Jerusalem คือเมืองศักดิ์สิทธิ์สุดยอดของ 3 ศาสนา คือ ยิว อิสลาม และคริสเตียนและเป็นเมืองมรดกโลกโดย UNESCO

เรื่องราวของเยรูซาเล็มนั้นมากมายเข้มข้นยิ่งนัก ตัวเมืองเก่าล้อมอยู่ในกำแพงเมืองซึ่งมีพื้นที่เพียง 1 ตารางกิโลเมตรเท่านั้น แต่กลับมีสถานที่สำคัญของทั้ง 3 ศาสนาอัดแน่นอยู่ ยังไม่พอ เยรูซาเล็มยังถูกแย่งกันอีกระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ ด้วยความสำคัญของเมืองโบราณนี้ต่อศาสนาของประเทศทั้งสอง ทั้ง 2 ประเทศจึงต่างประกาศแต่งตั้งให้เยรูซาเล็มเป็นเมืองหลวงของตัว อันที่จริงเมื่อก่อนเยรูซาเล็มถูกแบ่งครึ่ง ฝั่งตะวันตกเป็นของอิสราเอล ฝั่งตะวันออกเป็นของจอร์แดน แต่ต่อมาในสงครามที่ชื่อว่า 6-Day War อิสราเอลยึดเอาฝั่งตะวันออกมาได้ ก็ประกาศรวมเป็นเมืองเดียวกัน แต่นานาชาติไม่ยอมรับ และถือว่าเยรูซาเล็มตะวันออกเป็นดินแดนของปาเลสไตน์ที่ถูกอิสราเอลยึดมาต่างหาก เรื่องการแย่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ระหว่าง 2 ชาติ 2 ศาสนานี้มันซับซ้อนและมีเรื่องยาวลากมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เพราะเยรูซาเล็มเป็นทั้งที่ๆคิงเดวิดประกาศรวมดินแดนตั้งขึ้นเป็นผืนแผ่นดินยิวเมื่อ 3000 ปีก่อน เป็นที่ๆพระเยซูถูกตรึงกางเขนเมื่อ 2000 ปีที่แล้ว และเป็นที่ๆโมฮัมหมัดขึ้นสวรรค์ไปหลังจากได้พูดกับพระเจ้าเมื่อ 1000 กว่าปีที่แล้ว ทั้ง 3 ศาสนาจึงถือที่นี่เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ยิวก็ว่าต้องเป็นของยิวเพราะเป็นแผ่นดินแม่เขามาก่อนคริสต์และอิสลาม แม้ว่าจะถูกเนรเทศออกจากแผ่นดินไปคนยิวก็ยังหวนหาที่จะกลับคืนมาตุภูมิ เมื่อกลับมาแล้วเขาจึงหวงแหนแผ่นดินนี้มาก ในขณะที่ปาเลสไตน์ก็บอกว่าตัวเองมาตั้งรกรากอยู่แล้วจะมาไล่ให้ออกไปได้อย่างไร แล้วยังมีการเมืองยุคใหม่เรื่องดินแดน West Bank และฉนวนกาซ่ากันอีก ตุงนังมาก เอาเป็นว่า เยรูซาเล็มวันนี้มีพลเมืองเป็นยิวเสียส่วนมาก 60% และอาหรับมุสลิม 40% ที่ล้วนแล้วแต่มุ่งมั่นศรัทธาในดินแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ แม้ว่าต่างคนจะต่างกีดกันซึ่งกันและกันก็ตาม

ในแง่การท่องเที่ยว พื้นที่เมืองเก่าเล็กๆนี้แบ่งเป็น 4 quarters คือ Muslim Quarter, Christian Quarter, Jewish Quarter และ Armenian Quarter ทั้งเมืองเก่ามีกำแพงล้อมรอบโดยมีประตู 14 ประตู ที่ใหญ่และเป็นประตูหลักคือ Damascus Gate กับ Jaffa Gate ส่วนสถานที่สำคัญที่ควรชมคือ ถนน Via Dolorosa ซึ่งพระเยซูเดินแบกไม้กางเขนไปสู่จุดตรึงกางเขน และเป็นจุดที่ทรงฟื้นคืนชีพกลับมาที่โบสถ์

