เมื่อสองอาทิตย์ก่อนฉันขับรถไปเมือง Lyon ใช้เวลาไปกลับ 9 ชั่วโมงเพื่อที่จะไปทำธุระเพียงแค่ 15 นาที เอาละ วันนี้จะมาเล่าให้ฟัง

คือฉันไปทำวีซ่าแคนาดามา เนื่องสามีจะไปทำงานที่ Montreal เกือบสองอาทิตย์ แล้วอยู่ดีๆเขาก็ชวนว่าตามไปวันศุกร์ไหม เสาร์-อาทิตย์เขาไม่ได้ทำอะไรจะได้ไปเที่ยวกัน วันจันทร์อังคารฉันก็นั่งทำงานไปในโรงแรมแล้วบินกลับพร้อมกัน ก็หูผึ่งสิเรื่องเที่ยวนี่ ไมล์สะสมก็เยอะแยะ แลกตั๋วได้ฟรีสบายๆ รออะไรล่ะคะ จึงรีบจัดแจงสืบเรื่องทำวีซ่าก่อนเลยเพราะมันใช้เวลา

ข้อมูลเบื้องต้นที่ได้ทำให้ประหลาดใจทีเดียวว่าในสวิตเซอร์แลนด์นี่ไม่มีที่ให้ทำวีซ่าเข้าแคนาดา สถานทูตที่นี่ไม่ทำเรื่องนี้ นั่นหมายความว่าที่ๆใกล้ที่สุดสำหรับคนอยู่สวิตฯคือปารีส แค่นั้นมันก็ยังไม่เป็นไรเพราะว่าเราสามารถส่งพาสปอร์ตและเอกสารไปได้ แต่ปรากฏว่าเราจะต้องไปเก็บข้อมูล Biometrics หรือพิมพ์ลายนิ้วมือและถ่ายรูปนี่สิ ตายแล้วนี่แปลว่าคนที่อยู่สวิตฯทุกคนจะต้องเดินทางไปปารีสเพื่อทำวีซ่าเข้าแคนาดาหรือ มันไม่ยุ่งยากสิ้นเปลืองและโลกร้อนไปหน่อยหรือ เว็บไซต์เรื่องทำวีซ่าของกระทรวงการต่างประเทศแคนาดานี่ก็ใช้งานยากมาก คือเขาให้ข้อมูลเยอะเกินมันจึงทำให้หาอะไรเจอยากมาก ต้องกดลึกเข้าไปเรื่อยๆกว่าจะหาข้อมูลแต่ละอย่างเจอ แล้วพอเจอแล้วก็ไม่ใช่จะเข้าใจได้ง่ายๆ เอาแค่เบสิกที่สุดคือใบสมัครที่จะต้องกรอกนั้นหาอยู่ 2-3 ชั่วโมงยังหาไม่เจอเลย จนถอดใจวันรุ่งขึ้นมาหาใหม่ ฉันทำวีซ่าด้วยตัวเองมาเยอะมาก อย่างปราบเซียนที่สุดขนาดไหนก็แกะจนได้มาหมดแล้ว ยอมรับเลยว่าเว็บไซต์ของประเทศโลกที่สามซึ่งมันง่อยมากยังไม่ยากเท่าของแคนาดาเลย จะยกตัวอย่างคือเจ้าใบสมัครนี่แหละที่กว่าจะหาเจอ คือมันมีช่องซึ่งเป็นที่รวมแบบฟอร์มทุกอย่างของกระทรวงต่างประเทศเขา ซึ่งเราจะต้องเข้าไปกดเลือกชื่อแบบฟอร์มแล้วก็ดาวน์โหลดเอาใบสมัครนี้ออกมา แต่ปัญหาคือชื่อแบบฟอร์มเขาเป็นรหัสและเป็นชื่อเรียกที่เขารู้กันเองเช่น ใบ 07 Temporary Resident คือมันมีแบบฟอร์มให้เลือกเป็นร้อยแล้วเป็นตัวเลขหมดเลยแบบนี้ แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าใบสมัครของเรามันคือเลขอะไร ฉันต้องใช้วิธีเข้าไป Google หาข้อมูลอ่านตามฟอรั่มต่างๆ พอได้ชื่อใบนี้แล้วก็มานั่งไล่หาเพื่อกดเข้าไปดาวน์โหลด แค่ก้าวขาก้าวแรกก็ยากขนาดนี้แล้ว

