ในสวิตเซอร์แลนด์นี้ทุกปีจะมีการลงคะแนนกัน ว่าเมืองที่สวยที่สุดของประเทศประจำปีคือเมืองอะไร สำหรับปี 2016 นั้น Morcote เมืองที่ตั้งอยู่ในภาค Ticino อันใช้ภาษาอิตาเลียนเป็นหลักนั้น คือเมืองที่ได้มงกุฎไปครอง

Morcote เป็นเมืองขนาดเล็กจิ๋วตั้งอยู่ริมทะเลสาบลูกาโน่ มองไปอีกฝั่งของทะเลสาบก็เป็นอิตาลีแล้ว ตึกรามบ้านเรือนในเมืองนี้จึงดูเหมือนเป็นเมืองในอิตาลีมากกว่าสวิตฯ คือสีสันสดใส สถาปัตยกรรมมีความน่ารักกุ๊กกิ๊ก ดูอบอุ่นมีชีวิตชีวา ไม่แข็งกระด้างแห้งแล้งแบบสวิสเยอรมัน นอกจากนี้สถานที่ตั้งยังมีภูมิทัศน์สวยงามสุดๆ ใจกลางตัวเมืองนั้นอยู่ริมทะเลสาบ มีร้านอาหารและคาเฟ่เรียงรายเลียบถนนริมน้ำน่ารักๆให้นั่งทอดอารมณ์มากมาย บางคนก็ขับเรือจากหมู่บ้านอื่นมาจอดที่ท่าแล้วก็เดินขึ้นมากินกาแฟ ส่วนตึกรามบ้านช่องก็สร้างลดหลั่นไล่ขึ้นไปบนภูเขา ระหว่างตึกเป็นตรอกเล็กซอกน้อยเฉพาะคนเดิน โผล่มุมไหนก็สวยงามน่ารักชนิดที่ว่าต้องหยุดถ่ายรูปกันทุกก้าวเลยทีเดียว

Morcote นี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นสถานที่อนุรักษ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์หรือ Inventory of Swiss Heritage Sites และสถานที่สำคัญหลายแห่งในเมืองก็ได้ขึ้นทะเบียนเป็น Swiss heritage site of national significance เช่น โบสถ์ The Chapel of S. Antonio Abate ที่มีบันไดลาดยาวอันขึ้นชื่อ มีภาพวาดจิตรกรรมฝาผนังจากศตวรรษที่ 16 และ 17 อยู่ในห้องข้างทางเดินระหว่างบันได และยังมีลานที่เปิดวิวกว้างออกชมทะเลสาบเป็นจุดถ่ายรูปที่สวยอลังการงานสร้างจริงๆ ฉันได้ไปตอนนี้ไม่มีคนเลย จึงถ่ายรูปได้อย่างแสนจุใจไป 

อีกโบสถ์คือ Parish Church of S. Maria del Sasso สวยงามจัดเต็มอีกเช่นกัน ติดกันคือสุสานของเมือง ซึ่งก็ขึ้นทะเบียนมรดกเช่นเดียวกัน สำหรับสุสานนี้เป็นเรื่องพลาดไม่ได้ของฉัน และบอกเลยว่าสุสานที่นี่เป็นสุดยอดอีกแห่งหนึ่งทีเดียว ขนาดไม่ใหญ่มากแต่ว่าดีไซน์นั้นงามจริงๆ ส่วนมากจะสร้างเป็นบ้านหลังใหญ่หนึ่งหลังหนึ่งตระกูล รวมให้ที่ฝังศพของคนในตระกูลมาอยู่ด้วยกันใต้หลังคาเดียว ดังนั้นภายในสุสานจึงเหมือนมีอาคารสวยงามเล็กๆตั้งเรียงกันอยู่มากมาย ประหนึ่งหมู่บ้านเล็กบนริมหน้าผาที่หันหน้าออกชมวิวทะเลสาบลูกาโน่ ทั้งวิวดีทั้งสวยสุดๆไปเลย แถมยังตรงตามหลักฮวงจุ้ยเป๊ะ

