ในมุมมองของฉัน ประเทศ Georgia คือเด็กลูกครึ่งยุโรป-เอเชียโดยแท้ ทั้งหน้าตา นิสัย กิริยามารยาท เป็นลูกครึ่งที่ได้ส่วนดีส่วนเด่นมาจากทั้งพ่อและแม่ มีความเป็นฝรั่งแต่ยังคงวัฒนธรรมที่เรียบร้อยงดงามแบบเอเชีย โก้โอ่อ่าแต่ก็บ้านๆในขณะเดียวกัน ที่สำคัญเป็นเด็กลูกครึ่งที่ไม่รู้ตัวว่าหน้าตาดี จึงไม่ประดิษฐ์เสแสร้ง ภาพที่ออกมาจึงเป็นความสวยแบบแท้ๆจริงใจไม่ต้องแต่งเติม

จอร์เจียเป็นประเทศเกิดใหม่ที่เคยอยู่หลังม่านเหล็กของรัสเซียมาก่อน จึงมีจริตเป็นฝรั่ง แต่ด้วยภูมิประเทศที่ตั้งอยู่ติดกับเทือกเขา Caucasus อันถือว่าเป็นแนวแบ่งทวีประหว่างยุโรปและเอเชีย จอร์เจียจึงนับว่าเป็นประเทศในทวีปเอเชียอย่างเป็นทางการ จากประเทศที่แทบไม่มีใครรู้จัก กลายมาเป็นจุดหมายที่คนไทยมากมายพูดถึงกันในตอนนี้ก็เพราะเป็นหนึ่งในประเทศที่ถือพาสสปอร์ตไทยเข้าไปเที่ยวได้โดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่ก็ดูเหมือนความกระจ่างเกี่ยวกับจอร์เจียก็ยังมีไม่มาก หลายคนถามกันว่าน่าไปไหม ได้ข่าวว่าสวย ราคาถูก ฉันได้ไปเยือนมาถึงสิบวันเมื่อฤดูใบไม้ผลิของปี 2018 ก่อนที่คนไทยจะไปกันมาก จึงอยากมาเล่าประสบการณ์ในประเทศลูกครึ่งนี้ให้ฟัง

จอร์เจียเป็นประเทศที่ 75 ที่ฉันเคยไปมา ไปเห็นแล้วก็ต้องบอกว่าช่างมีหน้าตาและบรรยากาศต่างไปจากเมืองและประเทศใดๆที่เคยไปเห็นมามากมายเลยทีเดียวคือทุกอย่างมันเป็นการผสมผสานอย่างละนิดละหน่อยของยุโรป รัสเซีย ตะวันออกกลาง และตุรกี ไม่ว่าจะเป็นหน้าตาของคน อาหาร ภาษา หรือศิลปะ บ้านเมืองสถาปัตยกรรมก็แลดูผสมกันหลายรูปแบบ ทั้งไบแซนไทน์ นีโอคลาสสิค ตะวันออกกลาง อาร์ตนูโว และคอมมูนิสต์รัสเซีย นั่นก็เป็นเพราะประเทศจอร์เจียเคยผ่านมือผู้ปกครองมาแล้วหลายชาติ อันที่จริงเป็นดินแดนโบราณ เคยถูกครองโดยอาหรับ ผ่านยุคที่รุ่งเรืองในศตวรรษที่ 12 และ 13 มาแล้วก็ตกเป็นของของเปอร์เซียบ้าง ตุรกี อิหร่านบ้าง จนกระทั่งมาอยู่ในมือของรัสเซียจนกระทั่งรัสเซียล่มสลาย จึงได้เป็นอิสรภาพในปี 1991

เราเริ่มต้นทริปกันที่เมืองหลวง Tbilisi เป็นเวลาสี่วัน ในคณะมีคุณยายที่เดินไม่ค่อยเก่งและเด็กน้อย 8 ขวบ เราจึงออกแบบทริปให้สบายๆ ไปช้าๆ มีไกด์ส่วนตัวและเช่ารถตู้พร้อมคนขับพาเราไปทุกแห่งที่ฉันออกแบบเองและเลือกโรงแรมเอง กำหนดร้านอาหารเองทุกมื้อ เป็นทริปที่เหมือนไปกันเองแต่มีคนบริการพาไปทุกที่อย่างสะดวก ยกเว้นแต่เมือง Tbilisi ที่เราไปลุยเจาะกันเองทั้งหมดโดยยังไม่มีไกด์

