คาริย็อคค่า (Carioca) หรือคนเมืองริโอภูมิใจอย่างเหลือเกินว่า  ริโอเดอจาเนโรคือเมืองที่สวยที่สุดในโลก  สวยจนมีคำกล่าวว่า  ริโอเป็นเมืองของพระเจ้า  จะเป็นด้วยแรงศรัทธาในพระเจ้าของชาวเมืองแห่งประเทศที่มีพลเมืองคาธอลิกมากที่สุดในโลกนี้  หรือด้วยความภูมิใจในความงามของริโอ  หรือจะทั้งสองอย่างรวมกันก็ตามแต่  เหนือยอดเขา Corcovado ที่สูงเด่นเห็นได้จากทุกมุมเมือง  คือความในใจนี้ที่คาริย็อคค่าประกาศให้โลกรู้  รูปปั้นพระเยซู Christ the Redeemer สูง 38 เมตร กางพระหัตถ์ออกตรงเป็นรูปไม้กางเขน  ก้มพระพักตร์อันสงบและปรานีลงน้อยๆ  ประหนึ่งจะเฝ้าปกปักรักษาดูแลเมืองริโอและคาริย็อคค่าทุกคนไว้ในอ้อมอกไม่ว่าวันหรือคืน  และแรงศรัทธานี้ยังได้ประกาศตัวเป็นครั้งที่สอง  เมื่อ Christ the Redeemer ได้ถูกรับรองเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่เมื่อปี 2007 จากการลงคะแนนอย่างท้วมท้นของชาวบราซิล

 ฉันเคยนึกว่าความงามอันลือชื่อของริโอคือคำโฆษณาเกินจริง  และเป็นความตื่นเต้นของฝรั่งที่ขาดแคลนน้ำสีฟ้าทรายสีทอง  ภาพถ่ายที่ชินตาคือหนุ่มสาวบราซิลเลียนผิวสีแทนในอาภรณ์น้อยสุดน้อยนอนปิ้งแดดกันเป็นปลาทูเต็มหาด  หาความเป็นส่วนตัวไม่ได้เลย  แอบนึกดูแคลนในใจว่า  มิน่า… อ่าวมาหยาถึงได้เป็นหาดสวรรค์  เศรษฐีระดับโลกทั้งหลายถึงได้ขายสมบัติอพยพมายอมตายที่ภูเก็ตสมุยกระบี่  จนเมื่อได้มาเยือนริโอกับตัวเองนั่นหละ  ฉันจึงได้เข้าใจ  ความงามของริโอมิใช่เพียงภาพที่ปรากฎแก่สายตา  แต่เป็นอารมณ์ บรรยากาศ จังหวะ เสียงเพลงบอสซ่าโนว่าสลับกับเสียงกลองจังหวะซัมบ้า เป็นชีวิต เป็นประสาทสัมผัสทั้งห้า และคงจะเป็นแรงศรัทธาและความภูมิใจในริโอของคาริยอคค่าที่ส่งมากระทบตลอดเวลาด้วยก็เป็นได้

ภูมิทัศน์ก่อนเครื่องจะแล่นลงก็ทำให้ต้องอุทานอย่างลืมตัวแล้ว  ริโอมีชายหาดสีทอง 23 แห่งเรียงตัวกันไม่รู้จบ  กว้างเหยียดยาวตัดกับน้ำทะเลฟ้่าสด  แต้มประดับด้วยมิติของเกาะแก่งริมขอบฟ้า  และยังภูเขายอดแหลมอันเขียวขจีรวมทั้งอุทยานแห่งชาติ  ทะเลสาบธรรมชาติใจกลางเมืองที่ให้อารมณ์นิ่งสงบตรงข้ามกับเกลียวคลื่นที่ซัดเป็นจังหวะริมฝั่งที่ห่างไปเพียงเดินไม่กี่นาที  ทั้งหมดนี้อยู่ใกล้กันเพียงอึดใจจากตัวเมืองที่ล้นไปด้วยโรงแรมหรูเริ่ด ร้านอาหารและบาร์เก๋ระดับโลก ซัมบ้าคลับ สนามฟุตบอล Maracana อันเสมือนมหาวิหารแห่งกีฬาประจำชาติบราซิลที่เด็กทุกคนฝันได้มาดวลแข้งสักครั้งในชีวิต  ซัมบ้าโดมที่ผู้คนแห่กันมาชมและฉลองคาร์นิวาล  ความเพียบพร้อมที่พระเจ้าประทานมาให้นี้เอง  ที่ทำให้คาริย็อคค่าไม่อยากย้ายไปอยู่เมืองอื่นใดอีก  ลืมตามาก็เห็นชายหาดและทะเล  ก่อนไปทำงานจะจ็อกกิ้งก็เลือกได้ว่าจะวิ่งบนถนนริมหาดหรือเลียบทะเลสาบ  แวะจิบกาแฟเข้มข้นถึงใจเหมือนอารมณ์เข้มแรงของชาวบราซิลเลียนที่คาเฟ่ระหว่างทาง  จากบ้านไปที่ทำงานกินเวลาเพียงอึดใจ  พักกลางวันหากจะเปลือยชุดทำงานออกอาบแดดสักครึ่งชั่วโมงก็ยังได้  ตกเย็นแวะบูติกโก้กับร้านงานอาร์ตของบรรดาดีไซน์เนอร์และศิลปินหัวกะทิของบราซิล  ก่อนดินเนอร์หรูที่ตัดสินใจเลือกร้านไม่ถูก  จบด้วยเต้นระบำที่ซัมบ้าคลับ  หรือจิบไคปิรินย่าชิลล์ๆที่บอสซ่าโนว่าบาร์  เสาร์อาทิตย์ขับรถออกไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงหาดร้างไร้นักท่องเที่ยวกวนใจ  จะเลือกโต้คลื่น โต้ลม  หรือร่อนเวหากับวินด์ไกลเดอร์  หรือจะลุยเขาในอุทยานแห่งชาติก็ได้  ชีวิตที่ริโอมีคำจำกัดความวนเวียนอยู่ที่  กิน ดื่ม นอน พักผ่อน เที่ยว เล่น เสพย์ บำรุง สังสรรค์ ระบาย สวยงาม ไพเราะ รัก ชอบ สุข ปลื้ม …..

คำว่าชีวิตแสนสุขนั้นคือชีวิตที่ริโอโดยแท้  และความเข้มข้น ถึงใจ เพียบพร้อมเหลือเฟือนี้  คือชีวิตแบบที่คาริย็อคค่า บอกว่า Life is beautiful!