Church of the Holy Sepulchre ตามถนนมีสถานที่สำคัญหลายแห่งที่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวพระเยซูที่ถูกพิพากษานี้ เรียกว่า Station มี ทั้งหมด 14 Stations ในเมืองเก่านี้มีสถานที่สำคัญอื่นอีกเช่น Dome of the Rock สุเหร่าของอิสลามซึ่งสร้างทับบน Temple Mount อันเป็นวัดสำคัญแห่งที่สองของยิว และ Western Wall หรือ the Wailing Wall เป็นกำแพงที่คนยิวจะมาสวดมนต์ที่กำแพงนี้เพราะเป็นจุดที่ใกล้ตำแหน่งของ Temple Mount มากที่สุด (เพราะที่ Dome of the Rock ห้ามไม่ให้คนยิวเข้าไปเด็ดขาด) สถานที่สำคัญของมุสลิมอีกแห่งก็คือสุเหร่า al-Aqsa Mosque อันเป็นจุดที่เชื่อว่าโมฮัมหมัดขึ้นสวรรค์ไป

ส่วนในบริเวณเมืองเก่านี้มีหลายบรรยากาศปะปนกันไป จากประตู Damascus Gate เข้าสู่ Muslim Quarter จะมีบรรยากาศตลาดสดและตลาดขายของเหมือน Souk ในเมืองอาหรับทั้งหลาย เต็มไปด้วยเครื่องเทศ พรม ผ้าผ่อน ของที่ระลึก ทาง Christian Quarter ก็จะเป็นตลาดขายของเช่นกันและจะแลดูเป็นของที่ระลึกมากกว่าของกิน ตรอกซอยซอกเล็กซอกน้อยเหมือนเขาวงกตขึ้นขึ้นลงลงเต็มไปด้วยผู้คนแต่ทาง Armenian Quarter กับ Jewish Quarter จะเงียบหน่อย แลดูเป็นบ้านเรือนคนมากกว่า สะอาดเป็นระเบียบสวยงาม สถานที่สำคัญทั้งหลายที่เล่ามาทั้งหมดก็จะอยู่กระจายกันตามถนนหนทางต่างๆเหล่านี้ ดังนั้นการเดินเที่ยวในเมืองเก่าจึงเหมือนได้เดินตลาดชมเมืองไปด้วย และได้เดินชมสถานที่ในประวัติศาสตร์ไปด้วยพร้อมๆกัน