วันแรกที่ไปถึงเป็นเวลาเย็นแล้วจึงยังไม่เที่ยวอะไรมาก เช็กอินที่โรงแรมและเดินสำรวจย่านจากโรงแรมไปถึงใกล้กลางเมืองเก่ากินอาหารเย็น ได้ดูหน้าตาบ้านเรือนของเมืองหลวงเขาเป็นน้ำจิ้มก่อน และขอสัมผัสอารมณ์ modern culture ของประเทศนี้ที่โรงแรม คือจอร์เจียเพิ่งแหวกออกมาจากม่านเหล็ก จะว่าอย่างนั้นก็ได้  ตอนนี้จึงเพิ่งมีความทันสมัยหรือแนวคิดอะไรใหม่ๆเข้ามา โรงแรมนี้เป็นโรงแรมแรกและโรงแรมเดียวก็ว่าได้ที่เป็นฮิปโฮเทลแบบอินดัสเตรียลชิคของแท้ จนเรียกได้ว่าเป็นที่ Hangout ของคนเก๋คนท้องถิ่น ยิ่งวันศุกร์เย็นด้วยบาร์ในโรงแรมซึ่งมีหลายห้องหลายส่วนเต็มแน่นไปด้วยคนท้องถิ่นเปรี้ยวๆเก๋ๆเต็มไปหมดเลย ฉันเลือกโรงแรมแบบนี้เพราะอยากได้บรรยากาศที่ขัดแย้งกับเมืองเก่าและวัฒนธรรมโบราณที่จะได้สำรวจในอีก 10 วันข้างหน้า อยากรู้นักว่าคนรุ่นใหม่เขาเป็นอย่างไร เวลามาเมืองที่เพิ่งแหวกม่านเหล็กออกมาแบบนี้ฉันชอบเลือกโรงแรมที่เก๋เปรี้ยวตัดกับบรรยากาศเมืองแบบนี้ อย่างเช่นตอนไปเมือง Ljubjijana ก็อารมณ์นี้เหมือนกัน

เมืองทบิลิซี่เมืองหลวงนั้นเป็นเมืองที่เก่ามาก ประวัติว่าเมืองถูกก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 5 พื้นที่ตั้งนั้นสวยงามและมีของดีเยอะทีเดียว อย่างแรกก็คือน้ำพุร้อนจากใต้ดินซึ่งปัจจุบันนี้ในเมืองก็ยังบริเวณที่มีโรงอาบน้ำร้อนอยู่ติดกับเมืองเก่า มีวัฒนธรรมการอาบน้ำคล้ายกับเตอร์กิชบาธ มีแม่น้ำไหลผ่านเมือง และสองฝั่งแม่น้ำมีเขาสูง ซึ่งทางฝั่งตะวันออกสามารถนั่งรถเคเบิ้ลคาร์ขึ้นไปชมวิวสูงได้ เรียกว่า มีภูมิประเทศครบทั้งแม่น้ำภูเขาบ่อน้ำร้อนในเมืองเดียว

ตัวเมืองเก่าเองมีขนาดไม่ใหญ่มาก เดินเที่ยวซอกซอนวกวนไปมา จริงๆชมสถานที่สำคัญต่างๆเพียงแค่วันสองวันก็ทั่ว บริเวณที่เป็นถนนคนเดินนั้นมีร้านอาหารสมัยใหม่ที่พยายามจัดบริเวณให้เป็นย่านเก๋ และเดินต่อไปถึงบริเวณตรอกซอกซอยที่มีโบสถ์มีบ้านเรือนเก่าสวยงามน่าชม ชอบมาก

ฉันยังได้เดินเถลไถลซอกซอนออกไปนอกจากใจกลางของย่านนักท่องเที่ยวด้วย จึงเห็นบ้านเรือนของคนปัจจุบัน ซึ่งมีมากมายที่เป็นอาคารไม้เก่า ยังเห็นร่องรอยของความสวยจากอดีตแต่ว่าทรุดโทรมและผุพังทั้งๆที่คนยังอาศัยอยู่ น่าเสียดายมาก ถ้าบูรณะดีๆคงจะมีตึกสวยๆให้ชมในเมืองอีกมากมาย แต่ได้ข่าวว่ารัฐบาลอยากจะทำลายทิ้งและสร้างตึกใหม่ขึ้นมาแทน ไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นเลยสำหรับใครที่ไม่อยากเดินเยอะ ก็สามารถขึ้นรถแบบ Hop on hop off แล่นชมทั้งเมืองได้ เราได้นั่งเหมือนกันเพราะจัดให้เด็กและคุณยาย ได้เห็นเมืองในอีกมุมหนึ่ง เรียกว่าเราเจาะทบิลิซี่จนพรุนกันเลยทีเดียวใน 4 วัน

