ไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของเราจะเป็นอย่างไร ถ้าถึงเวลาที่จะต้องทำเพื่อบุพการี เราก็ย่อมจะทำได้ทุกอย่างจริงไหม ดังนั้นเที่ยวเหนือฟ้ามาชัยปุระคราวนี้ จึงจะไม่มีอารมณ์เจาะลึกผจญภัยสถานที่แปลกเช่นเคย แต่จะเป็นทริปเที่ยวง่ายถ่ายรูปสวยเดินน้อย เพราะเป็นมิชชั่นพามารดาเหนือฟ้าเที่ยว ฉันเคยพาแม่ไปตุรกี ในขณะที่ฉันสนุกกับการเดินดูซากปรักหักพังอย่างมากชนิดที่เดินชม Ephesus สองรอบ แม่กลับมาบ่นว่าพาฉันไปดูหินทำไมตั้ง 2 อาทิตย์  หลังจากนั้นจึงต้องปรับอารมณ์พาแม่เที่ยวนิดหนึ่ง ให้เหมาะกับผู้ใหญ่ โดยเฉพาะทริปราชาสถานครั้งนี้ เมื่อตอนที่ฉันมาอินเดียเมื่อสี่เดือนที่แล้ว ซื้อเพชรพลอยปะวะหล่ำกำไลกลับไปฝากแล้วแม่ติดใจ ขอให้พามาเที่ยวแต่ขอว่าจัดให้เป็นทริปสบายๆแบบมหารานีหน่อย ฉันเลยจัดให้แบบเน้นกินสวยอยู่หรูช้อปเพชรพลอยเป็นหลัก ไม่เน้นเหนื่อยเที่ยวซอกซอน (เพราะเคยพาแม่มาราชาสถานแล้วด้วยครั้งหนึ่ง)

วันแรกเราไปเที่ยวแค่ City Palace เราซื้อตั๋วแบบแพงสุด ราคา 3500 รูปีต่อคน ซึ่งจะได้เข้าไปชมห้อง Exclusive ของในวังที่มหาราชายังใช้อยู่ในปัจจุบัน ฉันว่าสำหรับอินเดียราคานี้นับว่าแพงอยู่ ถ้าซื้อตั๋วเข้าชมราคาถูกกว่านี้ก็มี แต่จะไม่ได้ชมห้องที่สวยขาดใจเช่น Blue Room และ Dining Room มารดาบอกว่ามาถึงแล้วก็ดูแบบสุดๆไปเลยแล้วกัน โอเคลูกจัดให้ค่ะ พอเข้าไปชมแล้วก็ต้องบอกว่าสวยคุ้มจริงๆ โดยเฉพาะห้องที่มหาราชาใช้ตอนเทศกาล Diwali นั้นเขาปูลาดตั่งให้เรานั่งถ่ายรูปทำเก๋ด้วย เป็นห้องที่ฉันว่าสวยมากๆ แบบว่าอารมณ์ปาร์ตี้เลย (แต่จริงๆไกด์บอกว่ามหาราชาใช้สวดบูชาทำพิธีตอน Diwali ไม่ได้ใช้ปาร์ตี้)

หลังจากนั้นเราก็ไปแวะถ่ายรูปกับ Hawa Mahal หรือ Palace of Winds ซึ่งมีแต่เพียงส่วน Facade ด้านหน้าสีส้มอมชมพูที่ใครๆก็ต้องไปถ่ายรูปเช็กอิน ตอนนี้ไม่มีวังเหลือแล้ว และจุดเด่นคือมันมีหน้าต่างถึง 365 บาน เอาไว้ให้เจ้านายฝ่ายในใช้มองลอดจากภายในออกมาเพื่อชมพิธีการต่างๆที่จัดขึ้นในเมืองโดยที่คนภายนอกไม่สามารถมองเข้าไปเห็นผู้หญิงฝ่ายในได้ หน้าต่างนี้ยังสามารถดึงลมระบายเอาอากาศเข้าไปให้ข้างในวังให้เย็นสบายอีกด้วย