หาแบบฟอร์มเจอก็ดีใจมากๆ แต่เดี๋ยวก่อน….ไม่สามารถดาวน์โหลดได้ค่ะ อันนี้ขอเล่าข้ามนิด เอาเป็นว่าต้องให้สามีที่จบปริญญาเอกวิศวะคอมพิวเตอร์มาทำให้แล้วกัน เพราะคนธรรมดาอย่างฉันไม่สามารถทำได้ ระบบเขาไฮเทคจนเรื่องง่ายกลายเป็นยาก ความไฮเทคมีต่อคือ หลังจากดาวน์โหลดแบบฟอร์มมาได้แล้ว เราต้องกรอกแบบฟอร์มโดยพิมพ์ลงไปแล้ว upload ขึ้นไปในช่องแต่ละช่องที่เขากำหนดไว้ เอกสารต่างๆไม่ว่าจะเป็นหลักฐานการเงิน บัตรประชาชน รูปถ่าย ทุกสิ่งอย่างสามารถ upload ขึ้นไปในแต่ละช่องได้หมด การเซ็นต์ชื่อก็ไม่ต้องเซ็นต์ด้วยมือแต่ใช้ระบบการเซ็นต์แบบดิจิตอล แต่ปัญหาคือเขามีช่องให้อัพโหลดเอกสารประมาณห้าหรือหกช่องโดยที่แบ่งเป็นเรื่องๆไป ในขณะที่ความเป็นจริงในแต่ละเรื่องเราจะต้องยื่นเอกสารประกอบการพิจารณาเยอะมาก เช่นการเงินเราจะต้องมีทั้งสเตทเม้นต์จากธนาคาร ซึ่งฉันใช้สองบัญชี และต้องมีสลิปเงินเดือนกับจดหมายรับรองจากบริษัท แต่ที่นี้เราจะต้องเอาเอกสารทั้งหมดนี้อัพโหลดเข้าไปได้ในช่องเดียว ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นต้องทำก็คือเราจะต้องเอาเอกสารทุกอย่างมาเชื่อมกันให้เป็นไฟล์ PDF ไฟล์เดียวก่อนที่จะอัพโหลดเข้าไปได้ โอ้ย..แทบถอดใจ ต้องให้สามีมาช่วยอีก ไปหาโปรแกรมฟรีมาเพื่อที่จะแปลงไฟล์เอกสารหลาย 10 หน้าจัดเป็นระเบียบให้ถูกต้องแยกเป็นแต่ละไฟล์แล้วอัพโหลดเข้าไปในแต่ละช่อง กว่าจะรวบรวมเอกสารได้ทั้งหมดก็เหนื่อยแล้วนี่ยังจะต้องมาเหนื่อยต่อเรื่องไอทีอีก ถ้าส่งเอกสารไม่ถูกต้องตามที่เขากำหนดระบบมันก็ไม่รับ แล้วเขาก็จะไม่พิจารณาด้วย ฉันสงสัยมากๆว่าถ้าคนที่ทำคอมพิวเตอร์ไม่เซียนเขาจะยื่นใบสมัครขอวีซ่าด้วยตัวเองกันได้อย่างไร ไม่ต้องไปจ้างเอเจนซี่เสียเงินแพงๆกันอย่างเดียวเลยหรือ
ขั้นตอนก็ไม่ได้มีอธิบายเอาไว้ให้ชัดเจนว่าหลังจากกดยื่นใบสมัครออนไลน์ไปแล้วจะเกิดอะไรขึ้น มีแต่ข้อมูลบอกเอาไว้ว่าเวลาที่ใช้พิจารณาประมาณ 14 วัน และบอกว่าถ้ามีความคืบหน้าก็จะมีอีเมลเข้ามาแจ้ง แล้วเราก็จะต้องกลับเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อกดอ่านคำแจ้งอันนั้นว่าเราจะต้องทำอะไรต่อไป เรียกว่าเหนื่อยทำเอกสารส่งไปและจ่ายเงินก้อนโตไปแล้วก็ต้องมานั่งรออย่างจะต้องมีความศรัทธาในระบบของเขาอย่างเต็มเปี่ยมเลยทีเดียว

เวลาผ่านไปหนึ่งวันก็มีคำแจ้งมาว่าเอเจนซี่ศูนย์รับทำวีซ่าได้รับเอกสารเรียบร้อยแล้ว และไม่ต้องการเอกสารอะไรเพิ่มเติมอีก ให้ทำนัดเพื่อไปเก็บข้อมูล Biometrics ได้เลย ฉันไปอ่านตามฟอรั่มต่างๆพบว่าคนเขาพูดกันว่าต้องไปทำที่ปารีส แต่ฉันกดไปกดมาพบว่ามันมีศูนย์อยู่ที่ Lyon ด้วย ซึ่งถ้าขับรถไปจะใกล้กว่าปารีสประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆและเป็นเส้นทางที่ขับง่ายกว่าด้วยเพราะฉันคุ้นเคย ที่สำคัญฝรั่งเศสยังวุ่นวายเรื่องประท้วงกันอยู่มากมายในเวลานั้น รถไฟหรือการจราจรในปารีสเอาแน่เอานอนไม่ได้ ฉันจึงตัดสินใจทำนัดไปที่ลียงแทน โชคดีที่มีเวลานัดที่ไม่ต้องรอนาน จึงรีบจองแล้วพอถึงเวลาก็ขับรถลุยไปเลยคนเดียวแต่เช้า

