอื่นนอกไปจากสุสานฝังศพ  เช่นมีวัดหรือศาสนสถานที่เหลือฐานเป็นรูปทรงกลมของซากหินกองอยู่  ประตูเข้าวัดนี้จะหันไปทางตะวันออกเฉียงเหนือเสมอ  และจะมีบันไดสามขั้นเป็นสัญลักษณ์ของไตรภูมิ  เหมือนกับที่เราเคยเห็นมาแล้วที่คุสโก้  ตัววัดนี้จะสร้างในบริเวณที่“พิเศษ”เท่านั้น  แม้กระทั่งในปัจจุบัน  ชาวพื้นเมืองก็ยังนำของขึ้นมาเซ่นไหว้บูชาที่วัดนี้กันอยู่

เดินลงเนินมาตรงทางเข้าโบราณสถานนี้นั้น  มีหินพิเศษตั้งอยู่ก้อนหนึ่ง  เพราะแกะสลักเนื้อหินเข้าไปเป็นรูปขดก้นหอย  มีความเชื่อว่า  หากเอามือข้างที่ไม่ได้ใช้เขียนหนังสือวางทับไปบนนั้นก็จะได้รับพลังพิเศษ  และมีหินแปลกที่เป็นรูปหน้าเสือพูม่าตั้งอยู่  ว่ากันว่าเป็นหินผู้พิทักษ์  และหากเอาเข็มทิศมาวางไว้บริเวณนี้  เข็มจะชี้ไปทางทิศตะวันตกแทนที่จะเป็นทิศเหนือ  เพราะพลังแม่เหล็กในบริเวณนี้  แค่เริ่มต้นเที่ยวได้จุดเดียวก็เต็มไปด้วยเรื่องราวลึกลับอัศจรรย์แล้ว  นี่แหละ  เปรูของแท้

ที่ไม่ใช่เรื่องลึกลับแต่น่าสนใจจนต้องเล่าก็คือ  ในบริเวณนั้นมีแนวกำแพงหินเตี้ยๆก่อโดยอินคา  ฉันเห็นริมกำแพงมีก้อนดำๆเล็กๆเต็มไปหมดเหมือนอึหนู  ปรากฎถามดูจึงรู้ว่าว่าเป็นอึของตัวกินนิพิก (Guinea Pig) หรือที่เปรูเรียกว่า “คุ่ย” Cuy ที่อาศัยอยู่ในดินใต้กำแพงนั้น  เจ้า“หนูทดลอง”นี้เป็นอาหารชั้นดีของชาวเปรู  แต่ฉันเห็นจะไม่ขอลองด้วยหละ

ระหว่างทางที่รถแล่นออกมาจาก Sillustani นี้มีบ้านชาวบ้านสร้างเรียงกันอยู่สองฝั่งถนน  เป็นแบบบ้านที่น่ารักสุดๆและไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อนแม้กระทั่งในเปรูเองก็ไม่เห็นมีที่อื่น  ถนนที่เราแล่นรถมาอยู่ในระดับสูงกว่า  จึงมองเห็นการวางผังบ้านด้านในว่าเป็นลักษณะเดียวกับบ้านเรือนไทย  คือแบ่งเป็นห้องต่างๆชิดกำแพงและมีส่วนโล่งตรงกลางเชื่อมทุกห้องไว้  โดยทำเป็นสวนกลางบ้านปลูกต้นไม้ดอกไม้น่ารักมากๆ  ทั้งตัวบ้านทั้งกำแพงเหมือนสร้างจากดินจึงเป็นสีน้ำตาลเข้มเหมือนดินเปียก  สีสวยเชียว  ส่วนห้องน้ำเห็นสร้างเป็นห้องเล็กอยู่ห่างออกไปหลังบ้าน  ส่วนที่ฉันกรี๊ดกร๊าดร้องขอให้จอดรถถ่ายรูปก็คือตรงประตูเข้าบ้านนั้น  เขาทำเป็นซุ้มประตูโค้ง  แล้วปั้นตัวกระทิงเป็นตุ๊กตาดินยืนประดับซุ้มไว้เรียงกันหลายตัวเชียว  น่ารักจริงๆเหมือนเอาดินมาปั้นเป็นบ้านตุ๊กตา  ปลาซิโดบอกว่าตุ๊กตากระทิงนั้นคือเครื่องรางป้องกันความชั่วร้ายเข้าบ้าน  คนรักสถาปัตยกรรมอย่างฉันเห็นแล้วไม่อยากจากมาเลย  อยากจะสร้างบ้านไว้อย่างนั้นตรงนั้นบ้างสักหลัง  นอกจากจะสวยถูกใจแล้วท่าทางจะอยู่สบายอีกด้วย  ไม่นับวิวเขาและทะเลสาบที่ล้อมอยู่  และบรรยากาศที่ขลังศรัทธาขาดใจอีกต่างหาก  ชอบๆๆ

แค่เที่ยงกว่าๆเราก็มาถึงปูโนและเช็คอินที่โรงแรม Casa Andina Private Collection ในเครือโรงแรมเปรูที่เราติดใจตั้งแต่มาครั้งที่แล้ว  สาขานี้ตั้งอยู่นอกเมืองออกมาหน่อย  แต่ติดทะเลสาบติติกากาที่ฉันใฝ่ฝันอยากจะมานอนชมเหลือเกิน  ถึงกับระบุจองเอาห้องที่เปิดชมวิวทะเลสาบอย่างเต็มตา  เราก็เลยกินข้าวกลางวันกันที่ห้องอาหารโรงแรมนั่นแหละ  เพราะอยู่ใกล้ทะเลสาบพร้อมหน้าต่างกระจกจรดพื้นเปิดชมวิวกว้างยิ่งขึ้นไปอีก  มาเปรูเดือนมีนานี่ดีจริง  ลุ้นฝนตกเอาหน่อยแต่นักท่องเที่ยวไม่เยอะ  ไม่ต้องเบียดแย่งกัน  ห้องอาหารโรงแรมเลยมีแค่เรากับอีกโต๊ะหนึ่งเท่านั้น  เงียบ…สงบ…และนิ่ง  ละเลียดชมวิวได้สมใจอยาก