จากนั้นไป Jantar Mantar Observatory ซึ่งเป็นเหมือนสวนกลางแจ้งที่รวมอุปกรณ์วัดดวงดาวและดินฟ้าอากาศขนาดยักษ์ ทั้งพื้นที่เต็มไปด้วยอุปกรณ์ที่แต่ละชิ้นขนาดเท่าอาคารก่อปูนหนึ่งหลังทีเดียว และทุกชิ้นวัดสิ่งที่มันต้องวัดได้อย่างแม่นยำมาเป็นเวลาเนิ่นนาน หากไม่รู้มาก่อนคงงงว่าสถานที่นี้เต็มไปด้วยตึกอะไรหน้าตาแปลกๆ ที่แท้มันคือเครื่องวัดต่างๆที่ขยายขนาดให้ใหญ่จนเราไปเดินชมได้นั่นเอง ไม่แปลกใจเลยที่คนอินเดียนี่ขึ้นชื่อเรื่องความฉลาดเฉลียวเหนือชาติใดในเรื่องคณิตศาสตร์และการคำนวณ

Patrika Gate หวานหยด จนต้องให้หมดทั้งใจ

ชัยปุระเมืองสีชมพูนี้เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมและมัณฑนศิลป์ที่สวยงามหยดย้อยตื่นตาตื่นใจ ไม่ว่าจะเป็นวัง โบราณสถาน โรงแรมที่เป็นวังเก่า นอกจากลวดลายความละเอียดของภาพวาดฝาผนัง การแกะหินอ่อน การนำกระจกสีมาติดประดับ และการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่หรูหราราคาแพงแล้ว การเลือกใช้สีก็ยังเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ดีไซน์ของสถานที่ทั้งหลายเหล่านี้ชวนตะลึงเมื่อได้เห็น และยังถ่ายรูปขึ้นอย่างเป็นที่สุด

Patrika Gate หรือประตูเมืองลำดับที่ 9 ของชัยปุระก็เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีสีสันสวยงามสุดๆ และถ่ายรูปขึ้นอย่างต้องยอมแพ้ไปเลย แค่เห็นด้านหน้าก็ชวนตะลึงกับสีชมพูหวานแล้ว แต่พอเข้าไปข้างในแล้วถ่ายลอดซุ้มประตูที่โค้งซ้อนๆกันเป็นชั้นๆยิ่งต้องอึ้งบอกไม่ถูก อะไรจะหยดย้อยและเล่นสีสันได้หวานฉ่ำขนาดนั้น บรรยายไม่ถูก ชมรูปเลยก็แล้วกัน

นอกจากความสวยแล้วความหมายที่ซ่อนอยู่ก็ยังคิดมาละเอียด เลข 9 คือหัวใจของ Patrika Gate ประตูหมายเลข 9 นี้ นั่นคือ มีซุ้มพลับพลาอยู่ 9 ซุ้ม แต่ละซุ้มมีความกว้าง 9 ฟุต ตัวประตูกว้าง 81 ฟุต ยาว 27 ฟุต สูง 108 ฟุต ล้วนมีเลข 9 เป็นฐาน ทั้งหมดนี้ถูกวางแผนคิดคำนวณมาอย่างดีตามตำราฮวงจุ้ยแขกหรือ Vaastu Shastra เพราะเลข 9 ก็ถือเป็นเลขดีของฮินดูเช่นกัน

Patrika Gate นี้อยู่ไม่ไกลสนามบินและไกลออกมาจากในตัวเมือง ใครได้ไปชัยปุระเมืองสีชมพูแห่งนี้ อย่าลืมวางแผนมาเก็บรูปสวยๆที่นี่กัน สายหวานห้ามพลาดเด็ดขาด