จากทบิลิซี่เราไปต่อกันสองวันสองคืนที่ Kakheti ภาคตะวันออกที่สุดของประเทศจอร์เจีย โดยมีไกด์และคนขับรถพาไปอย่างสะดวกสบาย ภาคนี้เป็นเขตผลิตไวน์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และเป็นภาคที่มีโบสถ์นิกาย Orthodox ที่สำคัญและเก่าแก่รวมกันอยู่มากที่สุดของประเทศด้วยนักท่องเที่ยวที่มาเยือนเขตนี้จึงมักมาทัวร์เจาะเรื่องไวน์ ไป Wine tour โดยเฉพาะ หรือไม่ก็มาชมสถานที่ๆอยู่ในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับศาสนาคริสต์นิกาย Orthodox เพราะกว่า 80% ของพลเมืองจอร์เจียนับถือศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์ ศาสนานี้ถูกนำเข้ามาเผยแพร่เมื่อศตวรรษที่สี่โดย Saint Nino พอศตวรรษที่ 6 ก็มีกลุ่มพระจากซีเรีย 13 รูปเข้ามาเผยแพร่ให้แข็งแรงขึ้น นำโดย Saint David โดยกระจายกันออกไปตั้งโบสถ์ต่างๆในเขตนี้ ทำให้ปัจจุบันการมาเที่ยวที่ Khaketi เป็นการเน้นเรื่องไปชมโบสถ์โบราณอายุ 1500 ปีที่อยู่กระจายกันไปในภาคนี้ ใน 2 วันที่นี่ สถานที่ๆฉันไปชมมาแทบจะเป็นโบสถ์โบราณล้วนๆเลย โดยเฉพาะ Davit-Kareja ซึ่งเป็นกลุ่มโบสถ์ที่อยู่ในถ้ำ ติดชายแดนประเทศอาร์เซอร์ไบจาน และมีพระที่ปฏิบัติอยู่จริงในถ้ำต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยเซ้นต์เดวิด นับเป็น 1000 ปีแล้วทีเดียว และ Ninotsminda หรือ Bodbe โบสถ์และคอนแวนต์แม่ชีที่พระศพของเซ้นต์นีโน่ฝังอยู่ ตอนที่ฉันเข้าไปเคารพหลุมฝังพระศพ และได้ยื่นมือไปสัมผัสทำความเคารพตามแบบออร์โธดอกซ์ เกิดอาการมีก้อนสะอื้นจุกอกขึ้นมาโดยที่ไม่มีสาเหตุ แปลกจริงๆ คงเป็นเพราะณ.ซอกหลืบเล็กๆตรงนั้นมีคนเข้ามาคารวะและถวายความเคารพด้วยศรัทธามาเป็น 1000 ปีกว่าแล้ว คงจะมีพลังบวกพลังศรัทธาที่ลึกลับสะสมอยู่มากจนเราสัมผัสได้ แม้เราจะไม่ใช่คริสต์ก็ตาม

นอกจากการไปเยือนโบสถ์ต่างๆหลายแห่งแล้ว ในระหว่างเส้นทางที่รถเเล่นไปก็เป็นการได้ชมภูมิทัศน์และธรรมชาติอันบริสุทธิ์ของแคว้นนี้อย่างเต็มที่ แทบจะตลอดทางเราเห็นทุ่งหญ้าสีเขียวบนเนินเขา มีฝูงแพะและแกะเล็มกินหญ้าน่ารักมากๆ ยอดขาวของเทือกเขา Caucasus สูงเสียดฟ้าน่าอัศจรรย์ สะอาด บริสุทธิ์ กระจ่าง เป็นอีกหนึ่งครั้งที่ธรรมชาติทำให้ฉันรู้สึกว่าตัวเองและความเป็นมนุษย์นั้นเล็กมากๆ