บ่ายเราพักนิดหน่อยเพราะเมื่อเช้าตื่นแต่มืดมาขึ้นเครื่อง  จนบ่ายแก่ๆถึงได้ให้โรงแรมเรียกแท็กซี่จากในเมืองมารับไปเดินเล่นในตลาดที่ถนน Bellavista  วันนี้เป็นวันเสาร์มีตลาดนัดที่ชาวบ้านมาเดินซื้อของกันเยอะแยะ  ฉันสังเกตว่าหลายร้านขายชุดนักเรียนทั้งเสื้อกระโปรงถุงน่องรองเท้าครบ  ตอนหลังถึงรู้ว่าวันจันทร์เป็นวันโรงเรียนเปิดเทอม  คนเลยมาซื้อชุดนักเรียนใหม่กัน  ของขายเป็นของใช้ประจำวันของชาวบ้านเหมือนตลาดโบ๊เบ๊  ไม่ได้เป็นของพื้นเมืองอย่างที่ตลาดปิแซค  แต่ก็ได้รสชาติท้องถิ่นแท้ๆดีเพราะเราเดินเบียดปนไปกับชาวบ้าน  ไม่มีนักท่องเที่ยวอื่นเลย

OLYMPUS DIGITAL CAMERA

ฟ้าเริ่มมืดแล้วเราจึงเดินต่อไปมุ่งสู่ถนน Lima อันเป็นถนนคนเดินของนักท่องเที่ยว  มีร้านอาหารน่ากินตามไฟสลัวๆโรแมนติกมากมาย  รวมทั้งร้านขายของที่ระลึกและงานฝีมือพื้นเมืองท้องถิ่น  บรรยากาศเมืองเล็กอารมณ์ศิลป์เหมือนลี่เจียง ปาย ฮอยอัน พาราตี ซานเปโดร คุสโก้แบบที่ฉันชอบนักชอบหนา  มันเงียบ มืด โรแมนติก อาร์ต  มีชาวบ้านผูกผมเปียสองข้างยาวถึงเอวนุ่งกระโปรงบานรอบตัวมาปูเสื้อขายงานฝีมือแบบกะดิน  เดินแล้วอารมณ์ดีเป็นที่สุด  เพียงต้องห้ามใจไม่ให้ตบะแตกซื้อของมากนักเท่านั้น  แม้ว่าใจมันคอยจะอ่อนอยู่เรื่อยเวลาเห็นหน้าคุณป้าแม่ค้าแทบทุกร้านไป  ชาวบ้านคนขายของที่เปรูนี้ฉันเห็นแล้วสงสารทุกที  เพราะไม่ว่าที่ไหน  แม้แต่ในตลาดปิแซคที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว  ฉันไม่เคยเห็นเขายัดเยียดเร่งเร้าตามตื๊อขายของเลย  สุภาพขี้อายและดูเจียมเนื้อเจียมตัวทั้งนั้น  ข้าวของที่ขายก็แสนจะสวยๆและเป็นของพื้นเมืองแท้ๆ  และส่วนมากก็ถูกแสนถูก  อย่างคราวนี้ฉันสอยได้เสื้อขนอัลปาก้าถักตาห่างๆแบบใส่คลุมซีทรูมาตัวหนึ่ง  ราคาสามร้อยบาท  และได้ถุงมือขนอัลปาก้าหนานุ่มใส่แล้วอุ่นต่อให้ศูนย์องศาก็เถอะ  แค่ร้อยกว่าบาท  ส่วนบรรดาผ้าห่มพรมเปรูสีสดยั่วตายั่วใจนั้นได้แต่ท่องคาถาว่า “รอก่อนๆ”  ปีที่แล้วซื้อไปเต็มบ้านยังพับเก็บไว้ในห่ออย่างดีอยู่เลย  รอต่อห้องนั่งเล่นใหม่แต่งแบบแขกผสมละตินแล้วค่อยเอามาปู  เพราะฉะนั้นพอแล้วๆอดใจไว้

เราเดินไปสุดถนนจนถึงลานกลางเมือง  โบสถ์และอาคารสำคัญประจำเมืองล้อมรอบอยู่สี่ด้านตามแบบเมืองละตินอาณานิคมสเปน  ส่องไฟเหลืองนวลมลังเมลืองงดูขลังจัด  เดินย้อนกลับมา  ดูร้านอาหารทุกร้านแล้วแม้จะน่ารักน่ากินไปหมด  แต่วันนี้เราขอแหวกแนว  เดินต่อมาจนพ้นเขตนักท่องเที่ยว  เข้าย่านที่มีแต่ชาวบ้านแท้ๆ  แล้วเลือกเข้าไปกินร้านขายไก่ย่างที่มีแต่ชาวบ้านกินกัน  เหมือนร้านยอดนิยมประจำเมือง  หน้าร้านมีไก่เสียบหมุนอยู่ในเตายักษ์หลายสิบตัวอย่างกับโรงงานขายส่ง  โต๊ะไม้เรียงติดๆกันแบบง่ายๆ  เมนูมีอย่างเดียวคือไก่ย่าง  มากับซุปใสใส่ข้าวคนละถ้วยและมันฝรั่งทอด  ไก่ครึ่งตัวขนาดยักษ์พร้อมเครื่องดื่ม  กินกันอิ่มแทบตายสองคน 180 บาท  ได้บรรยากาศชาวบ้านสุดๆ

พอนั่งแท็กซี่กลับมาถึงโรงแรมปรากฎว่าไฟดับทั้งเมือง  มองข้ามทะเลสาบไปฝั่งเมืองที่เพิ่งจากมาแทนที่จะเห็นไฟเหลืองพราวเต็มเนินกลับมืดตื๋อไปหมด  เข้าห้องก็ไม่ได้เพราะไม่มีไฟ  อาบน้ำไม่ได้เพราะไม่มีน้ำร้อน  ไม่เป็นไรเรานั่งดริ๊งค์พิสโก้ซาวร์รอหน้าเตาผิงที่แตกปะทุปุปะที่ล้อบบี้ก็ได้  แต่ยังไม่ทันสั่งดริ๊งค์ฉันก็เริ่มปวดหัว  จากน้อยๆมากขึ้นจนแทบทนไม่ไหว  อาการเมาความสูงเพราะขาดอ็อกซิเจนมาแล้ว  ทรมานจริงๆ  มาคราวที่แล้วไม่เห็นเป็นเลย  เคยเป็นหนเดียวตอนไปทิเบตเท่านั้นเอง  วันนี้คงจะเป็นเพราะตื่นเช้ามากและไม่ได้พัก  เดินลุยมาทั้งวัน  เป็นบทเรียนว่าเวลาไปเมืองที่อยู่สูงมากๆอากาศบางควรพักผ่อนให้พอล่วงหน้า  ที่โรงแรมมีชาใบโคคาร้อนๆตั้งบริการฟรีอยู่ตลอดเวลา  ฉันไปรินจิบไปสามแก้ว  รู้สึกค่อยยังชั่ว  ไฟมาพอดีเลยโซซัดโซเซไปอาบน้ำร้อนจัดๆแล้วซุกตัวใต้ผ้านวมหนานุ่มสะอาดชื่นใจ  หลับเป็นตายทั้งคืน