ตกเย็นเราไปทานอาหารที่ขึ้นชื่อว่าเก๋ฮิปของเมือง คือ Bar Palladio เป็นร้านอาหารอิตาเลียนซึ่งคนอิตาเลียนมาเปิดที่นี่ สวยเก๋เปรี้ยวมากตกแต่งในอารมณ์ฝรั่งมองเอเชีย อาหารนับว่าอร่อยทีเดียว เครื่องดื่มก็ดีเลย นับว่าไม่ผิดหวัง แถมในบริเวณร้านมียังมี Shopping Complex เล็กๆซึ่งเป็นที่รวมร้านเสื้อผ้าของแต่งบ้านแบบโมเดิร์นที่คุณภาพดี ซึ่งราคาก็จะตามมา แต่ถ้าแบบว่าได้ของดีไม่ต้องปวดหัวต่อราคากับแขกก็เรียกว่าคุ้ม น้องสาวได้เดรสกำมะหยี่สีเขียวนกยูงมาหนึ่งตัวสวยมากๆ

ส่วนโรงแรมที่เราเลือกพักกันคราวนี้เป็นวังเก่า อยู่ใจกลางเมืองเก่าของ Jaipur คือ Samode Haveli มันช่างสวยทุกซอกทุกมุมและกว้างขวางซับซ้อนอย่างกับเขาวงกต ตื่นตาตื่นใจถ่ายรูปขึ้นเป็นที่สุด ฉันได้นอนห้องที่สวยที่สุดของโรงแรมด้วย ทั้งห้องมีกระจกชิ้นเล็กๆกรุรอบทุกผนังทุกเสาและเพดาน ในห้องมีเสาแกะสลักเต็มไปหมด สวยเหมือนฝันจริงๆ สมกับทริปมหารานีอย่างที่ตั้งใจ

Udaipur เมืองสีขาว

ฉันเคยไปเมืองสีชมพู สีฟ้า มาแล้ว จึงใฝ่ฝันอยากจะเก็บเมืองสีขาวอุทัยปุระ และชมพระราชวังลอยน้ำ อยากจะไปพักโรงแรม Taj ที่เป็นพระราชวังลอยน้ำ เมื่อสบโอกาสกลับไปราชาสถานคราวนี้จึงแถมอุทัยปุระเข้าไปด้วย

แต่เอาเข้าจริงแล้วผิดหวังนิดหน่อย เพราะชอบน้อยกว่า Jodhpur เมืองสีฟ้าเยอะเลย ไม่รู้ทำไม หรือจะเป็นเพราะคราวนี้มาแบบมหารานีเลยไม่ได้ลุยแบบเจาะลึกจริงๆก็ไม่ทราบ มันผิดจริตเหนือฟ้าไปนิดนึง ได้ไปชมไม่กี่แห่ง แม้นับดูก็น่าจะเกือบครบที่สำคัญๆแล้ว ที่แรกที่ทุกคนต้องมาคือ City Palace มันก็ใหญ่โตทีเดียวหละ ใช้เวลาชมตั้งเกือบ 2 ชั่วโมง ข้างในมีห้องหับเยอะมาก แต่การตกแต่งไม่ได้อ้าปากค้างแบบวังที่ชัยปุระ อันที่จริงห้องสวยๆก็มาก อย่างเช่นห้องแต่งตัวมหารานีสีฟ้าที่มีชิงช้าไว้โล้เล่นด้วย อยากมีแบบนั้นบ้างจังเลย แต่บางห้องก็ธรรมดา สีสันโฉ่งฉ่างไปหน่อย เขาว่าวังนี้คือวังเดียวในอินเดียที่ยังเป็นของมหาราชาล้วนๆจริงๆ ไม่ได้แบ่งกันกับรัฐ เพราะตอนอินเดียประกาศเอกราชเป็นประเทศนั้น มหารานา (ที่นี่ไม่เรียกมหาราชาเพราะไม่ได้เป็นผู้ปกครอง) ตั้งทรัสต์แล้วยกวังให้ทรัสต์ไปเลย โดยที่เจ้าของทรัสต์ก็ยังเป็นมหารานานั่นแหละ รัฐจึงยึดมาไม่ได้เพราะมีกฏหมายห้ามยึดสมบัติของทรัสต์ ดังนั้นค่าเข้าชม และรายได้จากการทำโรงแรมในวังจึงเป็นของมหารานาล้วนๆไม่ต้องแบ่งรัฐ มาถึงแล้วก็แนะนำให้ไปเที่ยวที่นี่ จ้างไกด์ไปด้วยจะได้ฟังเรื่องราวต่างๆ และวิวจากข้างบนยังเห็นอุทัยปุระกว้างไกลพร้อมพระราชวังลอยน้ำ Jag Mandir ทะเลสาบ Pichola และวัง Monsoon Palace ที่ถ่ายหนัง James Bond อยู่บนเขาลิบๆ น่าชม