ชมโบสถ์และไร่ไวน์ (ซึ่งขอไปเล่าเรื่องไวน์และไร่ไวน์นี้โดยเฉพาะอีกเรื่องหนึ่ง อ่านได้ที่นี่) กันไปสองวันสองคืนแล้ว เราก็ตีรถยาวข้ามประเทศไปทางภาคใต้และภาคตะวันตก แต่ไม่ว่าจะไปภาคไหน ความศรัทธาและศักดิ์สิทธิ์ก็ช่างมีให้สัมผัสอย่างมากมายเหลือเกินในประเทศนี้

เราไปเยือนสถานที่สำคัญทางศาสนาคริสต์นิกายออร์โธดอกซ์หลายแห่ง รู้สึกได้เลยว่าคนในศาสนานี้เคร่งมากๆ ซึ่งฉันว่าเป็นสิ่งสวยงาม ที่เมือง Mtskheta เราได้ไปเยี่ยมจุดที่เซนต์นีโน่ปักไม้กางเขนลงบนผืนดินและตั้งใจเผยแพร่ศาสนานี้ให้กับประเทศจอร์เจียเป็นครั้งแรกในศตวรรษที่4เมืองนี้จึงนับเป็นจุดกำเนิดศาสนาคริสต์ของจอร์เจีย ปัจจุบันประกาศเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก ได้ชมโบสถ์สำคัญ Samtavro Monastery และจุดที่แม่น้ำ Mtkvari และ Aragvi มาบรรจบกัน

ส่วนทางภาคทางใต้เราได้ไปเมืองสำคัญ Akhaltsikhe ชมป้อมปราการ Rabath ชม Borjomi เมืองแห่งน้ำแร่ที่มีน้ำแร่ส่งไทยส่งขายไปทั่วโลก และชมวัดสำคัญต่างๆมากมาย ซึ่งพอเข้าไปข้างในแล้วก็จะรู้สึกได้ถึงความสงบเยือกเย็นและศรัทธาที่แรงกล้า

แต่ที่สนุกที่สุดคือการได้เข้าไปเยือน Vardzia เมืองในถ้ำซึ่งสร้างครั้งแรกเพื่อเป็นโบสถ์เมื่อนับ 1000 ปีมาแล้วและเรายังได้เห็นอยู่ในทุกวันนี้ ที่สนุกที่สุดคือได้เดินไปในเส้นทางลับระหว่างห้องแต่ละห้องหรือบ้านแต่ละบ้านที่ขุดเจาะเป็นถ้ำเข้าไปในภูเขานับเป็นระยะทางเกือบ 1 กิโลเมตร ได้เห็นชีวิตในถ้ำโบราณ สนุกที่สุดตั้งแต่เคยเดินถ้ำ มาบอกได้เลยว่าดีกว่าถ้ำที่ตุรกีมากๆ

ระหว่างทางได้แวะชม Stalin Museum ชมเรื่องราวชีวิตของสตาลินที่เมือง Gori เพราะผู้นำรัสเซียเกิดที่เมืองนี้ พิพิธภัณฑ์มีอารมณ์ความเป็นสังคมนิยมโซเวียตอย่างมาก และมีบ้านเกิดของสตาลินอยู่ในบริเวณด้วย

คืนต่อมาเราไปพักในเมือง Kutaisi ทางตะวันตกของประเทศ (เราเรียกกันเล่นๆว่าเมือง กูตายสิ) เป็นเมืองที่เป็นที่ตั้งของรัฐสภาและสถานที่ทางหน่วยราชการทั้งหลายในปัจจุบัน ได้เที่ยวในแถบนี้ชมวัดวังต่างๆแล้วก็ขับขึ้นทางภาคเหนือ ซึ่งอากาศจะหนาวถึง 1 องศาทีเดียวแถมมีหิมะตกด้วย ภาคเหนือนี่หละที่ขึ้นชื่อว่าสวิตเซอร์แลนด์ยังสะเทือน