ตื่นเช้ามาอาการปวดหัวหายเป็นปลิดทิ้ง  แต่อากาศข้างนอกสิไม่ชวนให้ลุกออกจากเตียงแลย  เมื่อคืนว่าหนาวแล้ว  เช้านี้ฝนตกปรอยๆและหมอกลงจัดยิ่งหนาวชื้นจับใจ  ขนาดนั่งกินอาหารเช้าในห้องอาหารมีกาแฟร้อนในมือและเตาผิงอุ่นๆยังหนาว  มองออกไปเห็นวิวหมอกลงบังทะเลสาบขาวเป็นม่านแลดูแปลกตา  “ปลาซิโด”มาถึงโรงแรมช้ากว่าเวลาที่นัดกันไว้สิบห้านาที  ขอโทษขอโพยใหญ่  บอกว่ารอรถประจำทางจากเมืองที่แล่นมาทางโรงแรมนี้ไม่มาสักที  เลยต้องเดินมา  เขาไม่เรียกแท็กซี่เพราะแพงมาก  ฉันถึงกับอึ้งเพราะค่าแท็กซี่ที่เราเรียกเข้าเมืองกันทีละ 7 โซเลส (ราว 80 บาท)โดยไม่คิดเพราะว่าถูกมากในความคิดเรานั้น  มันนับว่าแพงสำหรับคนหาเช้ากินค่ำอย่างเขา  ยิ่งช่วงนี้ไม่ใช่ฤดูท่องเที่ยวเขาบอกว่าบางทีไม่มีงานเลยสองสัปดาห์  หลังๆเมื่อเดินทางมากๆเข้าฉันมักจะให้ทิปแก่ไกด์อย่างเต็มอกเต็มใจเสมอ  ราคามาตรฐานตามไกด์บุคทั่วไปคือ 5 เหรียญยูเอสต่อคนต่อวันถ้าเป็นกรุ๊ปใหญ่  แต่จะเพิ่มขึ้นมาถ้าเป็นทัวร์ส่วนตัว  ถ้าเป็นไกด์ดีๆไม่ขี้เกียจฉันมักแถมเพิ่มด้วยอย่างไม่เคยเสียดายเลย  เงินเท่านี้มันใหญ่เมื่ออยู่ในมือเขามากกว่าตอนอยู่ในมือเรา  เป็นกำลังใจให้วงการท่องเที่ยวมีไกด์ดีๆต่อไป

หน้าโรงแรมเรานี้มีท่าเรือยื่นออกไปในทะเลสาบ  เราเหมือนมาเที่ยวทัวร์ไฮโซเลยเพราะมีเรือลำเบ้อเริ่มนั่งสบายมาจอดรอเทียบท่าอยู่แล้ว  เรือนั่งได้เกือบยี่สิบคนแต่มีแค่เราสองคนเป็นไพรเวททัวร์  นอกจากปลาซิโดแล้วยังมีคนขับเรืออีกสอง  เรียกว่าคนให้บริการมากกว่าคนรับบริการ  อันที่จริงไม่ได้เจตนาจะมาหรูเกินปกติเลย  ตอนจองทัวร์นี้มาทางอินเตอร์เน็ตกับบริษัทนี้ไม่ได้ระบุด้วยซ้ำว่าขอไพรเวททัวร์  เห็นว่าราคาดีสมน้ำสมเนื้อและพูดจากันรู้เรื่องดีก็ตกลง  คงเป็นเพราะนักท่องเที่ยวช่วงนี้น้อยจริงๆ  เลยกลายเป็นว่ามีแค่เราสองคนออกเรือกันหน้าโรงแรมเลยอย่างโก้

วันนี้เราจะนั่งเรือกันทั้งวัน  เป็นทัวร์ที่เฝ้าฝันจดจ่อรอคอยอีกหนึ่งรายการ  เราจะไปหมู่บ้าน Uros ที่ทั้งหมู่บ้านสร้างจากต้นกกและลอยน้ำอยู่ในทะเลสาบติติกากา  และเลยไปเกาะ Taquile จะได้ล่องเรือในติติกากาทั้งวัน  ทะเลสาบที่ทุกคนควรต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต

ความพิเศษของทะเลสาบติติกากานี้มีทั้งทางมิติศรัทธาและวิทยาศาสตร์  ในทางภูมิศาสตร์นั้นติติกากาเป็นทะเลสาบที่สูงที่สุดในโลกที่สามารถเดินเรือได้  ด้วยระดับความสูงเหนือน้ำทะเลถึง 3,810 เมตร (ฉันถึงได้เมาความสูงเมื่อคืนไง)  ยาว 178 และกว้าง 69 เมตร กินพื้นที่ถึง 8,500 ตารางกิโลเมตร  ตั้งอยู่ตรงกลางระหว่างสองประเทศคือเปรูและโบลิเวีย  ในอดีตนั้นใช้เรือเหล็กจากอังกฤษแล่นข้ามทะเลสาบเป็นเส้นทางคมนาคมหลักระหว่างสองประเทศเป็นประจำ  แต่พอถึงปี 1975 มีการสร้างถนนรอบทะเลสาบขึ้น  การเดินทางทางบกรวดเร็วกว่ามาก  เรือข้ามทะเลสาบนี้จึงถูกปลดระวาง  กลายมาจอดเป็นร้านอาหารและพิพิธภัณฑ์อยู่ริมฝั่งปูโนใกล็โรงแรมที่เราอยู่นั่นเอง