 

เราได้ไปลุยตลาดนิดหน่อย ที่ Badar Bazaar ต้องจอดรถข้างนอกแล้วนั่งตุ๊กๆเข้าไปเพราะตรอกเล็กมากกกกกก แขกนี่ขับรถแทรกเบียดกันเก่งสุดยอดจริงๆ เฉียดกันห่างเป็นมิลลิเมตรยังไปกันได้ เรางี้หวาดเสียว ได้ลงเดินชมตลาด ใครๆก็มองเราเพราะไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวอื่น ได้บรรยากาศโลคอลมากๆ

ไปวัด Nagda Temple เป็นโบราณสถาน อยู่นอกเมืองแต่ไม่ไกลโรงแรมเรา เป็นวัดที่ไม่ได้ใช้ทำพิธีใดๆแล้ว จึงเป็นเพียงซากปรักหักพัง แต่ก็สวยงามตระการตากับรายละเอียดการแกะหินเป็นรูปปั้นเรื่องราวรอบวิหารทั้งหลายมากมาย ถูกใจสายชอบเที่ยวชมซากปรักหักพังอย่างฉันเลย (จริงๆใกล้ๆกันมีอีกวัดคือ Eklingji Temple เขาว่าสวยกว่าและยังใช้งานอยู่ แต่เราไปถึงเวลาเขาปิดเลยอด)

2 โรงแรม 2 อารมณ์ ที่ Udaipur

ความบ้าอีกอย่างหนึ่งของฉันคือบ้าโรงแรม ไม่รู้เป็นอะไร ไปไหนต้องไปสำรวจโรงแรม ต้องเลือกนอน ให้นอนแบบพ้นๆไปมันไม่ได้ มันไม่ครบรสการท่องเที่ยว บางเมืองมีเวลานอนไม่พอจำนวนโรงแรมที่อยากสำรวจก็หาเหตุไปเยือนจนได้ เช่นไปกินข้าว ไปกินกาแฟ ไปดริ้งค์ ที่อุทัยปุระนี่ก็เช่นกัน