ส่วนโรงแรมที่ฉันพักนั้นอยู่ที่หมู่บ้านชื่อ Vico Morcote ซึ่งอยู่บนเขาด้านบนสูงขึ้นไปอีก หมู่บ้านนี้มีสถาปัตยกรรมเด็ดมาก เพราะเป็นตึกหินโบราณสร้างติดๆกันและมีทางเดินลอดทะลุกันทุกตึกไป เดินชมแล้วรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในเมืองโบราณเลยจริงๆ ตึกเก่าเหล่านี้ส่วนมากเป็นบ้านที่พักอาศัยของคนในปัจจุบัน แต่ข้างในเชื่อได้เลยว่าต้องตกแต่งแบบทันสมัยสะดวกสบายสะอาดกริ๊บสไตล์สวิส ขัดกับด้านนอกซึ่งเป็นตึกอนุรักษ์ไปแล้ว

หมู่บ้านนี้สามารถขับรถไต่เขาขึ้นไปได้ แต่ก็มีทางคนเดินเชื่อมกับ Morcote ด้านล่างด้วยเช่นกัน ทางนี้มีบรรยากาศและสภาพทุกรูปแบบทีเดียว ทั้งเป็นถนนหินโบราณในตัวหมู่บ้าน ทั้งเป็นบันไดไต่ลัดเลาะวกวนลงมาตามบ้านเรือนสมัยใหม่ เป็นถนนคอนกรีตผ่านบ้านเศรษฐีหลังโตๆ และมีบางช่วงก็เป็นทางดินเลาะไปในป่า เรียกว่าทางเดินเท้าจาก Vico Morcote ลงมา Morcote นี้เป็นเส้นทางสำรวจเมืองที่สวยงามและชวนสนุกอย่างสุดยอดทีเดียว แนะนำเลยว่าถ้าใครได้ไปอย่าเที่ยวชมอยู่เพียงแต่ในเมือง Morcote ด้านล่างริมน้ำ แต่ให้เดินลัดเลาะเข้ามาในตึกรามบ้านเรือนด้านหลังแล้วทะลุชอนไชไปให้ทั่ว ถ้าเดินไหวก็ให้ไต่บันไดขึ้นมาที่ Vico Morcote ด้านบน ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณครึ่งชั่วโมง ก็นับว่าสูงและเหนื่อยเอาการอยู่แต่รับรองว่าสวยคุ้มเหนื่อยจริงๆ

นอกจากตัวเมือง Morcote และ Vico Morcote จะสวยน่ารักสุดๆไปเลยแล้ว จากเมืองนี้ยังมีเส้นทางเดินป่าออกไปยังเมืองอื่นได้ที่สวยมากๆอีกด้วยวันต่อมาเราจึงเดินออกกำลังชมธรรมชาติ “อาบป่า” จาก Vico Morcote ไปยัง Carona เราเริ่มเดินโดยลัดเลาะไปตามซอกหลืบของตึกหินโบราณในหมู่บ้านสูงขึ้นไป จนพ้นชายหมู่บ้านแล้วก็จะเป็นขั้นบันไดหินที่ทำเอาไว้อย่างดีไต่ขึ้นไปในป่า จากนั้นทางก็จะค่อยๆกลายเป็นดิน แต่ก็ทำเอาไว้เป็นขั้นอย่างดีเดินได้ไม่ยาก เพียงแต่ก็จะเมื่อยหน่อยเพราะประมาณว่าน่าจะเดินขึ้นบันไดสักพันกว่าขั้น ระหว่างเส้นทางเดินมีจุดให้มองชมวิวทะเลสาบสวยงามเป็นระยะๆ ทำให้ได้หยุดพักแล้วลืมความเมื่อยบ้าง พอเดินมาได้ประมาณสักครึ่งชั่วโมงนิดๆก็หลุดพ้นออกมาจากป่าทึบ ถึงจุดที่เป็นหัวเนินกว้างโล่งปกคลุมด้วยหญ้า รอบๆมีครอบครัวมานั่งปิกนิกกินอาหารกันมากมายกระจายห่างๆกันเต็มไปหมด เป็นจุดปิกนิกสุดยอดประจำเมืองทีเดียวเพราะอยู่สูงสุดบนเนินเขา เปิดโล่งเห็นวิวของทะเลสาบแบบพาโนราม่าเลย แต่ที่เด็ดที่สุดก็คือตรงบริเวณนี้มีร้านอาหาร Vicania ซึ่งเป็นของเจ้าของเดียวกับโรงแรมที่ฉันพักนั่นเอง ร้านอาหารนี้ดังมากเพราะบรรยากาศดีสุดๆ ช่วงอากาศอบอุ่นแบบนี้เขาจะเอาโต๊ะมาตั้งบนสนามหญ้าด้านนอก อารมณ์น่าจะจัดงานแต่งงานได้สวยโรแมนติกมากๆ เราวางแผนเอาไว้ว่าเดินเขาเสร็จแล้วจะมาจบวันกินของว่างตอนบ่ายกันที่นี่