เราแวะชมวิวที่ Zhinvali Reservoir ก่อนแล้วขับรถเข้าเขตภูเขาไปในเวลาเย็นแล้ว ปรากฏว่าบนถนนสายสำคัญ Georgian Military Highway รถไปได้ช้ามาก เนื่องจากหิมะตกหนา ถนนถูกหิมะถล่มจนรถสองฝั่งต้องสลับกันใช้เลนฉุกเฉิน เล่นเอาเราตื่นเต้นเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอแบบนี้ และเป็นบ้านเมืองที่ยังไม่ค่อยเจริญ ก่อนเรามาถึงมีข่าวกระเช้าสกีขัดข้องทางเทคนิค ไหลหยุดไม่ได้อย่างแรง นักสกีที่นั่งอยู่บนกระเช้าเก้าอี้ต้องกระโดดทิ้งตัวเอาตัวรอดก่อนมันจะไหลลงมาชนกัน ฉันจึงเกิดอาการลุ้นหน่อยๆว่าถนนหนทางเขาจะปลอดภัยไหมกับหิมะหนาขนาดนี้ ฟ้าก็เริ่มมืด มองออกไปนอกหน้าต่างไม่เห็นอะไรเลย แต่คนขับชิลล์มาก เขาคงชิน ไกด์ก็ชวนคุย ในที่สุดก็มาถึงโรงแรมตอนมืดช้าไปกว่ากำหนดสองชั่วโมง เราจึงรีบไปกินอาหารเย็นก่อนครัวปิด โรงแรมเก๋เปรี้ยวอีกเช่นเคย กินอาหารอร่อยนั่งดริ้งค์คลายเครียดสบายใจ เหมือนได้ไปเที่ยวพักโรงแรมบนภูเขาที่สวิตฯอย่างนั้นเลย

ตอนเช้าตื่นมาเปิดหน้าต่าง เจอวิวภูเขาหิมะเต็มตา เพราะเมื่อคืนนี้หิมะโปรยลงมาเบาๆเกือบทั้งคืน ด้วยความสูงถึง 2000 กว่าเมตรเหนือน้ำทะเล แม้จะเป็นเดือนเมษายนแล้วข้างบนนี่ยังมีหิมะปกคลุมภูเขาอยู่ทั่ว และเห็นหมู่บ้านอยู่เบื้องล่างจากระเบียงห้องนอน สวยสุดใจจริงๆ บอกเลยว่า สวยที่สุดในจอร์เจียคือที่นี่ Kazbegi หรือ Stepantsminda สมกับเก็บไว้เป็นสองคืนสุดท้ายจริงๆ

ที่นี่เป็นเมืองเล็ก กิจกรรมส่วนมากเป็นการเดินเขาและพักผ่อนชมธรรมชาติ ฉันได้ขึ้นไปโบสถ์สองที่คือ Elia Church และ Gergeti Trinity Church ซึ่งต้องนั่งรถขับเคลื่อนสี่ล้อขึ้นไป ทางเป็นดินหลุมบ่อเละเทะแย่มาก เรียกว่าบุกเข้าไปสัมผัสธรรมชาติจริงๆ ถึงแม้จะไปยากและทุลักทุเล แต่พอไปถึงแล้วต้องบอกว่าคุ้มค่าสุดๆเลยจริงๆ

อุณหภูมิข้างบนหนาวมาก 0 องศาพอดี แต่ฉันก็เดินวนถ่ายรูปอย่างไม่ท้อเพราะมันสวยมากๆ ข้างในโบสถ์ทั้งที่ Elia และ Gergeti มีพิธีมิสซาพอดีเนื่องจากเป็นวันอาทิตย์ พระที่อยู่บนภูเขาเป็นคนทำพิธีและมีชาวบ้านยืนอยู่ข้างในกันเต็ม แต่เขาก็ใจดีไม่ว่าอะไรที่เรานักท่องเที่ยวเข้าไปยืนเบียดอยู่ด้วย อย่างที่บอกว่าคนที่นี่เคร่งมาก บรรยากาศที่เข้าไปยืนฟังเขาสวดอยู่ในโบสถ์นั้นถึงแม้จะฟังไม่ออกแต่ก็รู้สึกสงบเยือกเย็นและสบายใจอย่างบอกไม่ถูก คงเป็นเพราะว่าในโบสถ์แต่ละที่ของจอร์เจียมีพลังศรัทธาของคนมากมายมาสวดบูชามากมายยาวนาน จึงเป็นพลังบวกที่สะสมอยู่ในพื้นที่จนเราสัมผัสได้ เมื่อพระสวดจบแต่ละบทชาวบ้านก็ทำมือ 3นิ้วคือตัวแทนพระบิดาพระบุตรพระจิตแตะที่หน้าผากอกขวาและซ้าย ส่วนฉันก็ยกมือขึ้นไหว้จบตามแบบพุทธ คิดว่าคงไม่เป็นไร เราทำแบบเราแต่ด้วยศรัทธาและความเลื่อมใสเหมือนกัน