ฉันตัดสินใจยากมากระหว่างจะพักที่ Raj Lake Palace วังลอยน้ำอันเป็น Signature ของเมืองสีขาวนี้ หรือที่ RAAS Devigarh บูทีคโฮเทลสวยจัดอันดับแรกๆของอินเดียที่อยู่ในลิสต์โรงแรมที่ฝันจะไปพักมาสิบกว่าปีแล้วดี สุดท้ายเลือก Devigarh เพราะมันค้างคาใจมานาน และเพราะมันแหวกแนวไปจากที่อื่น และได้อีกอารมณ์ที่ต่างไปจาก Samode Haveli ที่พักในชัยปุระ จริงอยู่ว่าพระราชวังลอยน้ำคือที่สุดของที่นี่ ผู้นำประเทศ เซเลบระดับโลกต้องมาพัก แต่ฉันชินกับสไตล์ heritage palace hotel ของกรุ๊ป Taj อยู่แล้ว คิดว่ามัน cliche ไปหน่อยถ้าจะพักที่นี่ มันไม่เหนือฟ้า จึงขอไป Devigarh ที่มีการตกแต่งที่เก๋ต่าง โดยการเอาวังเก่าที่สร้างบนป้อมปราการบนเขาในพื้นที่ชนบทของเมืองมาบูรณะใหม่ ผ่านสายตาเจ้าของสายอินทีเรียร์ดีไซน์ที่ใส่ความคอนเทมโปรารีลงไป ออกมาเป็นแนวฝรั่งมองเอเชีย เรียบ โก้ ขาวสะอาด ร่วมสมัย ใช้งานได้จริง แต่เห็นรากและความลึกของวัฒนธรรมที่ฉายเสน่ห์เย้ายวนชวนค้นหา แต่พอได้ไปเห็นของจริงแล้วต้องบอกว่า มันเป็นความรู้สึกผสมปนๆกันระหว่างว้าวกับไม่ว้าว คือดีไซน์สวยที่ฝันจะไปดื่มด่ำนั้นมันไม่ได้สวยโดนทุกจุด ห้องพักสวยเรียบแนว Aman กว้างขวางมากๆ แต่ไม่ได้สวยอย่างที่เห็นในรูป แต่ส่วนใช้งานรวมเช่นบาร์ ร้านอาหารหลายห้อง ห้องที่ใช้จัดปาร์ตี้ส่วนตัวและฉายหนังได้ สระว่ายน้ำ อันนั้นสวยจริง เพราะมีส่วนสถาปัตยกรรมเก่าที่เก็บไว้และปรับปรุงเสียงาม ฉันชอบการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์สมัยใหม่เรียบๆที่ตั้งอยู่ในห้องที่ทาสีจัดจ้านกำแพงปูนแบบเก่า ช่างขัดแย้งแต่ลงตัว ที่นี่เขาพาชมทั่วทั้งวังพร้อมเล่าประวัติให้ฟังด้วย เลยได้ชมห้อง Presidential Suite ที่มีอ่างอาบน้ำลอยอยู่บนเหนือกำแพงกลางแจ้งด้วย เก๋มาก แต่ฉันว่าห้องไม่แกรนด์สมกับเป็นห้องแพงสุดเท่าไหร่ ส่วนที่ต้องยกนิ้วให้และเป็นส่วนที่กู้ความว้าวกลับมาให้โรงแรมนี้คือ สถานที่ตั้งที่อยู่บนเขาสูงทำให้เห็นวิวภูเขาสลับซับซ้อน ร่มรื่นกับธรรมชาติผิดไปจากอารมณ์วุ่นวายของอินเดีย เหมาะเป็น Retreat hotel มาก กับกิมมิคที่ต้องเทใจให้เลย คือตอนที่เรามาถึงโรงแรมนั้น พนักงานพาเดินลอดซุ้มประตูเข้าวัง บนซุ้มมีนางอัปสรห่มส่าหรีโปรยกลีบกุหลาบลงมาต้อนรับให้เราเดินลอดผ่าน โอ๊ยรู้สึกอย่างกับเป็นมหารานีกลับวังจริงๆ

คลิป

และพอตื่นเช้าเดินผ่านสวนมาทานข้าวเช้า ปรากฎมีตาลุงนั่งเป่าขลุ่ยอยู่กลางสวน ขับวิเวกรัญจวนจิตกล่อมเสียจนเราหัวใจกระเจิง หลงนึกไปว่าเป็นมหารานีอีกแล้ว มันอารมณ์เดียวกับที่เห็นในหนังแขกเลย ปรบมือรัวๆๆๆๆ