วีซ่าเซ็นเตอร์อยู่ในตึกติดกับสถานีรถไฟใหญ่ของลียงหาไม่ยาก แต่เจ้าตัวออฟฟิศในตึกนี่สิหายากจริงๆ ไม่มีป้ายบอกเลยว่าอยู่ชั้นไหน ตอนที่ฉันไปรีเซฟชั่นหน้าตึกคงจะไปทานข้าวกลางวันจึงไม่มีคนให้ถาม ฉันต้องเดินดุ่มไปตามชั้นต่างๆแล้วไปถามคนทำงานในออฟฟิศต่างๆในตึกนั้น จนในที่สุดก็หาเจอ พอเข้าไปโอ้ยไฮเทคอีกแล้ว มันมีป้ายเขียนว่าให้เราเข้าไปกดในจอคอมพิวเตอร์เพื่อกรอกเลขที่ใบคำร้องและข้อมูลอื่นๆและยิงบาร์โค้ดบนจดหมายที่เราพิมพ์เตรียมมา ฯลฯ กว่าจะทำข้อมูลเสร็จก็วุ่นวายอยู่พักหนึ่ง แล้วก็มีใบคิวเด้งออกมา ปรากฏว่าพอรับใบปั๊บมีเจ้าหน้าที่เปิดประตูเดินออกมาจากด้านในแล้วบอกว่า เธอไม่ต้องเอาบัตรคิวหรอก เปิดเข้าไปประตูห้องนั้นได้เลย อ้าว

พอเข้าไปเจ้าหน้าที่น่ารักมากๆ อันนี้ต้องชมเลยเพราะไม่เหมือนกับเจ้าหน้าที่ที่วีซ่าเซ็นเตอร์ของที่อื่นซึ่งจะไม่ค่อยน่ารัก ที่นี่อธิบายดี ใจเย็น และให้ข้อมูลอย่างละเอียด ฉันสแกนนิ้วมือและถ่ายรูปจริงๆใช้เวลาไม่กี่นาทีแต่เจ้าหน้าที่ใช้เวลาค่อยๆอธิบายขั้นตอนว่า เขาจะส่งข้อมูลของเราไปให้สถานทูต เมื่อข้อมูลทุกอย่างถูกพิจารณาแล้วถ้าผ่านสถานทูตก็จะแจ้งไปทางเว็บไซต์ว่าให้นำพาสปอร์ตไปติดสติ๊กเกอร์ได้ โดยที่จะต้องส่งกลับมาที่ศูนย์วีซ่านี้แล้วทางศูนย์จะเป็นคนส่งต่อไปให้สถานทูตเอง ถ้าฉันไม่อยากส่งไปรษณีย์ก็สามารถขับรถเอามาให้เองที่ศูนย์นี้ได้อีกครั้ง โอ้ยแค่ฟังก็เหนื่อยแล้ว ใครจะขับรถเทียวไปเทียวมาแบบนี้กันได้สองสามครั้ง แค่นี้ก็รู้สึกผิดที่ทำให้โลกร้อนจะแย่อยู่แล้ว