ส่วนในทางศรัทธาและจิตวิญญาณนั้น  ติติกากามีความสำคัญอย่างมหาศาลสำหรับชาวเปรู  เพราะมีความเชื่อว่าชาวอินคาคนแรกถือกำเนิดมาจากทะเลสาบติติกากา  โดย Inti หรือสุริยเทพได้ส่ง Manco Capac ลูกชายและ Mama Ocllo ลูกสาวให้ผุดขึ้นมาทะเลสาบแห่งนี้  กลายเป็นชาวอินคาคู่แรกที่ก่อตั้งจักรววรดิอินคาขึ้นโดยมีเมืองหลวงอยู่ที่คุสโก้  Manco Capac สอนให้อินคารู้จักวิธีการรบการเพาะปลูกและวิทยาการต่างๆ  ส่วน Mama Ocllo สอนให้ผู้หญิงรู้จักการทำครัวและการศึกษา  อินคาจึงเป็นชนเผ่าที่ฉลาดล้ำเต็มไปด้วยวิทยาการอันก้าวหน้าและแผ่อาณาอารยธรรมไปทั่วละตินอเมริกาในเวลาเพียง 50 ปี

ส่วนชื่อติติกากานั้นก็มีความหมาย  Titi แปลว่าเสือพูม่าสัตว์อันเป็นสัญลักษณ์ทรงสิทธิ์ของอินคา  Kaka แปลว่าหิน  ว่ากันว่าบนเกาะ Isla del Sol อันเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดกลางติติกากานั้นมีหินก้อนหนึ่งรูปร่างเหมือนเสือพูม่า  จึงเป็นที่มาของชื่อทะเลสาบ  แต่ก็มีอีกข้อสันนิษฐานหนึ่งที่น่าอัศจรรย์ใจยิ่งกว่า  หากกางแผนที่ดูจะเห็นชัดเจนว่า  ทะเลสาบติติกากานี้มีรูปร่างเหมือนเสือพูม่ากำลังกระโดดไล่กระต่ายไม่มีผิด  ชาวอินคาจึงตั้งชื่อทะเลสาบแห่งนี้ว่า “เสือพูม่า”ตามรูปร่างของมัน  ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่ว่าแล้วอินคารู้ได้อย่างไรว่าทะเลสาบนี้มีรูปร่างเหมือนพูม่า  ในเมื่อด้วยขนาดที่ใหญ่โตขนาดนั้นวิธีเดียวที่จะเห็นรูปร่างได้ก็ต้องเป็นการสำรวจมองลงมาจากทางอากาศไกลๆ  ดังเช่นภาพถ่ายทางอากาศที่ฉันเห็นอยู่ในมือนี่  คำอธิบายจากปลาซิโดก็คือ  พวกเขาเชื่อว่าชาวอินคานั้นมีน้ำจากสมุนไพรชนิดหนึ่ง  ซึ่งเมื่อดื่มเข้าไปแล้วจะสามารถถอดวิญญาณออกจากร่างล่องลอยขึ้นไปบนฟ้าได้  จึงสามารถมองลงมาเห็นติติกากาเป็นรูปพูม่าชัดเจนทั้งทะเลสาบโดยไม่ต้องพึ่งกูเกิ้ลแมพ….

เรือแล่นฝ่าหมอกขาวและฝนปรอยเข้าสู่ดงกกที่ขึ้นอยู่แน่นขนัด  เมื่อเข้าใกล้จึงมองเห็นว่าเรามาถึง Uros หรือหมู่บ้านกกลอยน้ำแล้ว  แปลกตาจริงๆ  บ้านเรือนสร้างด้วยต้นกกแห้งสีเหลืองทองตั้งอยู่บนแพที่ทอถักขึ้นจากกกสีทองเช่นเดียวกัน  มีเรือทำจากกกแบบเดียวกันจอดลอยอยู่ริมแพบ้านใครบ้านมัน  แลดูคล้ายบ้านตุ๊กตาน่ารักกระจายบนหลายเกาะลอยน้ำอยู่ไม่ห่างกัน  นี่มันไม่ใช่หมู่บ้านเล็กๆเลย  มีทั้งหอคอยทั้งสนามกีฬา  มีแม้กระทั่งอาคารโรงเรียนตั้งสามโรงเรียนและสถานีอนามัย  ถามปลาซิโดว่ามีทั้งหมดกี่เกาะ  เขาหัวเราะแล้วตอบว่าบอกไม่ได้  เพราะชาวบ้านต่อเติมแพนี้อยู่ตลอดเวลา  เดี๋ยวก็ตัดกกมาสร้างแพเพิ่มกลายเป็นเกาะใหม่  บางทีทะเลาะกันก็ตัดแพแยกออกจากกัน เออ…ง่ายดี

เราจอดเรือขึ้นไปเยี่ยมชมบ้านหนึ่ง  ก้าวขึ้นบนแพต้นกกเดินแล้วรู้สึกยวบๆเหมือนพื้นนุ่มๆแต่ก็ไม่โคลงเคลง  บริเวณแพใหญ่ทีเดียว  จากท่าจอดเรือด้านหน้าขึ้นมาเป็นลานกว้างก่อน  มีบริเวณเพาะปลูกมะเขือเทศดอกไม้ได้ด้วย  และมีรั้วล้อมเป็นเล้าไก่อีกต่างหาก  แถมยังมีเลี้ยงนกฟลามิงโก้สีส้มสวยอีก  เรียกว่าเป็นสวนรอบบ้านที่น่ารักทีเดียวหละ  ตรงกลางเป็นบ้านซึ่งมีเพียงห้องเดียว  เข้าประตูไปแล้วก็นั่งล้อมวงกันตรงหน้าเตียงนอนเขาตรงนั้นเลย  เขาสาธิตวิธีการสร้างแพให้ดู  มีการตัดเอากกที่มัดเป็นแพให้ดูว่าหนาเท่าไร จมอยู่ในน้ำเท่าไร  เขามัดกกนี้ติดกันเป็นฟ่อนๆแล้วจึงเอาต่อกันเป็นแผ่นแพใหญ่ขึ้นเท่าที่ต้องการ  ด้านล่างมีหลักปักยึดไว้กับพื้นใต้น้ำ  กกที่อยู่ใต้น้ำจะเน่าเปื่อยไป  เขาต้องคอยตัดเอากกมาปูทับด้านบนอยู่เรื่อยๆ  ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาใช้ในชีวิตประจำวันล้วนทำมาจากกกนี้ทั้งสิ้น  บ้าน เรือ เฟอร์นิเจอร์  ลูกสาวตัวน้อยหน้าตาน่ารักอายุสี่ขวบใส่ชุดประจำเผ่ากระโปรงบานนั่งตาแป๋วฟังพ่อแม่บรรยายให้นักท่องเที่ยวอย่างเราฟัง  ชื่อเมลานี  นั่งฟังไปในมือก็ถือกกแทะกินตรงโคนไปประหนึ่งขนมขบเคี้ยว  ดูสิ.. กกนี้ใช้งานได้แม้กระทั่งเป็นอาหาร เขาว่าอุดมไปด้วยธาตุไอโอดีน  ฉันว่าดีนะ  กินบ้านตัวเองได้ด้วย  เขาหัวเราะกันใหญ่