มาเยรูซาเล็มต้องไปชมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของทั้ง 3 ศาสนาให้ครบในตัวเมืองเก่าคงจะไม่มีถนนสายใดมีความหมายมากไปกว่าถนน Via Dolorosa เพราะเป็นถนนสาย Passion of Christ หรือเส้นทางที่พระเยซูถูกพิพากษาและเดินแบกไม้กางเขนไปสู่จุดตรึงกางเขน ตามถนนมีสถานที่หรือ Station สำคัญทั้งหมด 14 Stations ที่เกิดเหตุการณ์ต่างๆในช่วง Passion of Christ นี้ ฉันได้ไปชมไม่ครบทุกจุดเพราะอากาศร้อนมาก ช่วงกลางวันเดินเที่ยวได้ไม่กี่ที่ก็หมดแรง จึงเลือกชมเท่าที่เดินผ่านและจุดสำคัญ เช่น Station ที่ 2 คือ The Chapel of the Fragellation and The Chapel of Condemnation เป็นที่ๆพระเยซูได้เริ่มแบกไม้กางเขนแล้วออกเดินไปตามถนน Via Dolorosa และที่ Station ที่ 4 The Armenian Catholic Church of Our Lady Spasm เป็นที่ๆพระเยซูได้พบกับพระแม่มารี Station ที่ 4 นี้ดูจากข้างนอกก็นึกว่าเป็นโบสถ์เท่านั้น ทางเข้าเป็นร้านขายของด้วยซ้ำ ไม่รู้เลยว่ามีจุดสำคัญคือจุดแท่นบูชาที่มีพระรูปพระเยซูกับพระแม่มารีอยู่ด้านใน และลึกลงไปใต้ดิน Station หลายแห่งดูไม่ออกหาไม่ง่ายแบบนี้ หากใครต้องการชมให้ครบ 14 จุดควรจ้างไกด์พาเดิน สำหรับเรานั้นก็จ้างไกด์ไว้แต่แรก แต่ปรากฎไกด์ที่มานางไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไม่เล่าเรื่องอะไรทั้งสิ้น ไม่รู้อะไรเลย แถมยังพาหลงตลอด ผ่านไป 1ชั่วโมงเราได้แต่เดินวนไปมาตามตรอกที่เหมือนเขาวงกตโดยยังไม่ได้ชมอะไร เลยบอกนางว่าแยกกันเถอะ เราเดินเองดีกว่า เซ็งมาก ก็เลยเดินชมเท่าที่หาได้เอง ได้เห็นคุกที่ขังพระเยซูด้วย ด้านในเป็นเหมือนถ้ำ ตรงแผ่นหินเจาะเป็น  2 รูให้สอดขาเข้าไปแล้วล่ามโซ่ไว้ ตอนนี้มีแท่นบูชาจุดเทียนเอาไว้

โบสถ์ที่สำคัญที่สุดของชาวคริสต์ในเมืองเก่านี้ก็คือ Church of the Holy Sepulchre เพราะเป็นจุดที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนหรือปลายทางของเส้นทาง The Passion of Christ นั่นเอง ในนี้ยังมี Stations อยู่ถึงสี่จุด เช่นจุดที่พระเยซูถูกตอกตะปูตรึงบนไม้กางเขน จุดที่นำพระเยซูลงมาจากกางเขนหลังสิ้นพระชนม์แล้ว จุดที่ฝังพระศพ แต่ที่สำคัญที่สุดน่าจะเป็น Calvary หรือ Golgotha ซึ่งเป็นจุดที่สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน เขาให้คนเข้าคิวกันยาวเพื่อเข้าไปสัมผัสและทำความเคารพได้ และด้านล่างมีหินแผ่นใหญ่ซึ่งเป็นที่เตรียมพระศพของพระเยซูก่อนนำไปฝัง มีคนสวดมนตร์และซุกหน้าลงไปบนแผ่นหินนี้กันเยอะทีเดียว ฉันไม่แน่ใจว่าเขาร้องไห้กันหรือเปล่า

ส่วนสถานที่ๆสำคัญที่สุดของอิสลามคือ Dome of the Rock สุเหร่าของอิสลามซึ่งสร้างทับบน Temple Mount อันเป็นวัดสำคัญแห่งที่สองของยิว อันนี้เข้าไปไม่ได้เพราะให้เฉพาะมุสลิมเข้า ตอนฉันไปตำรวจห้ามไม่ให้ผ่านประตูเข้าไปในบริเวณด้วยซ้ำ แต่ยังใจดีบอกให้ดูจากด้านนอกได้นานเท่าที่ต้องการและให้ถ่ายรูปได้ จึงได้รูปมาน้อยนิดเท่านี้แต่ก็ดูขลังดี ส่วนมัสยิด al-Aqsa Mosque อันเป็นจุดที่เชื่อว่าโมฮัมหมัดขึ้นสวรรค์ไปนั้นไม่ได้ไปเลย เพราะห้ามเข้าในช่วงรามาดอน (ใครจะไปเลี่ยงรามาดอนจะสะดวกกว่านี้)