จากนั้นเราขับรถไปชมชายแดนตรงด่านพรมแดนเข้าประเทศรัสเซียด้วย แต่ได้แค่มองอยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้าไปใกล้มาก เพราะการเมืองระหว่างสองประเทศนี้มาคุอยู่ ด่านนี้ก็มีจุดยุทธศาสตร์ที่ช่างเป็นเลิศ เพราะเป็นช่องแคบๆระหว่างสองเขาลูกใหญ่ แล้วมีด่านพร้อมประตูดูแน่นหนา เรียกว่าใครหนีหลุดลอดเข้าออกประเทศไม่มีทางได้เลย ดูน่ากลัวอยู่

พอช่วงบ่ายก็กลับมาพักผ่อนเตรียมเดินทางกลับบ้าน นอนอาบแดดอุ่นในสระว่ายน้ำในร่มของโรงแรมพร้อมชมวิวภูเขาที่สวยประทับใจอีกครั้ง จากระเบียงสระว่ายน้ำนี้มองไปเห็นโบสถ์ที่ไปมาเมื่อตอนเช้า โรงแรมนี้เป็นเครือเดียวกับที่เราพักที่ทบิลิซี่ จะบูทีคมาก อยู่ในขุนเขาแต่ก็สะดวกสบายเก๋อารมณ์ชิลล์ๆ จะนอนริมสระน้ำหรือนั่งกินข้าวหรือดริ้งค์หรือมองจากห้องนอนสบายๆก็เห็นภูเขาคลุมด้วยหิมะขาว หากไม่บอกอาจเผลอเข้าใจว่านอนอยู่บนโรงแรมบนเขาที่สวิตเซอร์แลนด์ได้เลย ที่สุดของที่สุดของจอร์เจียบอกได้เลยว่าคือที่ Kazbegi นี่เอง

ยังไม่พอ ตอนขากลับขับรถลงมาจากภูเขาบนเส้น Georgian Military Highway คราวนี้ได้อิ่มเอมกับวิวภูเขาและหิมะขาวของ Jvari Pass ที่ชึ้นชื่อว่าสวยมากๆอีกอย่างจุใจ เป็นวันที่หนาวแต่ฟ้าเปิด แดดออก หิมะไม่ตก วิวจึงยิ่งสวยสมคำร่ำลือจนสวิตเซอร์แลนด์น่าจะแทบเสียแชมป์ เราได้แวะ Russia-Georgia Friendship Monument เป็นโครงสร้างคอนกรีตโค้งประดับกระเบื้องสีสดใส แต่คนจอร์เจี้ยนประชดยิ้มๆว่า มันคือมิตรภาพที่มีแต่อนุสาวรีย์ หากไม่ได้มีความเป็นมิตรอยู่จริงระหว่างสองประเทศนี้เลยสำหรับเรา วิวตรงนี้ก็สุดๆอีกเหมือนกัน เป็นการจากลา Kazbegi หรือที่ฉันเรียกว่าคู่แข่งของสวิตเซอร์แลนด์อย่างหัวใจพองฟู

ถ้าให้สรุปว่าตกลงประเทศจอร์เจียน่าเที่ยวไหม คุ้มไหม ลำบากไหม ดีจริงสวยจริงตามที่คนเขาพูดกันหรือเปล่า ฉันก็ขอสรุปว่าน่าไปมากๆ แต่อาจจะไม่ใช่สำหรับทุกคน สำหรับคนที่ชอบประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ฟังเรื่องราวที่ไม่เคยรู้ และชอบธรรมชาติ ไม่เดือดร้อนเรื่องไม่ได้ช้อปปิ้งหรือจะต้องเห็นแต่บ้านเรือนที่สวยหรูอย่างยุโรป ก็น่าจะชอบอย่างที่ฉันชอบ แต่ถ้าไม่ชอบฟังเรื่องราวใหม่ๆเรียนรู้เกี่ยวกับสังคมวัฒนธรรมแปลกๆ ก็อาจจะเบื่อ เพราะจะว่าไป ประเทศนี้ไม่ได้มีความหลากหลายมาก มีคนพูดว่า ไปเที่ยวประเทศนี้มีแค่สองเรื่องคือ ไวน์และโบสถ์ ซึ่งก็จริง