ชาวบ้านบนอูโรสนี้มีชีวิตเรียบง่ายและจำกัดมาก  อาหารการกินเก็บเกี่ยวเอาจากในน้ำ  เสื้อผ้าก็ถักทอใช้เองโดยซื้อไหมมาจากบนฝั่ง  แม้จะมีคำบ่นว่าชาวบ้านเริ่มกลายเป็นวัตถุนิยมมากขึ้น  และเปลี่ยนแปลงงานฝีมือมาเป็นแบบที่จะขายนักท่องเที่ยวได้ง่ายแทนที่จะอนุรักษ์แบบดั้งเดิมไว้  และตั้งหน้าตั้งตาขายทัวร์กัน  อย่างเช่นที่เขาสาธิตการสร้างแพและบ้านจากต้นกกให้เราดูนี้  เขาเตรียมการไว้อย่างดีประหนึ่งแสดงนิทรรศการ เพราะมีแบบจำลองและบ้านย่อส่วนให้เห็นและเข้าใจง่ายๆ  มีแผนที่ประกอบการ  ไม่รู้ว่าชาวบ้านเขาคิดได้เองหรือทัวร์ไปคิดไว้ให้  แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่าเขาเป็นธรรมชาติ  เวลาอธิบายดูจริงใจไม่ยัดเยียด  พูดคุยกับเราเหมือนชาวบ้านรับแขกส่วนตัวอย่างเต็มใจ  พ่อบ้านเล่าเรื่องแพไปแม่บ้านก็ปักผ้าไป  เมลานีก็นั่งแทะกกไป  ไม่มีอารมณ์เป็นธุรกิจ  ดูแล้วไม่รู้สึกว่าซื้อทัวร์มาชมการแสดง  และฉันก็รู้สึกว่าเขากินอยู่กันแบบพอเพียงจริงๆ  จนนึกสงสารควักเงินซื้อผ้าทอที่เขาทำเองและสายสร้อย  แถมด้วยหมวกแบบเดียวกับที่เมลานีใส่เปี๊ยบที่แม่เธอถักเองมาด้วย

ปลาซิโดเล่าว่าชาวบ้านบนเกาะอูโรสในปัจจุบันนี้เป็นเลือดผสมระหว่างอูโรและอัลไมร่า  ชาวอูโรเลือดแท้คนสุดท้ายตายไปเมื่อห้าสิบปีที่แล้ว  จึงไม่มีเผ่านี้แท้ๆเหลืออยู่อีกแล้ว  ชาวอูโรเชื่อว่าตัวเองเป็นมนุษย์พิเศษ  แข็งแรงและเหนือกว่ามนุษย์อื่นๆ  เพราะมีเลือดสีดำไม่เหมือนคนทั่วไป  นี่คือความเชื่อแบบศรัทธา  ส่วนคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ก็คือ  ติติกากานั้นมีอ็อกซิเจนน้อยเพราะตั้งอยู่สูงมาก  กระบวนการคัดสรรทางธรรมชาติจึงทำให้มนุษย์ที่มาตั้งรกรากอยู่บริเวณติติกากาตั้งแต่หลายพันปีที่แล้วนี้  พัฒนาเปลี่ยนแปลงในทางชีววิทยาให้เข้ากับภูมิอากาศ  โดยให้มีฮีโมโกลบินมากกว่าคนปกติเพื่อจะได้จับอ็อกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายได้มากกว่าคนบนที่ราบ  เมื่อมีฮีโมโกลบินมากเลือดจึงมีสีเข้มคล้ำ  และจะเห็นได้ว่าชาวอูโรสนี้มีอกหนาตัวหนา  นั่นก็เพราะเขามีขนาดปอดที่ใหญ่กว่าคนทั่วไปเพื่อให้จับอ็อกซิเจนได้มากนั่นเอง  และก็เป็นความจริงที่ว่าชาวอูโรสนี้แข็งแรงและเหนื่อยช้ากว่าพวกเรา

ศรัทธากับวิทยาศาสตร์….. จะเชื่อแบบไหนดี???

เราใช้เวลาละเลียดอยู่กับชาวบ้านเป็นชั่วโมงทีเดียว  ด้วยความที่สนใจและประทับใจในชีวิตที่เรียบง่ายและความแปลกไม่เหมือนที่ไหน  ตอนจะจากมาทั้งครอบครัวรวมทั้งเมลานีเดินมาส่งถึงเรือ  พร้อมยืนโบกมือลาบนแพจนเรือเราแล่นออกมาไกลจนแทบลับตา  มองย้อนไปเห็นหมู่บ้านสีทองลอยน้ำที่ทุกอย่างทำจากต้นกกแลดูเหมือนหมู่บ้านตุ๊กตา

นั่งเรือต่อมาอีกเกือบสองชั่วโมงก็ถึงเกาะ Taquile  ฝนหยุดและแดดออกกระจ่างพอดี  นับว่าโชคดีมากที่อากาศเป็นใจ  ก้าวลงจากเรือออกมาจึงได้สูดอากาศที่คมกริบบริสุทธิ์  ชื่นใจจริงๆ  วิวเบื้องหน้าสวยขาดใจ  ทะเลสาบน้ำนิ่งสีเข้มสงบแผ่กว้างไกลทอดออกไปมีแนวเทือกเขาคลุมด้วยหิมะ  อากาศเย็นๆแต่ฟ้ากว้างกระจ่างตา  เป็นความไม่มีอะไรที่เห็นแล้วบังเกิดความรู้สึกว่าความสุขมันแล่นกระแทกเข้าใส่หัวใจอย่างเต็มแรง