ส่วนสถานที่สำคัญของยิวนั้นคือ Western Wall ที่คนยิวจะมาสวดมนต์กันเพราะเป็นจุดที่ใกล้กับ Temple Mount มากที่สุด ตรงนั้นเราได้ซื้อตั๋วเข้าไปชม Western Wall Tunnel ด้วย คือกำแพงนี้สร้างเป็นส่วนหนึ่งของ Second Temple หรือวัดที่ 2 ของยิวที่โดน Dome of the Rock สร้างทับไปแล้ว แต่กำแพงไม่ได้มีเพียงเท่าที่เห็นด้านนอกเท่านั้น หากมีอยู่ลึกลงไปใต้ดินด้วย ความยาวทั้งหมดถึง 488 เมตรทีเดียว ทัวร์ยาวประมาณ 1 ชั่วโมงนิดๆ เราได้ไกด์คนอเมริกันยิวเล่าเรื่องให้ฟังและพาชมจุดต่างๆของกำแพงใต้ดินรวมทั้งด้านในที่ถูกน้ำเซาะจนดูคล้ายแกรนด์แคนย่อน

เที่ยวในกำแพงเมืองเก่าแล้ว ทีนี้เราจะไปเที่ยวนอกกำแพงเมืองกันบ้าง ซึ่งก็มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์หลายแห่งเช่นกัน ที่แรก Mount of Olives เป็นเนินเขาอยู่นอกเมืองเก่า ที่นี่ถูกกล่าวถึงในคัมภีร์ไบเบิ้ลหลายครั้ง ทั้งใน Old Testament และ New Testament เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของยิวและใช้เป็นสุสานของคนยิวมา 3000 กว่าปีแล้ว ขึ้นไปยืนชมวิวบนนั้นนอกจากจะมองกลับมาเห็นเมืองเก่าเยรูซาเล็มในมุมกว้างอย่างสวยงามพร้อมด้วยยอดโดมสีทองของ Dome of the Rock ของมุสลิมแล้ว ยังเห็นหลุมฝังศพของยิวเรียงรายเต็มเนินไปหมด ว่ากันว่ามีมากมายถึง 150,000 หลุมทีเดียว ปัจจุบันถ้าคนยิวต้องการจะฝังศพที่นั่นต้องจ่ายเงินสูงถึงสามล้านบาททีเดียว เขาถือว่าเป็นแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ คุ้มที่จะซื้อทางไปสวรรค์ ส่วนความสำคัญของคริสต์ก็คือ ใน New Testament มีการพูดถึงพระเยซูกับ Mount of Olives หลายครั้งทีเดียว รวมทั้งคราวที่พระเยซูเดินทางเข้ามาถึงเยรูซาเล็มก่อนถูกตัดสินก็ผ่านเข้ามาทางเนินโอลีฟนี้เอง

ตรงเนินเขาทางใต้ของเมืองเก่าคือ Mount Zion จะเดินออกจากเมืองเก่าทางประตู Zion Gate ก็ได้ แต่เราขับรถไปเที่ยว Mount of Olives มาก่อน และเป็นวันศุกร์สุดท้ายของรามาดอน ถนนปิดเยอะมาก ตำรวจคุมเข้มการใช้ถนน เราจึงไปจอดรถบริเวณเมืองใหม่แล้วเดินตากแดดร้อนมากๆข้ามถนนไต่บันไดกลับขึ้นเนินไป แต่ข้อดีคือได้เห็นบริเวณบ้านเรือนในเมืองใหม่สวยงามน่าอยู่ และได้เห็นในย่านที่แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเดินให้เห็นเลย

บริเวณ Mount Zion นี้มีสถานที่สำคัญ 3 แห่งอยู่ติดกัน ที่แรกคือ King David’s Tomb ที่ฝังพระศพของกษัตริย์เดวิดผู้ประกาศตั้งแผ่นยิวที่เยรูซาเล็มนี้ จึงเป็นที่ศักดิ์สิทธิ์ที่คนยิวต้องมาสักการะ โลงพระศพอยู่ในห้องเหมือนใต้ดิน เพดานเตี้ยๆ แบ่งเป็นฝั่งหญิงชายเข้าคนละด้าน มีคนยิวเข้าไปนั่งสวดมนต์กันอยู่หลายคน เวลาเข้าไปสถานที่แบบนี้ฉันจะไม่รบกวนคนที่เขาตั้งใจมาสวดมนต์หรือมาสักการะบูชา จึงรีบดูรีบออกมา ให้เขาใช้เวลาอย่างสงบในสถานที่นั้น

