ตุรกีมีซากโบราณปรักหักพังจากยุคกรีกมากมาย เป็นประเทศที่เข้มข้นไปด้วยประวัติศาสตร์ยาวนาน เพราะตั้งอยู่ในบริเวณของอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของประวัติศาสตร์มนุษยชาติเลยก็ว่าได้ สิ่งมหัศจรรย์ทั้งเจ็ดของโลกยุคเก่าก็อยู่ในตุรกีหลายแห่ง เช่น วิหาร Artemis ที่ Ephesus ที่รู้จักกันดีหรือซากเมือง Troy ที่แม้ได้เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลกแต่ก็เป็นที่รู้จักกันดี แต่ตุรกียังมีซากโบราณสถานอีกมากมายที่น่าตื่นตาตื่นใจไม่แพ้กัน เช่น Priene, Miletus และ Didyma ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก เมือง Bodrum ริมทะเล Aegean ทางตะวันตกเฉียงใต้ของตุรกี

โบราณสถาน 3 แห่งนี้อยู่ห่างจากเมือง Bodrum ไปประมาณ 2 ชั่วโมงทั้ง 3 อยู่ไม่ไกลจากกัน สามารถขับรถวนเป็นเส้นวงกลมแวะชมได้ใน1 วันสบายๆ เราเริ่มเที่ยวชมกันที่ Priene ซึ่งอยู่ไกลที่สุดก่อน ไปถึงปรากฎมีรถนักท่องเที่ยวอื่นจอดอยู่คันเดียว นึกว่าไม่เปิดเสียแล้วเพราะตุรกีมีเคอร์ฟิวอยู่ช่วงโควิด แต่เขาเปิด เพียงแต่แทบไม่มีนักท่องเที่ยวเลย กลายเป็นสบายเราไป เที่ยวช่วงโควิดนี่จะว่าไปแล้วดีมากตรงที่ไม่ต้องแย่งอะไรกับใครนี่ล่ะ ทุกหนแห่งแทบจะเป็นไพรเวททัวร์ กลายเป็นปลอดภัยสบายใจด้วยซ้ำ

ค่าตั๋วก็ถูกมากๆ สามร้อยกว่าบาทต่อคน และพอได้ชมจนทั่วแล้วอยากจะร้องว่าทำไมมันถูกอย่างนี้ Priene สวยและแน่นมาก เป็นเมืองโบราณของกรีก สร้างในศิลปะแบบ Hellenistic เมื่อ 1000 ปีก่อนคริสต์ศักราช ความพิเศษคือทั้งเมืองตั้งอยู่บนที่สูงเชิงเขา มีหน้าผาของภูเขาเป็นฉากหลังหนุน สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเมืองท่าเรือน้ำลึก เราก็งงเพราะมันไม่ติดน้ำเสียหน่อย คำอธิบายคือว่า เวลาผ่านไปหลังจากสร้างเมืองไม่นาน (200-300 ร้อยปี) ชายฝั่งมันถดถอย ถูกดินตะกอนทับถมจนชายฝั่งร่นต่ำออกไป Priene จึงหมดสภาพการเป็นเมืองริมทะเล กลายเป็นเมืองบกที่ตั้งอยู่บนเขา ผู้คนที่เคยมี 5-6000 พันคนก็อพยพไปเมืองอื่นเสียมาก เหลือ Priene เป็นเมืองที่ไม่มีบทบาทสำคัญทางการค้าอีก แต่กลับมีอาคารสวยงามอยู่มากมาย เช่นอัฒจันทร์สำหรับชมละครที่มีที่นั่งถึง 6,500 ที่ ยังสวยงามสมบูรณ์ สร้างฝังอิงลาดขึ้นไปตามแนวของเนินเขา มีเก้าอี้นั่งหินอ่อนพิเศษเหมือนบัลลังก์ให้คนสำคัญแถวหน้าสุด แกะสลักสวยงาม มีเวทีและอาคารโรงละครต่อจากด้านหลังของเวที ปีนขึ้นไปดูจากมุมสูงเห็นผังอาคารชัดเจนว่าเป็นฉากและห้องหลังเวทีอย่างไร เสาเรียงต้นกันอยู่เต็ม เห็นแล้วตื่นเต้นมาก ฉันละชอบจริงๆเลยเวลาได้จินตนาการว่าซากโบราณเก่าเหล่านี้มันเคยสมบูรณ์สวยงามและถูกใช้งานอย่างไรในอดีต