จากท่าเรือนี้เราเดินไต่ขึ้นเขาไปตามทางเดินเข้าหมู่บ้านโดยใช้เวลาเดินหนึ่งชั่วโมง  ตลอดทางนี้เป็นทางเดินที่วิวสวยที่สุดที่ฉันเคยเดินมา  ทางเดินแคบๆปูด้วยหินทรายก้อนโตๆสวยอย่างธรรมชาติลัดเลาะไปบนไหล่เขา  ซ้ายมือทอดลงต่ำสู่ชายน้ำ  เปิดโล่งเห็นทะเลสาบและท้องฟ้า  ขวามือเป็นเนินลาดสูงขึ้นไปมีบ้านชาวบ้านปลูกกระจายกัน  โดยมีสวนและไร่ขั้นบันไดปลูกมันฝรั่งออกดอกสีม่วงสวยและดอกดาเลียสีสด  ชาวบ้านจูงวัวเดินสวนมา มีแกะนอนเล่นบนเขา ธรรมชาติและสงบมาก  เห็นแล้วอยากคว้าบ้านที่เห็นสักหลังนี้มาเป็นเจ้าของ  จะนอนมองวิวสูดอากาศบริสุทธิ์ให้ขาดใจตายไปเลย  แต่ไม่มีทางเป็นไปได้  เพราะสิ่งที่น่าประทับใจและน่าแปลกใจด้วยก็คือ  ชาวเกาะทาควิลนี้เคร่งครัดเรื่องการดูแลชุมชนของตัวมาก  เขาต้องการอนุรักษ์เอกลักษณ์ทุกสิ่งทุกอย่างของเกาะนี้ซึ่งไม่เหมือนที่ไหนเอาไว้  เมื่อการท่องเที่ยวมาเคาะประตู  ชาวบ้านที่นี้ไม่ปฎิเสธเงินและโลกที่หมุนไป  แต่เขาขอจัดการกับโลกภายนอกโดยไม่ขายวิญญาณ  นั่นคือเรือท่องเที่ยวที่จะนำคนภายนอกเข้ามาเยือนเกาะนี้ต้องเป็นเรือที่ได้รับอนุญาตจากเทศบาลเกาะแล้วเท่านั้นเพื่อจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว  และห้ามมีการสร้างโรงแรมขึ้นบนเกาะโดยเด็ดขาด  หากนักท่องเที่ยวต้องการค้างบนเกาะก็สามารถอยู่กับชาวบ้านที่เปิดบ้านเป็นโฮมสเตย์  ที่สำคัญห้ามซื้อขายที่ดินให้กับคนนอกเกาะโดยสิ้นเชิง  แม้แต่ชาวเปรูที่ไม่ใช่ชาวเกาะก็ไม่สามารถเป็นเจ้าของที่ดินที่นี่ได้  วิธีเดียวเท่านั้นคือต้องมาแต่งงานกับชาวเกาะ  เขาชัดเจนว่าต้อนรับโลกภายนอกแต่ต้องเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของเขาเท่านั้น  ที่นี่จึงยังคงวิญญาณท้องถิ่นแท้ที่พอเพียงและไม่กลายพันธุ์

ระหว่างทางปลาซิโดก้มลงเด็ดช่อไม้เล็กๆให้  เป็นกิ่งสีน้ำตาลเล็กๆมีใบเขียวเล็กๆติดเหมือนช่อสมุนไพรปรุงอาหาร  เขาบอกให้ขยี้ดม  แก้เมาความสูงได้  หอมละมุนชื่นใจจริงๆ  เรียกว่า “มุนย่า”  ฉันชอบมากๆ  พอขยี้ดมจนหมดก็คอยเก็บช่อใหม่จากขึ้นมาจากข้างทางดมตลอด

ทางเดินทอดมุ่งเข้าสู่หมู่บ้าน  ใจกลางของชุมชนนี้คือลานกว้างที่ขนาบด้วยโบสถ์ด้านหนึ่งและศาลาว่าการชุมชนอีกด้านหนึ่ง  มีร้านขายผ้าทอและหมวกถักร้านใหญ่ที่เสมือนเป็นสหกรณ์ที่ชาวบ้านเอาของมาขายรวมกันที่ร้านเดียว  เอกลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของที่นี่ก็คือเสื้อผ้าการแต่งตัว  ผู้ชายที่นี่สวมกระโปรงจีบรอบตัวมีเข็มขัดโตและกระเป๋าถักคาดเอวเอาไว้ใส่ใบโคคาให้ล้วงหยิบเคี้ยวได้ตลอดเวลา  ใต้เข็มขัดนั้นจะมีเข็มขัดหนาอีกเส้นหนึ่งที่เป็นเส้นผมที่ภรรยาเอาผมของตัวเองมาถักให้  น่ารักจัง  ส่วนหมวกที่สวมผู้ชายจะถักเอง  ที่นี่การถักหมวกเป็นเรื่องสำคัญที่สงวนไว้สำหรับผู้ชายทำเท่านั้น  ห้ามผู้หญิงแตะต้อง  ภาพผู้ชายถักนิตติ้งในที่สาธารณะจึงเป็นภาพที่ได้ธรรมดาทั่วไปที่นี่  ลายและสีของหมวกก็มีความหมาย  หากหมวกสีแดงล้วนแปลว่าแต่งงานแล้ว  หากขอบมีริมขาวแปลว่ายังโสด  ส่วนผู้หญิงจะใส่เสื้อสีแดงกระโปรงดำ  มีผ้าสีดำคลุมผมมหมดและมีลูกกลมๆห้อยที่ปลาย