ฉันไปริโอมาแล้วสองครั้ง  โชคดีได้เสพย์บรรดาสิ่งที่ว่าสุดยอดของริโอมาแล้วหลายอย่าง  โอ…. รู้สึกผิดในความหลงบำรุงบำเรอรูปรสกลิ่นเสียงของตัวเองเหลือเกิน  แต่นี่คือนิยามชีวิตอันสุโขของริโอ… เมืองแห่งพระผู้เป็นเจ้ามิใช่หรือ…

ครั้งแรกฉันพักที่โรงแรม Fasano บูทีคโฮเต็ลอันดับหนึ่งของบราซิล  ที่เพียงเพิ่งมาเปิดสาขาที่ริโอได้เพียงไม่กี่เดือนก่อนฉันมา  ก็กลายเป็นที่ฮือฮาขึ้นอันดับสุดยอดโรงแรมเก๋ระดับโลกไปเรียบร้อย  โดยเฉพาะสระว่ายน้ำบนดาดฟ้าที่เห็นวิวหาด Ipanema เต็มตานั้น  กลายเป็นสัญลักษณ์อีกหนึ่งของหาดที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมของความ “อิน” ทั้งมวลแห่งประเทศบราซิลไปแล้ว  ดีไซน์ของฟาซาโน่ขึ้นทำเนียบความไม่เหมือนใครในวงการตกแต่ง  จากล็อบบี้สู่ห้องอาหาร บาร์ ลิฟท์และส่วนต่างๆในชั้นเดียวกันนั้น  มิได้กั้นด้วยผนังหากทิ้งชายระย้าจากเพดานลงมาด้วยม่านที่ร้อยคดเคี้ยวประหนึ่งว่าต้องเดินแหวกสู่ส่วนในอันลึกลับเย้ายวน  ห้องหับนั้นก็เหมือนจะเป็นห้องลับทั้งหมด  ด้วยเมื่อลิฟท์เปิดออกนั้น  นอกจากเก้าอี้อาร์มแชร์ดีไซน์ล้ำรูปสรีระของหญิงอวบที่ตั้งอยู่กลางโถงแล้ว  ก็มีเพียงผนังสีมืดล้อมตัวทั้งสี่ด้านไร้ทางออก  เมื่อเพ่งดีๆจึงพบว่าผนังเข้มที่ตามไฟพื้นไว้เพียงสลัวๆนั้น  มีประตูห้องเจาะซ่อนอยู่เรียงราย  ส่องหาเลขห้องและรูกุญแจเข้าไปพบกับความสลัวอีกเช่นเคย  ระบบไฟอันไฮเทคน่าเวียนหัว  กว่าจะเปิดปิดได้หมดไปหลายนาที  จนเมื่อเปิดไฟได้ครบที่ต้องการแล้ว  ก็ยังพบว่าห้องยังสลัวโรแมนติกอยู่เหมือนเดิม  อึม… จะว่าเก๋และไฮเทคก็เห็นด้วยอยู่หรอก  แต่มันไม่เอื้อการใช้สอยเสียเลย  บูทีคโฮเต็ลเดี๋ยวนี้เป็นอย่างนี้กันมากขึ้นเรื่อยๆ  มืดจนมองไม่เห็น  และปุ่มไฟชวนงงเสียจนฉันต้องนอนทั้งๆไฟเปิดหลายครั้ง  เรียกว่ามืดเกินเห็นเวลาตื่น  และสว่างเกินต้องการเวลาจะหลับ  เฮ้อ…  หรือฉันจะแก่เกินไปสำหรับดีไซน์สุดฮิปเสียแล้ว

ครั้งที่สองฉันพักที่ Copacabana Palace Hotel โรงแรมบนหาด Copacabana ที่ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์ของริโอ  ด้วยสาเหตุที่เป็นโรงแรมหรูระยับแห่งแรกในละตินอเมริกา  สร้างเมื่อปี 1923 และมีคาสิโนอยู่ด้วย  ทำให้เป็นแหล่งหย่อนใจและสังสรรค์ของสังคมหรูระดับโลกในยุคนั้น  ประมาณบรรยากาศอู้ฟู่หรูแฟ่แบบเจมส์บอนด์ที่เดรสโค้ดคือแบล็คไทเท่านั้น  คนดังของโลกทั้งหลายเคยมาพักที่ “โคป้า” (Copa) หรือชื่อเล่นที่ชาวคาริย็อคค่าเรียก  กันทั้งนั้น  ควีนอลิซาเบธ  เจ้าหญิงไดอาน่า  เอวา เปร็อง  อาลี ข่าน  ออร์สัน เวลส์  หรือเจเอฟเค  เรียกว่าโคป้าอาจจะเป็นแลนด์มาร์คที่สำคัญที่สุดของริโอในทุกวันนี้เลยก็ว่าได้

แต่แม้ว่าโคป้าจะเคยหรูหราเป็นที่หนึ่งขนาดไหนในอดีต  ในโลกปัจจุบันนี้ที่โรงแรมระดับซุเปอร์พรีเมียมเปิดทุกวันจนตามไม่ทัน  และต่างก็แข่งกันทั้งเรื่องความคิด ดีไซน์และบริการ  ฉันพูดได้เพียงว่า  แม้โคป้าจะสมมาตรฐานห้าดาวแท้  แต่ก็ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย  และไม่มีอะไรที่จะเรียกได้ว่า “ไม่ธรรมดา” นอกเหนือไปจากประวัติศาสตร์  และความภาคภูมิใจของพนักงานทุกคนในโรงแรมที่สัมผัสได้  นักอ่านขาเที่ยวของฉันคงรู้ใจดีว่าฉันขอเลือกบูทีคโฮเต็ลหรือโรงแรมดีไซน์เก๋เล็กๆที่มีเสน่ห์และบุคลิกเฉพาะตัวอย่างที่เรียกว่า Personal touch มากกว่าโรงแรมห้าดาวที่ผ่านข้อสอบทุกข้อของมาตรฐานโรงแรมโลกแต่ไม่มีเซอร์ไพรส์  อย่างไรก็ตาม  หนึ่งครั้งที่โคป้าเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าสำหรับนักเดินทางคอแท้  โดยเฉพาะบรรยากาศโก้ที่ยังไม่มีที่ใดเหมือน  ตรงสระว่ายน้ำสีฟ้าที่โอบล้อมด้วยตึกสีขาวแห่งประวัติศาสตร์  ติดกับหมู่โต๊ะเก้าอี้บรรยากาศอัลเฟรสโก้ใต้ร่มขาวของ Pergula  คาเฟ่ชื่อดังของโรงแรมที่เสิร์ฟมื้อเช้าและมื้อน้ำชายามบ่ายที่ติดยอดนิยมมาร้อยปี  จะลอยตัวในสระเดียวกับที่คนดังของโลกเคยแช่มาแล้ว  หรือนอนอาบแดดอ่านหนังสือที่เก้าอี้ขาวริมสระ  ก็กระทบไหล่ไฮโซนานาชาติที่จิบชาอยู่ใกล้ๆได้เท่ากัน

เรียกว่าสองครั้งที่ริโอ  ฉันก็นอนมาแล้วทั้งสองหาดอันเป็นดังราชาและราชินีของริโอเดอจาเนโรที่ใครๆฝันจะได้มาเห็นด้วยตาสักครั้ง  และก็ในโรงแรมที่นับว่าเป็นที่สุดของแต่ละหาดเสียด้วยสิ  อืม… ชีวิตสุโขของแท้ที่ริโอจริงๆด้วย