ไม่ไกลคือ Church of the Dormition ที่สร้างตรงจุดที่พระแม่มารีสิ้นพระชนม์ ฉันว่าข้างในนี้สวยทีเดียว ทั้งโมเสคที่ทำเป็นรูปต่างๆบนเพดานและซุ้มโค้งรอบๆ และรูปปั้นพระแม่บนแท่นที่บรรทมหลับนิรันดร์อย่างสงบ พลังงานในนั้นช่างเยือกเย็นสงบนิ่ง และมีนักท่องเที่ยวไม่กี่คน

ในบริเวณใกล้กันยังมี Coenaculum หรือห้องที่เชื่อว่าเป็นห้องที่พระเยซูและสาวกกินอาหารมื้อสุดท้ายร่วมกัน หรือ The Last Supper เป็นห้องโล่งๆเรียบๆ ทั้งเพดานผนังพื้นเป็นหินปูนสีทรายอ่อน แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์หรืออะไรประดับเลย ฉันเปิดรูป The Last Supper ของ Leonardo da Vinci ดูเทียบ ก็ไม่เห็นจะเหมือนห้องนี้เลย แปลกใจแต่ไม่รู้จะถามใคร (เสียดายไม่มีไกด์ คิดแล้วอยากจะโกรธไกด์คนเมื่อวานอีกสักรอบ) อันที่จริงมีสถานที่อีกแห่งที่บอกว่าเป็นที่ของThe Last Supper เช่นกัน อยู่ที่ Armenian Quarter ในเมืองเก่า แต่คนส่วนมากเชื่อว่าเป็นที่นี่ และถูกระบุไว้ในคู่มือท่องเที่ยวทั้งหลาย

ด้านบนของอาคารสามารถปีนขึ้นไปชมวิวได้ เป็นลานบนหลังคากว้าง ได้เห็นเยรูซาเล็มจากมุมสูงอีกมุมหนึ่ง

ตอนเรียนปริญญาโทฉันเรียนที่มหาวิทยาลัยของคริสต์ จึงต้องเรียนวิชาบังคับเป็นการเรียนและวิเคราะห์ไบเบิลหนึ่งเทอม จึงพอรู้เรื่องคริสตประวัติอยู่บ้าง แต่พอมาเที่ยวและชมสถานที่จริงที่ทุกอย่างเกิดขึ้นแล้ว ยังงงอยู่หลายจุดว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร เพราะตัวบุคคลและรายละเอียดเยอะ คงไม่ต่างกับเวลาต่างชาติถามเราเรื่องพุทธประวัติเวลาเราพาไปเที่ยวตามวัดวา มันเล่าไม่ง่ายเพราะต้องปูพื้นหลายอย่างก่อน ต้องแยกแยะเรื่องอภินิหารออกจากหลักฐานประวัติศาสตร์จริงด้วย แล้วยังตัวละครที่ทั้งมีจริงบ้างไม่มีจริงบ้าง ไหนยังภาษาและชื่อเรียกที่เป็นคำศัพท์เฉพาะอีก ยังดีที่ถามสามีให้เขาเล่าให้ฟังได้ ชมสถานที่ไปจึงได้ฟังเรื่องไป เข้าใจมากขึ้นในส่วนที่อ่านแล้วไม่เข้าใจ เที่ยวสนุกขึ้นเยอะเลย