วันที่เราไปนั้นเป็นวันอาทิตย์ซึ่งจะมีพิธีสำคัญประจำสัปดาห์  นั่นคือทุกคนจะไปโบสถ์กันตอนสายๆตามธรรมเนียมคริสต์  หลังจากเสร็จพิธีการในโบสถ์แล้วชาวบ้านจะมาชุมนุมกันที่กลางลานหน้าโบสถ์นั้น  เพื่อฟังหัวหน้าหมู่บ้านซึ่งเป็นข้าราชการบริหารชุมชนประกาศว่าในเจ็ดวันที่ผ่านมาได้ทำงานอะไรไปแล้วเพื่อเกาะบ้าง  ดีจังเลย  ฟังดูเหมือนเป็นการปกครองบริหารที่โปร่งใสมาก  ตอนที่เราไปถึงนั้นพิธีในโบสถ์เสร็จพอดี  เราจึงได้เห็นชาวบ้านเดินแถวอย่างสวยงามเป็นระเบียบกันออกมาจากในโบสถ์  นำโดยบรรดาข้าราชการ  แต่งตัวกันเต็มยศเป็นเรื่องเป็นราวอย่างเห็นได้ชัดว่าเขาถือเป็นเรื่องจริงจังที่ต้องปฎิบัติทุกวันอาทิตย์  พวกข้าราชการจะแต่งชุดประจำตำแหน่งและสวมหมวกที่ถักเองสีสันสดสวยและทับอีกชั้นด้วยหมวกสีดำเป็นสัญลักษณ์ของตำแหน่ง  แลดูเต็มยศอลังการผิดกับความเป็นเกาะบ้านนอก  เมื่อเดินออกมาแล้วก็ไปตั้งแถวยืนเรียงกันหน้าศาลากลาง  มีชาวบ้านล้อมรอบโดยผู้ชายนั่งบ้างยืนบ้างด้านหน้า  ผู้หญิงอยู่แถวหลัง  ต่างคนต่างตั้งอกตั้งใจฟังหัวหน้าหมู่บ้านพูด  ปลาซิโดแปลให้ฟังว่า  นอกจากจะรายงานว่าเขาทำอะไรมาแล้วในสัปดาห์ที่ผ่านมา  หัวหน้าเทศบาลยังบอกว่าเศรษฐกิจตอนนี้แย่มาก  การท่องเที่ยวก็ตกต่ำกระทบมาถึงเกาะ  ทำให้รายได้เข้าเกาะจากการท่องเที่ยวลดลง  แต่ขอให้ชาวบ้านอดทน  อย่าขึ้นราคาโก่งราคาของที่ขายเอาเปรียบนักท่องเที่ยว  เพราะการท่องเที่ยวคือผลประโยชน์ระยะยาว  ฟังแล้วประทับใจมาก  ว่าเขาบริหารแบบมีหลักการและคุณธรรมจริงๆ  ไม่น่าเชื่อว่าเกาะเล็กๆบ้านนอกไกลจากแผ่นดินเป็นชั่วโมงๆอย่างนี้จะเต็มไปด้วยความคิดและจรรยาบรรณขนาดนี้  เห็นได้ชัดว่าเขายากจนและอยู่กันเรียบง่ายก็จริง  แต่ความเจริญทางจิตใจนั้นร่ำรวยและซับซ้อนมาก  นี่แหละสาเหตุที่ฉันหลงรักเปรู  ความสูงส่งทางจิตวิญญาณที่นี่เป็นสิ่งที่ฉันต้องยกไว้ให้

เรากินอาหารกลางวันกันในร้านที่อยากจะเรียกว่าบ้านมากกว่า  ชาวบ้านที่เป็นเจ้าของทั้งครอบครัวร่วมมือร่วมใจกันทำอาหารกลางวันให้เรา  ห้องอาหารเล็กๆมีโต๊ะเก้าอี้ตั้งง่ายๆติดกับครัว  มีแค่เราสามคนเท่านั้นที่เป็นแขก  นึกสงสัยว่าทั้งวันเราขายอาหารได้เท่านี้เองเหรอ  แต่ท่าทางเขาก็ตั้งอกตั้งใจทำให้เรามาก  มีซุปคินัวร้อนๆใส่เนื้อและสารพัดผัก  Quinoa เป็นธัญพืชหลักของประเทศแถบเทือกเขาแอนดิสเช่นเปรู ชิลี เอกวาดอร์  เป็นเม็ดเล็กๆเท่าเมล็ดงา  มีโปรตีนและกากอาหารสูง  นับเป็นอาหารที่คุณค่าอย่างมาก  นอกจากนี้มีขนมปังทำเองคล้ายขนมปังปิต้าแผ่นกลมเล็กๆ  และปลาเทร้าต์ทอดกินกับข้าวและมันทอดที่อร่อยและดีต่อสุขภาพมาก  และได้ลองกินชาใบมุนย่าใส่มะนาวน้ำตาลด้วย  ดีจริงๆได้อุดหนุนชาวบ้านและได้ชิมของแปลกๆ

ระหว่างกินเรานั่งคุยกับปลาซิโดได้ความรู้ว่า  ชาวบ้านบนเกาะนี้มีธรรมเนียมว่าชายหญิงจะต้องอยู่กันก่อนแต่ง  อ้าว…จริงๆ  เขาจะหมั้นแล้วอยู่ด้วยกันสักปีสองปีก่อนเพื่อให้แน่ใจกันและกันจริงๆแล้วจึงจะแต่งงาน  แต่ว่าเมื่อแต่งแล้วจะต้องอยู่กันไปจนตลอดชีวิตห้ามเลิก  มีหลักการนะนี่

 

และเรายังได้เรียนรู้เกี่ยวกับใบโคคามากขึ้นนอกเหนือไปจากที่รู้ว่าต้มน้ำดื่มแก้เมาความสูงได้  ที่ว่าชาวบ้านนิยมพกติดตัวไว้เคี้ยว  มีแคลเซี่ยมสูง เป็นยาชา และอีกนานาสารพัด  คราวนี้เป็นเรื่องของโชคลางและศรัทธาอีกแล้ว  ปลาซิโดบอกว่าเวลาล้วงเอาใบโคคาขึ้นมาจากกระเป๋าคาดเอวเพื่อเคี้ยวนั้น  ลักษณะใบที่หยิบขึ้นมาได้จะเป็นคำทำนายไปด้วยในตัว  หากใบนั้นเป็นใบเล็กแปลว่าคนรู้จักจะคลอดลูก  หากใบรีๆจะเป็นลูกชาย  ใบกลมเป็นลูกสาว  ถ้าหยิบได้ใบหยิกๆจะได้เงิน  แต่ถ้าได้ใบที่พับขึ้นมาแปลว่าจะมีคนตาย  ปลาซิโดบอกว่ามีหมอดูทำนายอนาคตจากใบโคคาโดยเฉพาะด้วย