แต่หากถามว่าหาดไหนน่าไปกว่ากันก็ต้องถามกลับว่าจะให้ใครตอบล่ะ  ถ้าให้ฉันตอบก็จะตอบว่าหากไปเป็นครั้งแรกควรเลือกโคปาคาบาน่า  เหตุผลง่ายๆคือเป็นของแท้แต่ดั้งเดิม  และอยู่ใกล้กับสถานท่องเที่ยวที่ผู้มาเยือนครั้งแรกควรไปมากกว่า  จะไปไหนมาไหนเรียกแท็กซี่วิ่งปรู๊ดปร๊าดไปมาสะดวกง่ายดายและไม่แพง  อันว่าวิวทิวทัศน์ระหว่างสองหาดดังนั้นฉันก็ว่าแทบไม่ต่างกัน  ดังนั้นครั้งแรกควรเลือกความสะดวกเอาไว้ก่อน  แต่ถ้าถามให้ชาวคาริย็อคค่าตอบก็จะได้คำตอบว่าอิปานิม่า  เพราะโคปาคาบาน่านั้นกลายเป็นจุดรวมนักท่องเที่ยวเสียจนเฝือ  (ก็คงเป็นผลมาจากคำตอบของฉันนั่นแหละ)  และเป็น Red District  ยามดึกๆมี “คนทำงาน” มายืนเรียกแขกเต็มไปหมด  ชาวคาริย็อคค่าเขาไม่ชอบ  ก็คงคล้ายเราที่อยู่ดีๆคงไม่อยากไปพัฒน์พงษ์  ส่วนหาดอิปานีมานั้นเป็นหาดที่ “เกิด”ทีหลัง  จึงเป็นศูนย์รวมความฮิปเก๋ทั้งหลาย  คาริย็อคค่าจึงชอบ  วันแดดดีนั้นชาวเมืองแท้มานอนปิ้งกันเต็ม  ต่างคนต่างเอาอุปกรณ์มุ้งหมอนร่มมากันเอง  ไม่มีเก้าอี้และร่มชายหาดบังคับขาย  บรรยากาศจึงผ่อนคลายเป็นกันเองมากกว่าอารมณ์การค้า  วอลเลย์บอลบนหาดเป็นอีกอย่างที่เสมือนสัญลักษณ์ของริโอ  ที่นี่เขาเล่นกันจริงจังไม่แพ้ฟุตบอล  จึงมีเน็ตขึงและคนเล่นกันถี่ยิบสลับกับพวกปลาทูในบิกินี่ที่นอนตากแห้งอยู่  จากริมหาดอิปานิมาเข้ามามีถนนช็อปปิ้งสองสามสายเช่น Visconde de Piraja และ Rua Garcia d’Avila เต็มไปด้วยร้านค้าทั้งแบรนด์อินเตอร์และท้องถิ่น  ตรงนี้นับว่าเป็นศูนย์รวมจักรวาลแฟชั่นและเทรนด์ของบราซิล  เรียกว่าอะไรก็ตามถ้ามาใหม่ต้องมาที่นี่ก่อน  และถ้าไม่เกิดที่นี่ก็ไม่เกิดในบราซิลแน่นอน

ที่ฉันชอบมากๆทั้งหาดโคปาคาบาน่าและอิปานิมาก็คือ  ระหว่างถนนและหาดกว้างนั้น  เขาทำเป็นทางเท้ากว้างมากๆเดินสะดวกสบาย  ปูกระเบื้องเป็นลวดลายกราฟฟิกดำขาวอารมณ์ยุคซิกซ์ตี้  ลายดำขาวแบบนี้เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของริโอ  บนทางเท้านี้มีซุ้มศาลาเป็นร้านอาหารนานายี่ห้อเรียงกันเป็นระยะ  จะซื้อแล้วเดินกินก็ได้  หรือจะนั่งกินบรรยากาศอัลเฟรสโก้แล้วชมวิวทะเลผสมผู้คนก็ได้  ล้วนสะอาดสะอ้านน่านั่ง  เอาเป็นว่าถึงไม่เจตนามาเห็นแล้วก็อาจ อดใจเข้าไปสั่งน้ำมะพร้าวมากินสักลูกไม่ไหวก็แล้วกัน  เพราะน่ารักน่านั่งมาก  แถมใต้ซุ้มร้านเหล่านี้ยังมีห้องน้ำและห้องเก็บของไว้ให้ใช้บริการอยู่ใต้ดิน  เป็นการจัดการที่เป็นระเบียบดีมาก  หาดที่โด่งดังระดับชาติควรต้องจัดการให้ได้ดีเลิศอย่างนี้  แม้ว่าผู้คนจะมากมายแค่ไหนก็ไม่มีการรกเลอะเทอะ  น่าเอาอย่างเป็นที่สุด

ในยามกลางวันนอกจากผู้คนจะมาอาบแดด  เล่นน้ำ  เล่นวอลเล่ย์ชายหาด  นั่งละเลียดไคปิรินย่าหรือน้ำมะพร้าวที่ซุ้มอาหารแล้ว  บนทางเท้ายังมีคนจ็อกกิ้ง เข็นรถเข็นพาลูกเดินสูดอากาศ  เดินจูงหมา ฯลฯ ยิ่งวันอาทิตย์ยิ่งคึกคักใหญ่เพราะเขาปิดถนนครึ่งหนึ่งให้คนมาพักผ่อนกันเต็มที่  พอตกกลางคืนบนทางเท้าก็จะมีรถเข็นอาหารสารพัดอย่างมาขาย  ส่วนมากจะเป็นของกินเล่นง่ายๆเช่นข้าวโพดคั่ว  ฉันเห็นอาหารท้องถิ่นหน้าตาประหลาดแล้วก็อดชิมไม่ได้อีกเช่นเคย  โดยเฉพาะประเภทขายตามรถเข็น  ชิมแล้วก็ติดใจจนต้องซื้อซ้ำ  คือแป้งสาคูทอด  จะเรียกเฉพาะเจาะจงว่าอย่างไรก็ไม่รู้  เพราะเขาขึ้นป้ายไว้ว่า Tapioca ที่แปลว่าสาคูหรือแป้งมัน  บราซิลบริโภคแป้งมันสำปะหลังมากที่สุดในโลก  นำมาแปรรูปเป็นอาหารสารพัดอย่าง  เม็ดสาคูมีขายเหมือนบ้านเราเดี๊ยะ  แป้งทอดนี้เขาจะผ่านกรรมวิธีมาอย่างไรก่อนหน้าก็มิอาจรู้ได้  เห็นแต่เป็นผงแป้งขาวๆใส่ไว้ในกะละมัง  เวลาคนสั่งก็ตักโรยลงไปบนกระทะร้อนๆใบเล็ก  พอมันร้อนแล้วจากผงร่วนๆก็กลายมาเหนียวติดกันเป็นแผ่น  กลับทีหนึ่ง  ใส่ไส้ลงไปตามแต่จะเลือก  พับครึ่งแล้วก็สอดในภุงพลาสติกให้เราถือเดินกัดกินได้เลย  ฉันเลือกไส้โดเซ่เดเลชเช่  (Doce de Leite) เป็นของหวานประจำชาติบราซิล  คือนมเคี่ยวกับน้ำตาลจนหวานข้นคล้ายนมข้นหวาน  กินแล้วคล้ายโรตีแต่อร่อยกว่าเยอะเลย  เห็นบางคนสั่งใส่เนื้อเค็มฉีกฝอยกับชีส  น่ากินไม่แพ้กัน