เราได้เดินชมเมืองเก่าทั่วทุก Quarter แต่ละย่านก็ต่างอารมณ์กัน และมีสถานที่น่าชมที่นอกเหนือไปจากสถานที่ทางศาสนาด้วย เช่น Ha-Kardo หรือ Cardo ในย่าน Jewish Quarter นี้ชอบเลย เป็นทางเดินอุโมงค์ใต้ดินที่สร้างโดยโรมันเพื่อเป็นตลาดขายของ อารมณ์ถนนช้อปปิ้งที่มีร้านเรียง 2 ข้างทาง ตอนนี้เขาก็ใช้เป็นถนนสายช้อปเหมือนเดิม เลยเหมือนเป็นถนนช้อปสายที่เก่าแก่มาก

อีกอย่างที่อยากแนะนำสำหรับคนที่จะไปเที่ยวคือ ให้ขึ้นไปเดิน Rampart walk หรือเดินบนกำแพงรอบเมืองเก่า ที่ขายตั๋วและทางขึ้นอยู่ตรง Jaffa Gate เลือกได้ว่าจะเดินไปทางเหนือที่ยาวกว่าหรือใต้ที่สั้นกว่า ฉันเลือกสายสั้นเพราะมันร้อนมากๆ ทั้งแดดเปรี้ยงและอากาศ และจะได้ลงออกตรง Damascus Gate กลับโรงแรมเลยด้วย

ข้างบนแคบ พื้นเป็นหินปุ่มป่ำแต่ถ้ารองเท้าแบนก็เดินไม่ยาก ได้เห็นวิวมุมบนกว้างของเยรูซาเล็มอีกแล้ว และได้เห็นย่าน Christian Quarter ในส่วนที่ไม่ได้เดินไปดู ที่เด็ดคือเห็น Dome of the Rock ชัดเจนจากอีกมุมที่ใกล้กว่าที่เห็นมาแล้ว มองไปเห็นบนยอดหลังคาตึกอะไรไม่รู้ไม่ไกลจาก Dome มีคนยิวปีนขึ้นไปรวมตัวกันสวดมนต์หันหน้าไปทาง Dome เต็มเลย ช่างศรัทธาแรงกล้าและอุตสาหะ เข้าไปในบริเวณไม่ได้ก็พยายามหาที่ๆจะเข้าไปให้ใกล้ที่สุด ให้ได้เห็นมากที่สุด อันที่จริงตอนเดินในเมืองนี้ เราก็เห็นคนยิวรวมกลุ่มกันสวดมนต์ตามบันไดหรือมุมตึกหรือซอกถนนหรือหลังคา หรืออะไรก็ได้ที่ใกล้ Dome of the Rock หรือ Temple Mount ของเขามากที่สุด ดูไปก็น่าเห็นใจ แต่การเมืองกรณีนี้เป็นเรื่องซับซ้อนและอ่อนไหวมาก เมื่อตกลงกันไม่ได้ ต่างจะแย่งกัน ยิวก็เข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวไม่ได้ มุสลิมก็เสียเมืองเยรูซาเล็มไป จะเข้ามามัสยิดของตัวทีก็ลำบาก มีตำรวจถือปืนคุมตรวจเต็มไปหมด เฮ้อ

ด้านนอกกำแพงเก่ามีสถานที่สำคัญอีกแห่งคือ Garden Tomb อยู่ไม่ไกลโรงแรมเราด้วยแต่ปรากฎไม่ได้เข้า เพราะวันที่จะเข้าก็เหนื่อยเกิน เดินช้าจนหมดเวลา พอถึงวันจะไปเป็นวันอาทิตย์เขาก็ปิดอีก บอกเลยใครจะไปเที่ยวให้เลี่ยงหน้าร้อนและเลี่ยงรามาดอน เชื่อกันว่าที่นี่คือหลุมฝังพระศพของพระเยซู คงเก็บไว้คราวหน้าแล้วกัน

นี่แหละเยรูซาเล็ม เล็กนิดเดียวแต่เข้มข้นมากๆ ทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม สถาปัตยกรรม ศาสนา อารมณ์ ความรู้สึก รูป-รส-กลิ่น-เสียง สามวันแทบจะไม่พอ และความรู้สึกแน่นไปด้วยความเข้มข้นของถูกอย่างรวมกันจนตัวแทบจะระเบิดทีเดียว

NO COMMENTS