สรุปคือฉันกลับบ้านมาเย็นวันพฤหัส พอถึงวันจันทร์ก็มีหมายแจ้งมาว่าให้ส่งพาสปอร์ตไปที่วีซ่าเซ็นเตอร์ได้ ซึ่งในหมายแจ้งก็พูดไม่ชัดเจนเลย ที่ฉันรู้เข้าใจนี่ก็เป็นเพราะเจ้าหน้าที่อธิบายให้ฟังวันนั้นแล้ว จึงรีบไปส่งพาสปอร์ตลงทะเบียนพร้อมเอกสารอีกสองสามอย่างที่ต้องพิมพ์ออกมาแนบไปด้วย หลังจากนั้นก็เข้าไปเช็คการติดตามเอกสารเพื่อลุ้นทุกวันว่าพาสปอร์ตไปถึงไหนแล้ว ส่งไปวันจันทร์พอวันศุกร์ก็มีโทรศัพท์จากวีซ่าเซ็นเตอร์มา ซึ่งอันนี้เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงเอาไว้ว่าตอนที่ส่งพาสปอร์ตไปให้ฉันเขียนจดหมายแนบไปว่าจะไปรับพาสปอร์ตคืนเองหรือจะให้ส่ง DHL มา ถ้าจะให้ส่งก็ให้แจ้งเบอร์โทรศัพท์และเวลาสะดวกเพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่โทรมาเพื่อที่จะทำการชาร์จบัตรเครดิตสำหรับค่าส่งพาสปอร์ตคืน ฉันก็เลือกให้เขาส่งคืนมาสิคะ จะให้ขับรถกลับไปอีกไม่ไหวแน่ มาคิดดู นี่ถ้าไม่ใช้บริการไปรษณีย์แปลว่าฉันจะต้องไปที่วีซ่าเซ็นเตอร์ถึงสามครั้งทีเดียว โอ้โหเกิดมาไม่เคยเจอ อดคิดไม่ได้ว่าแคนาดาใส่ใจเรื่องสิ่งแวดล้อมและสภาวะโลกร้อนมากแต่ทำไมขั้นตอนตรงนี้กลับทำให้คนต้องเสียเวลาเดินทาง เปลืองพลังงาน ทำให้โลกร้อน แปลกจริง ค่าส่ง DHL กลับคืนมาเขาคิดถึง 1400 บาท แพงจริงๆ แต่ถึงอย่างไรก็ถูกกว่าขับรถไปเอาเอง ก็เลยต้องยอม ทำอย่างไรได้ล่ะ รวมกับค่าวีซ่าที่จ่ายไป 4000 กว่าบาท ค่าน้ำมันรถพร้อมค่าเสื่อมรถที่ขับไปกลับหนึ่งครั้ง 800 กิโลอีกประมาณ 4800 บาทรวมแล้วก็เกือบหมื่น เอิ้ก
พอชำระเงินทางโทรศัพท์เสร็จเย็นวันนั้นก็มีคำแจ้งมาทางอีเมลว่า ศูนย์วีซ่าได้ส่งพาสปอร์ตไปที่สถานทูตแล้ว พอวันจันทร์ก็มีหมายแจ้งว่าสถานทูตได้รับและดำเนินการเรียบร้อย วันอังคารศูนย์วีซ่าได้รับพาสปอร์ตคืนมาจากสถานทูตและดำเนินการส่งต่อ DHL และมีหมายเลขติดตามพัสดุมาให้ ฉันกดเข้าไปดู ระบบบอกว่าเอกสารจะมาถึงภายในวันพฤหัสเย็น แต่ปรากฏว่าเพียงแค่ช่วงกลางวันวันพุธ DHL ก็มากดกริ่งที่บ้านส่งเอกสารให้เลย ขั้นตอนนี้เร็วมาก ฉันรีบแกะซองเปิดพาสปอร์ตออกชม สติ๊กเกอร์วีซ่าติดอยู่เรียบร้อย เขาให้มายาวประมาณสองปีครึ่ง ซึ่งเท่ากับวันที่พาสปอร์ตของฉันหมดอายุพอดี นี่ถ้าพาสปอร์ตมีอายุห้าปีก็คงจะได้ยาวเต็มที่คุ้มเงินคุ้มค่าเหนื่อย เสียดาย

สรุปแล้วขบวนการทั้งหมดตั้งแต่เริ่มเข้าไปกรอกเอกสารฉันใช้เวลาไปสามสัปดาห์พอดี จะว่าไปแล้วเขาทำงานไม่ช้าเลย มันมาช้าตรงที่ต้องรอถึงวันนัดเพื่อไปพิมพ์ลายนิ้วมือ กับตอน 5 วันที่ส่งพาสปอร์ตไปที่ศูนย์วีซ่านี่แหละ โชคดีจริงที่เดือนนี้ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปไหน ไม่อย่างนั้นไม่มีวันทันเลย ฉันไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมระบบเขาไม่ทำให้มันง่ายกระชับกว่านี้ และอดคิดไม่ได้ว่าอะไรที่ทำให้มันไฮเทคมากเกินไป แทนที่จะง่ายมันก็จะกลับกลายเป็นยุ่งยากโดยไม่จำเป็น

แต่ก็เอา ตอนนี้กอดพาสปอร์ตและตั๋วรอเดินทางสัปดาห์หน้าแล้ว ยังไม่ได้คิดเลยว่าจะไปเที่ยวไหนบ้างดี แต่ว่าจองร้านอาหารไปแล้ว 4 คืน 4 ร้าน แล้วจะกลับมาเล่าให้ฟัง

NO COMMENTS