สถานที่ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องไปเยือนหากมาถึงริโอนี้มีอยู่สองแห่ง  แห่งแรกคือหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่  Christ the Redeemer นั่นเอง  สามารถไปชมได้โดยรถยนต์ที่ไต่ถนนหักศอกพับไปมาขึ้นไปได้อย่างอัศจรรย์  หรือที่ดีกว่าคือนั่งรถไฟขึ้นไป  เพราะเขา Corcovado ที่ตั้งนี้เขียวขจีสดชื่นด้วยเป็นป่าอุทยาน  รถไฟที่ไต่ขึ้นไปอย่างชันนี้ผ่านบ้านเรือนด้านล่างและป่าเขียวทึบด้านบนเขาจนมาถึงยอด  ได้เห็นวิวที่ค่อยๆสูงขึ้นเรื่อยๆ  รถไฟออกทุกครึ่งชั่วโมง  แต่หากวันแดดดีๆอาจต้องรอคิวซื้อตั๋วนาน  เรียกแท็กซี่บอกว่าไปสถานีรถไฟ Cristo Redentor ใครๆก็รู้

พอรถไฟจอดข้างบนเขามีบันไดเลื่อนต่อขึ้นมาอีกนิดเดียวก็ถึง  พ้นบันไดขึ้นมาก็ต้องอุทานอย่างเผลอตัวเพราะสายตาปะทะจังเข้ากับฐานเบื้องล่างด้านหลังอันใหญ่โตของรูปปั้นพระเยซู  ช่างใหญ่โตและตระหง่านงามจนต้องแหงนหน้ามองคอตั้งบ่า  ยิ่งพอเดินอ้อมมาด้านหน้ายิ่งชวนตะลึง  ทั้งความใหญ่โตและรูปพระพักตร์ที่ปั้นได้งามสงบ  เหมือนมีมนต์สะกดให้สยบอยู่แทบเท้าอย่างประหลาด  อดทึ่งในศรัทธาอันแรงกล้าของคริสตศาสนิกชนชาวบราซิลไม่ได้  ที่อุตสาหะสร้างอนุสาวรีย์ใหญ่โตขนาดนี้บนยอดเขาที่สูงลิบมาตั้งแต่ร้อยกว่าปีที่แล้ว  ความคิดของคนริเริ่มก็เด็ดจริง  ด้วยตำแหน่งของเขาที่อยู่ใจกลางเมือง  ทั้งรูปพรรณสันฐานของภูเขาที่พุ่งลิ่วตะหง่านขึ้นไปได้เหมาะเจาะและทั้งความสูงที่พอดี  จะอยู่ที่ไหนในริโอก็ต้องเห็นพระคริสต์กางแขนโอบอุ้มและมองลงมาประหนึ่งเฝ้าดูแลทั้งวันคืน  สมกับเป็นเมืองแห่งพระเจ้าจริงๆ

สถานที่อีกแห่งที่ต้องไปเยือนและเป็นคู่แข่งกับ Christ the Redeemer ก็คือ Pao de Acucar หรือแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Sugarloaf ด้วยชื่อที่ชาวอินเดียนเรียกพ้องเสียงกับคำว่า “เปาม์ เด อะซูก้า” ในภาษาโปรตุกีส  ซึ่งอันที่จริงภาษาอินเดียนหมายถึงยอดเขาสูงแหลมที่ตั้งอยู่โดดๆ  อันเป็นคำบรรยายที่ตรงไปตรงมากับลักษณะของ Pao de Acucar ที่สุด  เขานี้เหมือนเป็นหินแกรนิตทั้งก้อนยักษ์ตั้งมั่นเป็นสัณฐานอยู่สองก้อน  ต้องนั่งกระเช้าขึ้นไปจากสถานีข้างล่างสองต่อ  ต่อแรกมาจอดที่ยอดเขาลูกแรกก่อน  แล้วจึงต้องเปลี่ยนกระเช้าต่อไปลูกที่สอง  ขึ้นมาแล้วจึงได้แปลกใจว่าก้อนหินที่แลดูกลมเกลี้ยงไม่ใหญ่โตอะไรยามมองจากเบื้องล่างนั้น  กว้างขวางขนาดเดินรอบๆต้องใช้เวลาทีเดียว  วิวนั้นก็ช่างอัศจรรย์  เห็นริโอทั้งเมือง เหมือนกำลังดูแผนที่เมืองเลย  หาดโคปาคาบาน่าโค้งยาวไปสุดที่ปลายแหลม  แล้วหักมุมทอดเป็นหาดอิปานิมายาวต่อไปจนถึง Leblon  ถัดด้านในสองหาดเข้ามาก็พอจะเห็นทะเลสาบหรือลากูนอยู่กลางหมู่ตึก  อีกด้านของเขาเป็นมารีน่าจอดเรือของเศรษฐีริโอที่มีเรือใบแล่นอยู่ประปราย  เลยไปอีกนิดเห็นสนามบินในเมืองหรือ City Airport ที่เขาถมที่ในทะเลเป็นติ่งออกไปเป็นรันเวย์  น่าหวาดเสียวเวลาลงจอดแต่สะดวกใกล้เมืองจริงๆ  เลยไปอีกนิดจนสุดสายตาคือเขตเมืองเก่าหรือ Centro ที่เต็มไปด้วยตึกเก่าสมัยโปรตุเกส  เรียกว่าเห็นริโอได้อย่างเต็มอิ่มเต็มตาจริงๆ  แต่ที่ใครๆก็เฝ้ามองชมและถ่ายรูปกันอย่างไม่หยุดนั้นก็คือ  รูปปั้นพระเยซูที่กางหัตถ์อยู่เหนือเขาคอร์โควาโดและหันพระพักต์มาทาง Pao de Acucar เห็นเป็นรูปไม้กางเขนตระหง่านเป็นจุดสูงสุดของเมือง  ยามเมฆลอยผ่านบังพระองค์เอาไว้นั้น  แลดูขลังอย่างประหลาด  ฉันเข้าใจเอาตอนนี้เองว่า  ที่เขาว่าริโอเป็นเมืองที่สวยที่สุดนั้นแปลว่าอะไร  ไม่ใช่ชายหาดที่แน่นไปด้วยปลาทูปิ้งแน่นอน  แต่ริโอมีอะไรที่มากกว่านั้น  ทั้งที่เห็นได้ด้วยสายตา  และที่สัมผัสได้ด้วยประสาทอีกสี่ที่เหลือ  อาจจะอีกห้า…รวมเป็นหก… สำหรับบางคน…