กินข้าวเสร็จแล้วเราเดินทะลุหมู่บ้านออกไปเพื่อขึ้นเรือที่มาจอดรออยู่ที่ท่าทางอีกฝั่งของเกาะ  คราวนี้เดินลงเนินด้วยบันไดห้าร้อยขั้น  เป็นการย่อยอาหารที่ดีมาก  และได้เห็นวิวอีกฝั่งหนึ่งของเกาะ  ขากลับต้องนั่งเรือเกือบสามชั่วโมงกว่าจะถึงฝั่ง  แต่เรือกว้างขวางและส่วนตัวเราเลยเอกเขนกกันอย่างสบายไม่เบื่อ  แม้จะหนาวจับจิตแต่ตอนบ่ายแดดออกดีไม่มีฝนและฟ้าโล่งกระจ่างตา  ฉันนั่งๆนอนๆนึกถึงเกาะทาควิลที่จากมา  ยิ่งคิดก็ยิ่งชอบมาก  เกาะนี้เป็นเกาะเล็กๆมีพลเมืองราวสองพันคน  มีโรงเรียนถึงชั้นมัธยม  เด็กๆเมื่อจบมัธยมก็ต้องเข้าไปเรียนต่อที่ปูโน  แม้เกาะจะไม่มีอะไร  ทุกอย่างอยู่กันแบบพอเพียง  แต่เมื่อเรียนจบแล้วเขาก็กลับมาอยู่เกาะกัน  คงจะเป็นเพราะเขารู้ว่าเกาะนี้เป็นของเขาเท่านั้น  คนนอกเกาะห้ามเข้ามาซื้อที่ยึดครอง  ใครจะมาเยี่ยมชมอย่างไรก็ต้องเป็นไปในกฎเกณฑ์ของเขา  หรือจะเป็นเพราะว่าเขารู้ว่า  ความสวยบริสุทธิ์น่าอิจฉาแบบนี้มีที่ทาควิลเท่านั้น  แล้วเรื่องอะไรจะสละสิทธิ์ที่คนอื่นไม่มีวันได้มา  ฉันนึกย้อนถึงความสวยสงบแล้วยังอยากกลับไปอีก

 

พอเรือแล่นเข้าใกล้อูโรสเราก็ออกมายืนที่ดาดฟ้าเรือชมวิว  แดดเริ่มยอแสง  หมอกมัวแบบเมื่อเช้าไม่มีแล้ว  ทีนี้เราเลยเห็นวิวและชีวิตความเป็นไปแบบอูโรสแท้ที่เมื่อเช้าไม่เห็น  นั่นคือจากผืนน้ำทะเลสาบกว้างลึกเริ่มมีกอกกขึ้นขนัดแน่น  เรือแล่นไปในทางน้ำที่แหวกกอกกเป็นร่องเดินเรือ  น้ำตื้นจนเห็นพื้นด้านล่างรางๆ  เห็นชาวบ้านพายเรือเล็กกว้างแค่ตัวแต่บรรทุกกกที่ตัดมาเต็มลำ  เป็นภาพ “กลับบ้านหลังเลิกงาน”ที่น่าชมที่สุด  วันๆเขาคงจะออกมาตัดกกไปถมแพและถักทอใช้งานต่างๆ  เพราะทั้งชีวิตก็ขึ้นกับเจ้ากกนี้  เห็นหนุ่มหนึ่งคนที่นอกจากในเรือจะมีกกเต็มลำแล้ว  ยังมีไข่อะไรไม่รู้สารพัดขนาดและรูปร่างวางอยู่ด้วย  ปลาซิโดบอกว่าเขาเข้าไปเก็บไข่นกไข่เป็ดน้ำที่มันไปไข่ไว้ในรังกอกก  พอแล่นมาอีกหน่อยก็เห็นเป็ดน้ำเต็มไปหมดอย่างกับบึงเป็ด  มันว่ายแหวกน้ำเป็นทางๆ  สวยแบบถึงเนื้อถึงตัวจริงๆ

พอมาถึงตัวแพหมู่บ้านทีนี้ก็เห็นความคึกคักที่ไม่เห็นเมื่อเช้า  แดดอ่อนยามเย็นอากาศสบายและไม่มีฝนทำให้ชาวบ้านออกมาสันทนาการทำกิจกรรมกันนอกบ้าน  มองจากไกลๆเข้ามาเห็นกระโปรงสุ่มบานเสื้อผ้าสีสดแบบพื้นเมืองตัดกันสดใสกับหมู่บ้านสีทองที่ยิ่งอาบแดดทองอร่ามไปทั้งหมู่บ้าน  ที่น่ารักคือที่แพโรงเรียนมีลานกว้างเห็นนักเรียนผู้หญิงใส่กระโปรงบานสีแปร๋นเล่นวอลเล่ย์บอลกันอย่างคึกคัก  เอาสิ  ถึงจะเป็นแพต้นกกก็มีสนามวอลเล่ย์นะ เขาใช้งานกันได้ขนาดนั้น  ฉันหันหลังมองภาพอันน่ารักของหมู่บ้านนั้นจนลับตา

ก่อนที่แดดสุดท้ายจะหมดลง  ฉันยืนบนดาดฟ้าเรือหมุนตัวรอบอย่างจะเก็บวิวตรงนั้นไว้ตลอดไป  หมู่บ้านต้นกกสีทองลอยน้ำไม่มีที่ใดเหมือน  ทะเลสาบสีเข้มอันนิ่งสงบ  กอกกเขียวในน้ำ  นกเป็ดน้ำที่ลอยตัวแหวกน้ำตามกันเป็นหมู่  ภูเขาในฉากหลัง  เหมือนภาพสุดท้ายของภาพยนตร์ที่จบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง  มันสวยติดตาเหมือนวันของฉันที่จบอย่างประทับไว้ในใจโดยไม่อาจลืม  ติติกากา…. นี่เองคำร่ำลือที่เขาว่ากันว่าต้องมาเห็นให้ได้ก่อนตาย  ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไม  เพราะมันไม่ได้สวยเพียงแค่ที่เห็นด้วยตา  หากสวยรุ่มรวยด้วยความลึกซึ้งของจิตวิญญาณอย่างไม่เหมือนใคร

นี่เอง… ทะเลสาบอันเป็นต้นกำเนิดชีวิตของเผ่าอินคา  สมควรแล้วที่สุริยเทวาเลือกที่แห่งนี้เป็นต้นตำนานของอารยธรรมที่เกรียงไกรที่สุดในโลก

คัดลอกและปรับปรุงเมื่อ 16 มิถุนายน 2560 จากหนังสือ เปรู ดินแดนแห่งความลับและมนตร์ขลัง อ่านเรื่องเต็มได้ในหนังสือ

NO COMMENTS