จากนั้นเราก็เดินไต่เขาต่อขึ้นไปอีก บุกป่าสูงไปเรื่อยๆ ตามป้ายสีเหลืองที่บอกเส้นทาง จนในที่สุดก็มาโผล่ที่สวนพฤกษศาสตร์ Parco San Grato ชายเมือง Carona ต้นไม้ใบไม้ดอกไม้ฤดูใบไม้ผลิสวยจริงๆ มีพุ่มไม้ที่ตัดแต่งเอาไว้เป็นเขาวงกตให้เข้าไปเดินหลงเล่นด้วย จากสวนนี้เรามองไปเห็นวิวเมือง Lugano และยอดเขา San Salvatore ที่มีกระเช้าขึ้นมาจากเมืองด้านล่างให้ขึ้นไปชมวิวได้ ตอนแรกเราอยากจะเดินขึ้นไปให้ถึงยอดเขาบนนั้นเลย แต่ดูเวลาแล้ววันนี้ไม่ทันแน่นอน เลยขอติดเอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน

เดินต่ออีกนิดไปถึงหมู่บ้านติดกันชื่อ Ciona เล็กจิ๋วมากชนิดที่ว่ามีโบสถ์เล็กอยู่หนึ่งหลัง และร้านอาหารทาสีเหลืองน่ารักมากอยู่หนึ่งแห่งติดลานจอดรถแค่นั้น แล้วก็มีบ้านไม่กี่หลังโดยรอบ บ้านและอพาร์ตเม้นต์แบบสมัยใหม่สร้างปนแทรกอยู่กับอาคารโบราณ ดูกลมกลืนอยู่ด้วยกันได้อย่างน่ารักดี

จากนั้นเราก็เดินวนกลับด้วยอีกเส้นทางหนึ่งในป่าเป็นวงกลมไปจนถึงร้านอาหาร Vicania ตอนเวลาบ่าย 4 โมงครึ่งพอดี เหนื่อยและเมื่อยกำลังดี ได้เวลาจิบแชมเปญแกล้มโคลด์คัทกับชีสและตบท้ายด้วยทีรามิซูถ้วยโตเป็นการให้รางวัลกับตัวเอง กินเสร็จแล้วก็เดินไต่เขากลับลงมาโดยคราวนี้เราใช้อีกเส้นทางหนึ่ง มาทะลุที่ Morcote ตรงโบสถ์ Santa Maria del Sasso และสุสานที่เรามาแล้วเมื่อวาน ได้ชมวิวสวยอีกครั้งจากตรงนี้ และต้องเดินไต่สูงย้อนกลับขึ้นไปยัง Vico Morcote อีก ตรงกิโลเมตรสุดท้ายนี่แหละค่ะที่ฉันหมดแรงจนต้องหยุดพักหลายครั้ง สรุปแล้ววันนี้เดินไป 6 ชั่วโมงเกือบ 13 กิโลเมตร แอพบอกว่าเดินไป 28,018 ก้าว แถมเป็นการไต่ขึ้นสูงชันตลอด แล้วขากลับก็ไต่กลับลงมาอีก เรียกว่าเป็นการใช้ขาอย่างโหดตลอด 6 ชั่วโมง

แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเส้นทางที่ฉันขอแนะนำอย่างมากเลยว่า ถ้าใครได้ไปเที่ยว Morcote แล้วก็ควรกันเวลาไว้อีกหนึ่งวันมาเดินเส้นทางนี้ สวยจริงๆ แล้วถ้ามีอีกวันหนึ่งก็เช่าเรือขับเล่นไปตามทะเลสาบแวะตามหมู่บ้านต่างๆไปจนถึงลูกาโน่ได้เลย

ส่วนโรงแรม Relais Castello di Morcote ที่ไปพักอยู่ใจกลางหมู่บ้าน Vico Morcote สูงขึ้นไปบนเขานี้ ก็ช่างสวยถูกใจตรงสไตล์เที่ยวเหนือฟ้าเป็นที่สุด เพราะเป็นโรงแรมเล็กดีไซน์สวย มีประวัติศาสตร์ ตัวตึกเคยเป็นสำนักแม่ชีโบราณเก่าแก่มาก่อน แล้วเอามาตกแต่งใหม่เป็นโรงแรมที่มีเพียง 12 ห้อง แต่มีพื้นที่ใช้สอยส่วนกลางเหลือเฟือไม่อั้น ทั้งห้องนั่งเล่นอ่านหนังสือที่มีเตาผิงใหญ่ ส่วนนั่งเล่นในอาคารแต่เปิดผนังโล่งรับอากาศต่อเนื่องกับสวนและสนามหญ้า มีสวนด้านหลังพร้อมเก้าอี้นอนให้เอกเขนกอาบแดดและชมวิวทะเลสาบ ฉันชอบดีไซน์การผสมผสานความเก่าและใหม่แบบนี้มาก โดยเฉพาะตึกเก่าเอามาชุบชีวิตให้ใช้งานได้ไหมนี่ชอบที่สุด การตกแต่งที่นี่เขาทำได้เก๋จริงๆ เก็บผนังเพดานพื้นเก่าเอาไว้มากที่สุด แล้วเสริมงานตกแต่งแบบสมัยใหม่เข้าไปแทรกปนได้อย่างกลมกลืนไม่เคอะเขิน พื้นปูไม้แบบตั้งใจให้ไม่เรียบ ดูใหม่ทันสมัยแต่ก็ไม่โมเดิร์นขัดตา สวยหมดทุกซอกทุกมุมจริงๆ

แถมยังมีร้านอาหารอร่อยมากๆอยู่ในโรงแรมด้วย มื้อเช้าจัดในห้องอาหารเดียวกันนี้และมีที่นั่งอยู่บนเทอเรซด้านนอก ชมวิวสูดอากาศดีไปด้วย เป็นการเริ่มต้นวันที่วิเศษจริงๆโรงแรมนี้เขาเป็นเจ้าของไร่ไวน์และโรงทำไวน์ชื่อดังของ Morcote ดังนั้นในโรงแรมจึงมีไวน์และน้ำมันมะกอกของตัวเองขายด้วย ฉันชิมน้ำมันมะกอกที่เขาเสิร์ฟในร้านอาหารแล้วต้องซื้อติดมือกลับบ้านมาหนึ่งขวดเลย

ความสวยงามน่ารักของ Morcote และบรรดาหมู่บ้านใกล้เคียงนี้ได้ใจฉันไปเต็มๆ จนขอยกอันดับให้เป็นที่หนึ่งของเมืองเล็กน่ารักในสวิตเซอร์แลนด์ในใจไปเลย แต่คงเนื่องจากเป็นเมืองเล็กและอยู่นอกเส้นทางเมืองท่องเที่ยวหลัก ชาวต่างชาติจึงไม่ค่อยรู้จักหรือไม่ค่อยได้มากัน อยากจะบอกเลยว่าใครอยากเห็นสวิตเซอร์แลนด์แบบสวยจริงสวยสุด และนักท่องเที่ยวอื่นไม่ค่อยมา ต้องจัดให้ Marcote อยู่ในแผนเลยทีเดียว สำหรับฉันนั้น หลงรักจนอยากจะย้ายมาอยู่เสียเลย ได้ใช้ชีวิตแสนหวานแบบอิตาเลียนในระบบการจัดการแบบสวิส จะหาอะไรเลิศไปกว่านี้ไม่น่าจะมีอีกแล้ว

NO COMMENTS