ที่ต้องยกความประทับใจให้ผู้ว่าเมืองริโออีกครั้งคือการดูแลจัดการสถานที่ข้างบน Pao de Acucar  บนยอดแรกมีร้านอาหารเป็นบาร์โล่งที่ตั้งโต๊ะเรียงรายให้ชมวิวได้อย่างเต็มอิ่ม  และมีหมู่เก้าอี้ให้นั่งเอกเขนกชมวิวที่ช่างสะอาดสะอ้านน่านั่งจนไม่อยากลุก  บนยอดที่สองนั้นมีทางเดินวกวนไต่เขาไปมาประหนึ่งเดินเล่นอยู่ในสวนสาธารณะชั้นดี   ทั้งสะอาด ร่มรื่น และเดินได้อย่างสะดวกสบาย เป็นอะไรที่เหนือความคาดหมายมากๆ  เรียกว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวดังที่ฉันจะไม่แปลกใจเลยหากมีชาวเมืองคนใดเสียเงินขึ้นมานั่งชมวิวเล่นเป็นวันๆ

อดเอ่ยไม่ได้ว่าตรงที่ขายตั๋วขึ้นกระเช้ามานั้น  มีร้านไอศกรีมร้านหนึ่ง  ชื่อ Sorvete Brasil นอกจากรสชาติอร่อยแล้วฉันยังว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ  เพราะเขามีรสแปลกๆที่คิดเอามาผสมกัน  เช่นมะม่วงกับขิง  หรือรสสาคู  ลงมาร้อนๆแวะนั่งกินเย็นๆใจดีจริง

ไม่ไกลด้านหน้าทางขึ้น Pao de Acucar มีหาดเล็กๆชื่อ Velmelho  เห็นได้ชัดว่าเป็นหาดที่ชาวเมืองมาพักผ่อนกันล้วนๆไม่มีนักท่องเที่ยว  ฉันว่าน่ารักดี  ไม่ใหญ่โตยาวเหยียดสุดสายตาอย่างโคปาคาบานาและอิปานิมา  วิวสวยและสงบจึงได้อารมณ์ส่วนตัวสบายๆกว่า  จะนั่งจิบน้ำมะพร้าวหรือนอนนวดริมหาดก่อนกลับก็ยังได้

ร้านอาหารที่ต้องไปลองให้สมกับมาเที่ยวริโอเป็นครั้งแรกคือ Marius  อยู่ถนนเลียบหน้าหาดโคปาคาบาน่า  เดินมาจากโรงแรมโคป้าได้ใครๆก็รู้จัก  มาถึงหน้าร้านก็ต้องอุทาน  เพราะตกแต่งได้เด็ดมันมหัศจรรย์เหลือเกิน  แนวคิดก็สมกับความเป็นร้านอาหารทะเล  เพราะเต็มไปด้วยของสะสมประดับประดาจากทะเล  เน้นความ “เยอะ”เข้าว่า  เหมือนเดินอยู่ในถ้ำสะสมสมบัติของโจรสลัดไม่มีผิด  เพดานมีมหาสมบัติแขวนประดับเต็มไปหมดจนไม่เห็นฝ้า  ทั้งตะเกียง แห อวน โคมไฟ เสากระโดงเรือ  เห็นแ้ล้วคิดถึงหนังเรื่อง Pirates of the Caribbean ทันที  นอกจากการตกแต่งจะไม่เหมือนใครแล้ว  อาหารก็ยังไม่เหมือนใครอีกด้วย  เพราะเป็นอาหารทะเลที่เสิร์ฟแบบเฉพาะตัวของบราซิล  นั่นก็คือที่เรียกว่า “Rodizio” อันหมายถึงร้านอาหารที่นอกจากจะมีบุฟเฟต์อลังการลานตาแล้ว  ยังมีบริกรคอยเดินแบกจานอาหารสารพัดชนิดคอยวนมาเสิร์ฟที่โต๊ะแบบไม่มีวันหยุด  เดี๋ยวกุ้งมังกร เดี๋ยวกั้ง กุ้งแม่น้ำ หมึกเล็กหมึกใหญ่ ปลานานาชนิดแทบจะครบทุกพันธุ์ในทะเล  เขาจะเดินมาหนึ่งคนหนึ่งจานเปลหนึ่งอย่าง  มาตักแบ่งวางในจานเรา  จะเอาแค่ไหนก็ได้  เราชอบอะไรก็กินแบบนั้น  เหมือนกับอาหารจะไม่วันหมดไปจากครัว  ทั้งอร่อยตาทั้งอร่อยปาก  และสนุกสนานเมามันที่สุด  อิ่มจนแทบเดินไม่ไหว  ฉันสงสัยจริงๆว่า  วัฒนธรรมการกินแบบบราซิลที่มากมายไม่ยั้งแบบนี้นั้น  ทำไมสาวๆบราซิลยังหุ่นดีใส่บิกินี่กันสวยๆเต็มเมือง

พูดถึงร้านอาหารแล้วก็อดเอ่ยถึงร้าน Olympe โดยเชฟ Claude Troisgros ไม่ได้  เพราะว่ากันว่าเป็นร้านอาหารที่ดีที่สุดของริโอ  อาหารเป็นฝรั่งเศสสมัยใหม่แบบที่เรียก Nouvelle Cuisine  มาถึงเมืองแห่งพระเจ้าทั้งที  มีหรือฉันจะพลาดสิ่งที่ดีที่สุด  โดยเฉพาะเป็นอาหารประเภทถูกปากถูกลิ้นด้วย  และช่วงนี้ยิ่งกำลังฮิตชิม Tasting Menu ที่เชฟคนดังจะจัดเป็นคอร์สมาเซอร์ไพรส์  แต่ละจานมาเล็กๆให้ละเลียดจิบๆอย่างอาหารทิพย์  แม้จะคำเล็กๆแต่ก็อัดแน่นไปด้วยรสชาติและสารพัดซอสและการตกแต่งที่ประดิดประดอยมา  อร่อยถูกจริตมากๆ  ร้านก็เงียบๆเรียบโก้มีรสนิยม  ที่บราซิลเริ่มมีร้านอาหารประเภทนี้มากขึ้นเรื่อยๆ  ถ้ามีการสำรวจติดดาวมิชลินสตาร์มาไกลถึงบราซิลอาจมีร้านอย่าง  ได้ดาวกันบ้างก็ได้  เป็นอีกหนึ่งมื้อสวรรค์ประหนึ่งพระเจ้าประทานมา