คลิป

ทีนี้ก็จะจองไปทานข้าวเย็นที่ Taj จะได้ชมพระราชวังลอยน้ำ แต่ปรากฏว่าเขาไม่รับจอง บอกว่าให้แขกที่มาพักทานเท่านั้น อ้าว เลยเปลี่ยนไปจองที่ Leela Palace แทน ซึ่งไม่ผิดหวังเลย หรูเริ่ดอลังการสาแก่ใจ เราต้องไปขึ้นเรือที่ท่าเรือของโรงแรมที่หรูอย่างกับท่าเรือส่วนตัวของมหาราชา ระหว่างนั่งเรือล่องไปในทะเลสาบ Pichola ก็ผ่าน Jag Mandir และพระราชวังลอยน้ำอย่างใกล้ชิด เป็นการแถมทัวร์ล่องเรือเข้าไปเนียนๆ พระอาทิตย์ตกในทะเลสาบงามมาก ไฟของวังที่เปิดตัดกับน้ำและฟ้าสีดำยามกลางคืนยิ่งงาม พอถึงโรงแรม Leela ก็พอดีเวลาที่มีการแสดงดนตรีและระบำแขกที่คอร์ทยาร์ด ได้นั่งเอกเขนกชมมหรสพฟรีอีก เก๋มากๆๆๆๆ คืออารมณ์ทั้งหมดมันประมาณเหมือนในหนังพระพุทธเจ้าเลย เกือบเผลอคิดไปว่าตัวเองเป็นพระนางยโสธรา ส่วนร้านอาหารอยู่ริมน้ำ กลางแจ้ง ต้องเดินผ่านสระว่ายน้ำสวยจัดตัดสวนไป นั่งกินข้าวแขกที่อร่อยมากๆไปพร้อมวิวพระราชวังลอยน้ำใกล้ชัดเจน โอย เลิศมากๆ ตอบโจทย์อย่างคุ้มที่สุด เป็นประสบการณ์ของค่ำคืนที่สุดยอดมากอย่างเหนือฟ้า นึกว่าจะได้กินข้าวเคล้าวิวพระราชวังลอยน้ำเท่านั้น กลับได้ทั้งล่องเรือ ชมวิว ชมมหรสพ และพบว่าโรงแรม Leela Palace นี้สวยหรูดูดีอย่างมาก คราวหน้าฉันอาจจะมาพักที่นี่ก็ได้

ฉันมาราชาสถานสามรอบแล้ว เห็นมาหลายเมืองแล้วก็ยังอยากมาอีก คราวหน้าตั้งใจจะมาเก็บ Jaisamer และไปนอนในทะเลทราย ดูสิว่าจะเด็ดกว่าทะเลทรายของตะวันออกกลางกับซาฮาร่าไหม หวังว่าไม่นานคงจะได้กลับมา

บทแถม เรื่องช้อป

ไปเมืองอินเดียจะไม่ช้อปเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย เพราะนอกจากจะมีของสวยๆตื่นตาตื่นใจมากมายแล้ว ราคายังถูกแบบสุดๆอีกด้วย ช่วงที่ฉันบินไปทำงานบ่อยๆ 10 ปีที่แล้ว รูปีเขามีค่าประมาณ 80% ของเงินบาท แต่ตอนนี้ต่ำกว่าครึ่งหนึ่งอีก ไปซื้ออะไรหารสองเข้าไว้ราคาจริงจะถูกกว่านั้นอีกนิดหน่อย บอกมาเป็นรูปีก็ว่าถูกแล้ว พอแปลงเป็นบาทเหลือไม่ถึงครึ่งยิ่งทำให้รู้สึกว่าเป็นมหารานีเข้าไปอีก เห็นราคาแล้วดีใจๆๆๆ

ของที่ซื้อกันก็ไม่พ้นเสื้อผ้าอาภรณ์ โดยเฉพาะที่ออกแนวแขกๆสีสันสดใส แล้วยังรองเท้าแขกเอย ของแต่งบ้านเอย ผ้าคลุมไหล่คุณภาพมีให้เลือกตั้งแต่ราคาไม่กี่ร้อยไปจนถึงเป็นหมื่น สีสันละลานตาสวยจนเลือกไม่ถูกและทุกคนจะต้องเผลอตัวเผลอใจหอบกลับมากันหลายสี อย่างอื่นที่ฉันชอบก็คือกำยานธูปหอมเอามาจุดให้ได้บรรยากาศเวลานั่งสมาธิที่บ้าน ชาโดยเฉพาะ Masala Chai ชาใส่เครื่องเทศแบบแขก ผงเครื่องแกงมาซาล่าเอามาทำแกงแขกทานที่บ้าน บางทีก็แบกทับทิมอินเดียสีแดงก่ำหวานฉ่ำกลับบ้านเป็นกิโลด้วย