ส่วนปัจจัยอื่นๆนั้น เช่นราคาค่าครองชีพ ค่าโรงแรมค่าแท็กซี่โดยเฉลี่ยแล้วถูกพอๆกับกรุงเทพเลย เรียกว่าเที่ยวประเทศแปลกได้ทั้งทริปด้วยเงินไม่มาก ส่วนความปลอดภัยก็นับว่าใช้ได้ ไม่ต้องห่วงเรื่องจี้ปล้นลักเล็กขโมยน้อย ฉันเจอแท็กซี่โกงราคาไปหนึ่งครั้งจากสนามบิน แต่จะว่าไปแท็กซี่จากทุกสนามบินในโลกก็จะไว้ใจไม่ค่อยได้มากที่สุดเหมือนกันทุกประเทศอยู่แล้ว แต่นอกจากนั้นแล้วก็ไม่เจอแท็กซี่ไม่ดีเลย การขึ้นแท็กซี่ให้ตกลงราคาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า อย่าให้เปิดมิเตอร์ เพราะเปิดมิเตอร์ทีไรแพงกว่าราคาที่ตกลงทุกที คนพูดภาษาอังกฤษได้น้อยและที่พูดได้ก็จะสำเนียงฟังยาก แต่ตามร้านอาหารและจุดบริการท่องเที่ยวพนักงานพูดได้ไม่มีปัญหา เรื่องความสะอาดโดยรวมตามท้องถนนค่อนข้างดี แต่ตามทางเดินใต้ดินมีกลิ่นไม่พึงประสงค์พอควร ห้องน้ำหาเข้าไม่ยาก ตามร้านอาหารก็มีและสะอาดใช้ได้ สำหรับเราสาวๆ 4 คน เรื่องห้องน้ำไม่ได้เป็นปัญหาเลย

สำหรับอาหารนั้นแปลกไม่เหมือนชาติอื่น แต่ทานไม่ยาก และอร่อยมากๆหลายอย่างเลยสำหรับคนชอบลองอย่างฉัน  ซึ่งเรื่องอาหารนี่ขอยกไปเล่าแบบ “กินเหนือฟ้า” ต่างหากอีกบท อ่านได้ที่นี่

ส่วนการเดินทางก็มาได้ไม่ยากเกินไปจากเมืองไทย สามารถบินเตอร์กิชแอร์ไลน์มาเปลี่ยนเครื่องที่เมืองอิสตันบูลและต่อมาทบิลิซี่อีกเพียงแค่ 2 ชั่วโมงก็ถึง สนามบินเล็กๆไม่วุ่นวายและไม่ยากเลย 

สรุปคือจอร์เจียเป็นตัวเลือกของการเที่ยวเมืองแปลกอารมณ์ยุโรปในราคาย่อมเยา ได้ชมวัฒนธรรมที่แตกต่าง และเป็นทริปสำหรับครอบครัวที่ดีทีเดียว สำหรับเที่ยวเหนือฟ้าที่ชอบศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ชมบ้านเมืองที่แตกต่าง ชิมอาหารแปลกๆ และชมวิวดูธรรมชาติแบบใกล้ชิด ขอบอกว่า จอร์เจียเป็นประเทศลูกครึ่งที่มีความผสมผสานของยุโรปและเอเชียที่เฉพาะตัว มีเสน่ห์ไม่เหมือนใคร อาจจะมีมุมบ้านๆเชยๆง่ายๆบ้าง แต่ก็มีมุมที่สวยขาดใจจนทำให้ตกหลุมรักทีเดียว

2 COMMENTS

  1. สนุกมากค่า เคยไปจอร์เจียแล้วครั้งนึง ไม่ได้ shopping เลยค่ะเพราะไม่รู้จะซื้ออะไรดี 555 แต่ชอบความเก่าแก่ของเมืองค่ะ ชอบเทือกเขาคอเคซัสด้วยค่ะใหญ่โตดีแท้ รออ่านเรื่องอาหารต่อนะคะ ขอบคุณที่เขียนบทความสนุกๆให้อ่านกันค่า ^^

Comments are closed.