ฉันโชคดีที่นอกจากจะได้เห็นริโอแบบนักท่องเที่ยวแล้ว  ยังได้เห็นแบบชาวท้องถิ่นแท้  เพราะครั้งแรกที่ไปนั้น  มีเพื่อนสองคนที่เป็นชาวคาริย็อคค่าแท้ไปด้วย  แถมหนึ่งคนยังเป็นเจ้าของบริษัททัวร์ในริโอมาขับรถพาเที่ยวเองเสียอีก  คืนหนึ่งเราไปดูชาวคาริย็อคค่าร้องเพลงกันในคลับ  ชื่อ Taca do Vinius เป็นกลุ่มคนที่มารวมกันร้องเพลง  ไม่ได้ร้องเพื่อเอาดี  แต่เป็นการร้องเพื่อบำบัดตามกระแสจิตบำบัดทางเลือกสมัยใหม่  จะเห็นได้ว่าคนร้องมีนานาสารพัดอายุ  ทั้งคุณตาคุณป้าคุณยาย  ผลัดคิวกันขึ้นไปร้อง  เดี่ยวบ้างหมู่บ้าง  บางทีก็มีริวิวประกอบเพลง  เห็นได้ว่าตั้งอกตั้งใจกันมาขึ้นเวทีอย่างมาก  แต่่่ละคนขนกองเชียร์ทางบ้านมาเหมาโต๊ะกันเพียบ  ฝีมือการร้องจะว่าไปก็ฟังไม่ค่อยได้เท่าไร  แต่ที่ดีคือเพลงเป็นแนว MPB หรือ Musica Popular Brasileira ทั้งหมด  ซึ่งเป็นแนวเพลงเฉพาะตัวของบราซิลเท่านั้นไม่มีที่อื่น  เป็นแนวผสมระหว่างแจ็ซ บอสซาโนวา และป็อป  จึงได้บรรยากาศชาวเมืองแท้  ถึงไม่เพราะก็ดีกว่าไปดูโชว์  และที่น่าสนใจคือการที่คนเขาตั้งใจมารวมกันทำกิจกรรมดนตรีบำบัดเปิดคอนเสิร์ตดูกันเองอย่างจริงจัง  ทำให้ได้เห็นวิถีชีวิตจริงๆของคาริย็อคค่า

Elis & Tom Album Cover Photo Cr. Google

บราซิลนั้นโดดเด่นเรื่องดนตรี  นอกจาก MPB แล้วที่บ้านเราเริ่มจะนิยมกันและได้ยินบ่อยตามบาร์เก๋ๆทั้งหลายคือบอสซ่าโนวา  ฉันนั้นชอบเพลงแนวนี้แบบจริงๆจัง  เพราะฟังสบายและมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร  ในเมื่อริโอนั้นขึ้นชื่อว่ามีร้านซีดีที่ดีๆมากมาย  ฉันจึงขอให้เพื่อนพาไปร้านที่คาริย็อคค่านิยม  พอไปถึงร้าน Argumento ที่เลอบล็อง (Leblon) ก็ถูกใจมาก  เพราะไม่ได้เป็นร้านใหญ่โตทันสมัยอย่างที่เราคุ้นเคยตามห้าง  แต่เป็นร้านเก่าแก่ที่ขายทั้งหนังสือและดนตรี  มีคาเฟ่เล็กๆอยู่ด้านใน  ว่ากันว่าที่นี่เป็นแหล่งรวมคอลเล็คชั่นบอสซ่าโนว่าที่ดีที่สุด  เราเลือกกันอย่างเมามันด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนคอเพลง  ฉันอยากได้บอสซ่าโนวาดีๆแบบสุดยอดไปฝากนายเก่าที่เป็นคอเดียวกัน  เลือกยากเพราะกลัวซื้อไปซ้ำ  มาจบได้ชุด Elis & Tom ของ Elis Regina และ Tom Jobim ขณะถืออยู่ในมือเดินวนไปมา  ปรากฎว่าคุณลุงผมขาวท่าทางเป็นศิลปินเศรษฐีที่เลือกอยู่ข้างๆ  เห็นเราเลือกอยู่นานและเห็นฉันถือแผ่นนั้นอยู่  จึงหยิบซีดีชุดเดียวกันที่เหลืออยู่หนึ่งแผ่นสุดท้ายยื่นไปให้เพื่อนชาวดัทช์ของฉันแล้วบอกว่า  ไม่ต้องเลือก  เอาชุดนี้ไปเลยอย่างที่เพื่อนเธอหยิบไปนั่นแหละ  เพราะนี่คืออัลบัมที่ดีที่สุดที่เคยผลิตมาในประเทศบราซิล  โอ…. ชิลล์จริงๆ

อารมณ์ดนตรียังไม่หมด  คืนต่อมาเราอยากไปหาเพลงบอสซ่าโนวาฟังกัน  บังเอิญมีคอนเสิร์ตดีแต่เราไม่ได้จองตั๋วไว้ล่วงหน้าจึงดุ่มไปเข้าคิวซื้อตั๋วกันหน้างานเลย  ปรากฎว่าบัตรหมดแล้วแต่คนก็ยังมาเข้าคิวกันยาวมาก  ถึงเวลาดนตรีเริ่มแล้วก็ยังมารอกันอีกเรื่อยๆ  เพราะมารอซื้อที่ว่างที่คนซื้อไปแล้วไม่มา  ที่ขายตั๋วเขาก็ไม่ยอมขาย  เพราะต้องรอก่อนให้แน่ใจว่าเจ้าของตั๋วเก่าไม่มาแล้วจริงๆ  คนก็อุตสาหะทั้งรอทั้งตื๊อกัน  และไม่เห็นจะเดือดร้อนใจเรื่องเวลากันเลย  คนที่นี่ใจเย็นเรื่อยมาเรียงๆกันสุดๆ  ด้วยความที่เข้าคิวกันอยู่นาน  เพื่อนคาริย็อคค่าของฉันจึงหันไปคุยกับคุณลุงผมยาวมัดจุกข้างหลัง  ทีหลังถึงได้รู้ว่าเขาเป็นศิลปินดังของบราซิล  เพื่อนฉันว่าบรรดาดาราและเซเรบริตี้ชาวบราซิลทั้งหลายมีนิวาศสถานอยู่ที่ริโอกันทั้งนั้น  นอกจากจะสวยงามและอาร์ติสจัดสมรสนิยมแล้ว  ยังเต็มไปด้วยเซเล็บด้วยกัน  เขาจึงมีชีวิตอยู่กันได้อย่างสบายๆโดยไม่ต้องมีคนมากรี๊ดใส่ตลอดเวลา  และก็เป็นกันเองง่ายๆอย่างที่คุยกับเรา