แต่สำหรับทริปนี้เป็นทริปที่พาแม่ไปซื้อเครื่องประดับโดยเฉพาะ อินเดียเขาขึ้นชื่อเรื่องเพชรพลอยเครื่องประดับและมีให้เลือกหลายเกรดหลายราคา โดยเฉพาะที่ชัยปุระนี้คือแหล่งเครื่องประดับเลย เขาว่าเพชรทั้งหลายของควีนอลิซาเบ็ธทำจากที่นี่ แต่สำหรับฉันชอบซื้อพวกพลอยเนื้ออ่อนที่เอามาทำเครื่องประดับแบบร่วมสมัยมากกว่า บอกได้เลยว่าราคาดีมากๆ แต่ต้องต่อแบบโหดเลยนะ ไม่ว่าร้านจะรู้หราดูดีแค่ไหนต่อไปเลย 40% หรือครึ่งหนึ่ง พอต่อเสร็จแล้วรวมบิลแล้วก็ต่อรวมลดลงมาอีก ไปหนนี้ฉันได้ไปดูเครื่องประดับหลายร้าน ทั้งร้าน Gem Palace ที่ดังที่สุดแต่เรากลับไม่ค่อยชอบแบบเท่าไหร่ได้ของมาชิ้นเดียว ร้านประจำ Amrapali อันนี้ของตายอยู่แล้ว แต่ร้านที่ถูกจริตเรามากและเพิ่งค้นพบครั้งนี้คือร้าน Molto Bello Gems เป็นโรงงานด้วย คุณลุงใจดีมาก เป็นแขกน่ารัก ฉันต่อราคามันมาก จนตอนจบคุณลุงบอกเธอต่อเก่งจริงๆ เธอคงจะซื้อค้าขายเก่งมาก ฉันขอจ้างเธอมาทำงานร้านฉันเลยได้ไหม

อีกอย่างที่เรามุ่งหน้าไปซื้อครั้งนี้คือบรรดาเสื้อผ้าแขกเพราะน้องสาวอยากได้ และอยากซื้อไปให้หลานสาวด้วย พวกเสื้อผ้าแขกนี้มีหลายยี่ห้อ แต่ที่ฉันชอบคือร้าน Biba กับ Anokhi โดยเฉพาะร้าน Biba มีของเด็กด้วย แถมตอนไปโชคดีเขามีลดราคา 30%-40% ชุดแขกสวยๆราคาไม่ถึง 1000 บาท เนื้อผ้าดีคัทติ้งดีฝีมือดี คุ้มมากๆ ซื้อกันมาเยอะแยะเกินความจำเป็นเพราะอดใจไม่ไหว และมีของแถมคือเราจอดรถซื้อรองเท้าจากร้านชาวบ้านริมถนนให้หลาน อันนี้คุณภาพจะไม่ค่อยดีเท่าที่ขึ้นห้างและแบบก็จะบ้านๆนิดหนึ่ง แต่ถ้าเลือกดีๆก็จะได้ของใช้ได้ รองเท้าหลานซื้อมาสองคู่ตกแล้วคู่ละร้อยกว่าบาทเองค่ะสะใจแท้

และชัยปุระคราวนี้ฉันค้นพบศูนย์รวมร้านกิ๊บเก๋ แบบเอาเสื้อผ้าของใช้แบบแขกมาออกแบบให้ทันสมัย และใช้วัสดุคุณภาพดี แต่ละร้านของน่าใช้ไปหมด แต่ราคาก็จะสูงขึ้นมา พิกัดก็คืออยู่ที่โรงแรม Narain Niwas Palace Hotel ใครชอบแนวของดีของเก๋ใช้ได้ในชีวิตประจำวันและไม่ซ้ำใครก็ไปได้เลย

NO COMMENTS