ปรากฎว่าเราโชคไม่ดีที่ตั๋วไม่เหลือมาถึงเรา  เพื่อนฉันบอกไม่เป็นไร  เดี๋ยวพาไปฟังเพลงที่ซัมบ้าคลับแทน  ก็ดีเหมือนกัน  ฉันได้ยินกิตติศัพท์ซัมบ้าคลับมานาน  จะได้เห็นกับตาเสียที  คลับที่เราไปนั้นดีมากๆ  ต้องเสียเงินค่าเข้าราวห้าร้อยบาท  ตรงกลางชั้นล่างสุดมีดนตรีซัมบ้าเล่นสดบนเวทีเตี้ยๆ  หน้าเวทีเป็นฟลอร์ไม้  มีคนเต้นหมุนกันอย่างได้อารมณ์บราซิลมาก  ฉันนึกว่าคนทั่วไปจะเต้นกันได้สะบัดช่ออย่างในหนัง  แต่จริงๆลีลากลับไม่ได้สุดเหวี่ยงอย่างนั้น  มีผู้ชายบ้างบางคนที่กล้ามเป็นมัดตัวตรงเดะแต่สะโพกย้วยหมุนเอวแฟนสาวเหวี่ยงไปมาตลบพึ่บพั่บๆ  แต่ส่วนมากเขาก็เต้นกันเหมือนคนธรรมดาๆ  ถึงอย่างนั้นทุกคนก็มีอารมณ์ร่วมแบบปล่อยกายใจกันสุดเหวี่ยงไม่ว่าจะอายุมากแค่ไหน  เรานั่งจิบไคปิรินย่าแกล้มโบลินโย่ไส้เนื้อเค็มดูอย่างเพลินตา  เป็นบรรยากาศไม่เหมือนที่ไหนที่ฉันเคยไปมาก่อนเลย  ทั้งมีชีวิตชีวา  คึกคัก  แต่กลับคลาสสิกและเต็มไปด้วยศิลปะอย่างบอกไม่ถูก  คำจำกัดความที่พอจะนึกได้คงเป็น  ศิลปะเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันละมัง  เพราะคนที่มานั้นเห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นวัยรุ่นมาปาร์ตี้  แต่เป็นทุกอายุมาปล่อยอารมณ์และสังสรรค์อย่างมีความสุข

ตัวสถานที่เองก็ช่างน่าอัศจรรย์  ตกแต่งไปด้วยของสะสมสารพัด  และดีไซน์หลากชนิดปนกันแบบ Kitsch ทั้งมุมร่ม มุมนาฬิกา มุมหุ่นโชว์เสื้อ มุมเครื่องมือช่าง และอื่นๆอีกมากมายลายตา  โต๊ะเก้าอี้ย้อนยุคล้ำยุคปนกันอย่างไม่เข้ากันเสียจนผสานเข้าเป็นดีไซน์เดียวกัน  แค่เดินเล่นดูดีไซน์ก็สนุกแล้ว  คลับนี้ชื่อ Rio Scenarium ตั้งอยู่ในตึกโบราณสามชั้นสมัยโปรตุกีสในย่านเมืองเก่า  ตรงกลางตึกที่เป็นเวทีและฟลอร์นั้น  เจาะพื้นทะลุขึ้นไปจนถึงหลังคาชั้นบนสุด  หากเดินขึ้นไปชั้นสองและสามก็จะสามารถยืนรอบๆระเบียงและมองลงมายังฟลอร์และเวทีชั้นล่างสุดได้  ทุกชั้นมีโต๊ะเล็กๆตั้งอยู่กระจายทั่วไป  เว้นตรงกลางทุกชั้นไว้เป็นที่เต้นซัมบ้า  ไม่ว่าอยู่ในส่วนใดชั้นไหนทุกคนจึงเชื่อมต่อถึงกันได้ด้วยดนตรีเดียวกัน  และกระแสคลื่นซัมบ้าที่เหวี่ยงตัวหมุนและส่ายสะโพกไปมา  เป็นสถานที่ที่มีชีวิตและอารมณ์ชนิดที่มีให้สัมผัสได้ที่บราซิลเท่านั้นจริงๆ

วันเสาร์ทั้งวันเพื่อสองคนของฉันอาสาพาขับรถเลียบชมชายหาดอันมากมายไม่สิ้นสุดของริโอ  เพื่ออวดริโอแบบที่ชาวคาริย็อคค่าไปกันจริงๆ  เริ่มจากสุดหาดอิปานิมาเราขับรถขึ้นไปสวนบนเขาที่ Parque do Penhasco dos Dois Irmaos  จอดรถมองลงมาเหมือนมีวิวส่วนตัวบนยอดเขา  ไม่มีคนเลยนอกจากเรา  เหมือนได้ค้นพบความลับของริโอ  จากนั้นเรานั่งรถต่อไปทางตะวันตก  ทางเลียบเขาอิงทะเลสวยจริงๆ  พอพ้นมุมเขามาโผล่ตรงโรงแรมเชอราตันติดหาดส่วนตัว  เพียงฝั่งตรงข้ามกลับเป็นสลัมใหญ่แน่นน่ากลัว  ที่ริโอมีสลัมมากมาย  หรือที่เรียกในภาษาโปรตุกีสว่า Favela  สลัมใหญ่ที่สุดคือ Rocinha  หากไม่กลัวจะซื้อทัวร์ไปเดินดูก็ได้  แต่ฉันขอโบกมือบาย  ไม่เชิงกลัว  แต่ไม่สบายใจมากกว่า  คอหนังคงจะรู้จักริโอในภาพพจน์อันน่ากลัวและโหดร้ายจากหนังเรื่อง City of God  หนังดีระดับรางวัลที่ดูแล้วสะเทือนใจสุดๆกับความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์  และความเศร้าที่เห็นเด็กตัวเล็กๆหยิบปืนขึ้นมายิงคนตายได้ง่ายๆโดยไม่รู้สักนิดว่านั่นคือการฆาตกรรม  ฉันจึงไม่อยากไปเห็น  ในขณะที่ริมหาดไฮโซหรูแฟ่ทั้งหลายเต็มไปด้วยการดื่มกินสำเริงสำราญอย่างเกินพอนั้น  เพียงพ้นแนวเขากั้นก็เต็มไปด้วยสลัมที่ต่างกันราวฟ้ากับดิน  เขาหลายลูกเห็นเป็นบ้านปุๆปะๆเบียดซ้อนกันยิบยับเป็นเนินไล่ขึ้นไป  ว่ากันว่า  สลัมที่ริโอคือสลัมที่มีวิวสวยที่สุดในโลก  ชนิดที่มหาเศรษฐีบางประเทศยังไม่มีปัญญาซื้อบ้านที่มีวิวแบบนี้เลย  เป็นสัจธรรมคำเปรยที่ฟังแล้วต้องยิ้มขำ  แต่ความจริงก็คือคนจากสลัมเหล่านั้นลงมา “หากิน”กันหน้าหาดไฮโซปะปนกับความล้นเหลือทั้งมาแบบสุจริตและไม่สุจริต  วันที่ฉันนั่งจิบซางเกรียที่บาร์เปิดริมหาดโคปาคาบานานั้น  พอกินหมดแก้วเหลือน้ำแข็งและผลไม้กองอยู่ก้นถ้วย  ฉันก็ลุกไปซื้อขนมเพิ่ม  แม่ฉันยังนั่งอยู่ที่โต๊ะแท้ๆ  มีเด็กผู้หญิงสองคนพี่น้องวิ่งปรู๊ดเข้ามาคว้าแก้วยกขึ้นซดน้ำที่เหลือและล้วงไปหยิบผลไม้ขึ้นมาแบ่งกันต่อหน้าต่อตาเฉยเลย  เจ้าของร้านตกใจรีบวิ่งมาไล่  แต่แม่บอกให้เทใส่แก้วพลาสติกให้ไป  ตกใจก็ตกใจแต่ก็สงสาร  ฉันบอกว่าดีแล้วที่ให้ไป  ดีกว่าปล่อยไปให้หิวโหยจนต้องไปปล้นคนเขา

ขับรถเลียบทะเลพ้นเมืองห่างออกมาทางตะวันตกเป็นเมืองใหม่  เช่น Barra เรียกกันเล่นๆว่าเป็นไมอามี่แห่งริโอ  เหมือนอเมริกาจริงๆ  ผิดกับตัวเมืองริโอ  หาดทั้งหลายที่ทอดตัวยาวออกไปมากมายเหล่านี้เช่น  Sao Conrado  ไม่น่าเชื่อเลยว่าว่างร้างแทบไม่มีคน  เหมือนกับว่ามีเหลือเฟือเกินจำนวนประชากร  หลายหาดมีนักเซิร์ฟโต้คลื่นกันเต็มเพราะคลื่นลมเหมาะ  ที่เหมาะกับการโต้คลื่นที่สุดคือ Prainha  ถนนเลียบหาดเหล่านี้  พิเศษตรงที่ฝั่งตรงข้ามทะเลนั้นเขียวชอุ่มไปด้วยป่าอุทยานแห่งชาติ  ไม่น่าเชื่อว่าไม่กี่สิบกิโลเมตรจากเมืองริโอที่ขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยสีสัน  กลับเป็นบรรยากาศของธรรมชาติแท้ๆที่มากมายเหลือเฟือทั้งทะเลและสวนป่า  เป็นอีกเหตุผลที่ว่าทำไมคาริย็อคค่าจึงไม่อยากย้ายไปอยู่ที่อื่น  และภูมิใจนักว่าริโอสวยดังเมืองแห่งพระเจ้า

เราแวะกินมื้อกลางวันที่ร้าน Tia Palmira ที่เมือง Barra do Souza  หากไม่มีคาริย็อคค่าพาไปฉันคงไม่มีวันรู้ว่ามีขุมทรัพย์ซ่อนอยู่  นอกจากเมืองจะเป็นเพียงหมู่บ้านเล็กๆบ้านนอกของริโอแล้ว  ร้านยังอยู่ในตรอกซับซ้อนต้องจอดรถแล้วเดินเข้าไป  ร้านเป็นบ้านเล็กๆมีโต๊ะตั้งบนระเบียงใต้ซุ้มหลังคา  เปิดโล่งให้ชมวิวแกล้มสุดยอดอาหารทะเลแบบบาเยีย (Bahia) ที่ได้อิทธิพลมาจากอาการแอฟริกัน  คิดราคาเป็นหัวๆละราวๆพันบาท  อาหารจะทะยอยถูกยกมาเสิร์ฟเรื่อยๆเหมือนนั่งกินอยู่กับบ้าน  จานเรียกน้ำย่อย  5 จานหลัก 6  แกงกุ้งในครีมแป้งมันสำปะหลังกับกะทิเรียกว่า Bobo de Camarao นั้นกินกับข้าวสวยคล้ายแกงไทยเลยแต่เป็นครีมเข้มเนียนลิ้นกว่า  ของหวานมาอย่างเอิกเกริก  Doces Caseiros 9 ชนิดมาในถ้วยน้อยๆ 9 ใบเรียงมาอย่างสวยอลังการบนถาดเขื่องให้เราแบ่งกัน  ตักอย่างละนิดละหน่อยใส่จานแล้วราดด้วยครีมข้น  กินแล้วคล้ายบรรดากล้วยเชื่อมฟักทองเชื่อมหวานจัดราดกะทิ  ตััดรสหวานจัดล้างคอด้วยกาแฟถ้วยน้อย Cafezinho ตามธรรมเนียมบราซิล  มื้อนี้ต้องบอกว่าอิ่มแปล้และเป็นพื้นเมืองท้องถิ่นแท้สุดๆทั้งอาหาร  บรรยากาศ  เพื่อนร่วมวง  และธรรมเนียม  เพราะกินอาหารกลางวันเสร็จก็ปาเข้าไปเกือบห้าโมงเย็น!

ได้เห็นริโอครบทั้งแบบนักท่องเที่ยวและทั้งแบบชาวคาริย็อคค่าแท้แล้วยังไม่พอ  ฉันกะว่าคราวหน้ามีเวลาจะมาเดินทัวร์ชมตึกประวัติศาสตร์ที่ใจกลางเมือง  ตอนไปเข้าคิวซื้อตั๋วคอนเสิร์ตกับตอนไปซัมบ้าคลับก็ได้วนเวียนชมอยู่พอควร  มีตึกเก่า  โบสถ์และอาคารสำคัญๆสมัยโปรตุเกสมากมาย  สวยๆทั้งนั้น  เพื่อนว่าต้องมาเดินให้ไกด์ที่ความรู้ดีๆบรรยายความเป็นมาของตึกต่างๆ  ริโอเคยเป็นเมืองหลวงของบราซิลก่อนที่จะย้ายไปที่เมืองบราซิเลีย  และยังเป็นผืนดินที่โปรตุเกสมาขึ้นฝั่งค้นพบบราซิล  จึงไม่แปลกที่ริโอจะเต็มไปด้วยตึกรามสถานที่สำคัญต่างๆ  ฉันแน่ใจว่าจะต้องกลับมาอีกหลายครั้งแน่นอน  อย่างน้อยเทศกาลงานคาร์นิวัลปีหน้าฉันก็เตรียมจะซื้อตั๋วล่วงหน้าแล้วตอนนี้

ได้มาเห็นริโอกับตาแล้วต้องบอกว่า  เข้าใจแล้วว่าทำไมชาวคาริย็อคค่าหรือแม้แต่ชาวบราซิลเอง  ยกย่องริโอประหนึ่งเป็นสถาบันประจำชาติ  แต่แรกที่ฉันเข้าใจว่า  ริโอได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งพระเจ้าเพราะความงามของธรรมชาติ  ความงามของชีวิตแสนสุขที่เต็มไปด้วยความเพียบพร้อมล้นเหลือนั้น  ตอนนี้ฉันกลับไม่แน่ใจในเหตุผลนั้นเสียแล้ว  เพราะริโอมีอีกด้านของความยากจนและโหดร้ายอยู่อย่างตำตา  หรือจะเป็นเพราะว่า  ไม่ว่าจะยากดีมีจน  ทุกคนในริโอก็ลงมานอนอาบแดดที่โคปาคาบานาได้  เดินเล่นริมทะเลสาบได้  และมีห้องนอนที่เห็นวิวทะเลสุดสายตาได้

และน่าจะเป็นว่า  ไม่ว่าจะอยู่ในส่วนไหนของริโอ  ทุกคนก็อบอุ่นอยู่ในอ้อมกอดของพระเจ้าเหมือนๆกัน  นี่ละมัง  ความหมายที่แท้จริงของคำว่าชิวิตที่หรูหรา ร่ำรวยและเหลือล้น  ชาวคาริย็อคค่าน่าจะเชื่อเช่นนั้นจริงๆ

คัดลอกจากหนังสือ บราซิล..ชีวิตเต็มสีสันสั่นหัวใจ อ่านเรื่องเต็มได้ในหนังสือ

NO COMMENTS