อาคารสำคัญที่สุดของที่นี่คือวิหารของ Athena ซึ่งเขาเอาก้อนหินอ่อนที่หักกลิ้งกระจายเป็นชิ้นๆเกลื่อนพื้นไปหมดนี้มาต่อเรียงขึ้นมาใหม่ 5 เสาให้เราพอเห็นภาพ (ความสูงของเสา 3 เมตรนี้เตี้ยกว่าความสูงจริงของเดิม) วิหารนี้ได้รับเงินสนับสนุนการสร้างจากพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชทีเดียว เพราะตอนนั้นหวังลงทุนให้เป็นเมืองท่าน้ำลึกที่สำคัญ

ส่วนตอนนี้ที่ฉันว่าน่าตะลึงก็คือบรรดาเสาโรมันที่หักเป็นท่อนๆนอนกลิ้งเป็นก้อนกรวดเต็มพื้นไปหมดนี่แหละ มันมากมาย (เกิดแผ่นดินไหวหลายครั้งในช่วงก่อนคริสตกาล) แต่ละก้อนใหญ่มาก เหมือนมียักษ์มาโรยทอยกองหรือเล่นโบว์ลิ่งจนพินล้มระเนระนาดเต็มไปหมด และด้วยความที่ตุรกียังไม่มีทุนและการจัดการโบราณสถานที่ดี พวกซากโบราณเหล่านี้จึงถูกทิ้งตามมีตามเกิด เปิดให้คนเข้าไปเดินชมสัมผัสได้ใกล้ชิด ฉันว่านานๆไปมันอาจถูกทำลายพังลงไปได้ยิ่งกว่านี้ น่าเสียดาย

นอกจากนี้ Priene ยังมีบริเวณที่เป็นตลาด มีถนนสายคนเดินผ่านกลางตลาด เห็นซากโต๊ะหินอ่อนที่ใช้เป็นโต๊ะวางสินค้าขายตามแบบกรีก เห็นฐานอาคารเป็นห้องแถวเรียงกัน มีโบสถ์ วิหารบูชาเทพ Zeus และ Demeter และทางออกเราเดินออกมาตามถนนที่เป็นสายผ่านสุสาน ซึ่งมีซากสุสานโบราณเรียงกันอยู่อีกด้วย

โดยสรุปคือ Priene เป็นซากเมืองที่น่าชมมากๆอีกแห่งหนึ่ง เพราะมีความเป็นสภาพเมืองให้เห็นอย่างสมบูรณ์ทีเดียว เราได้ชมสถานที่สำคัญครบแทบทุกอย่าง และก็มีพื้นที่ไม่ใหญ่โตจนเกินไป เดินได้ทั่วใน 2 ชั่วโมง เหมือนเดินชมเมืองจริงที่มีผังต่อติดกันไปทั้งเมือง สมแล้วที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ใครไปเที่ยว Bodrum แนะนำอย่าได้พลาดแวะไปชมทีเดียว

จาก Priene เราขับรถต่อไปเพียงครึ่งชั่วโมงก็ถึง Miletus ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ สร้างขึ้นมาแทน Priene หลังจากที่ชายฝั่งถดถอยจน Priene หมดความเป็นเมืองท่า Miletus นี้เคยเป็นเมืองที่ร่ำรวยและรุ่งเรืองมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรีกทีเดียว และมีการกล่าวถึงอยู่ใน New Testament ของไบเบิลด้วย ว่าอัครสาวก Paul ได้เดินทางผ่านมาที่ Miletus นี้ตอนเดินทางกลับไปเยรูซาเล็ม นอกจากความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจแล้ว Miletus ก็ยังมั่งคั่งด้วยความรู้และปรัชญา ถึงกับเคยเป็นศูนย์กลางแห่งปรัชญาและวิทยาศาสตร์ของกรีกทีเดียว Thales นักปรัชญากรีกยุคก่อนโสเครติส และเป็นหนึ่งในเจ็ดกูรูอาจารย์ใหญ่แห่งปรัชญากรีกก็เกิดที่ Miletus นี่เอง

แต่หลักฐานแห่งความรุ่งเรืองของ Miletus ที่เหลือให้ชมที่ซากเมืองนี้มีเพียงแค่โรงละครและอัฒจันทร์ขนาด 15,000 ที่นั่งเท่านั้น แต่นั่นก็เป็นสิ่งยืนยันถึงความยิ่งใหญ่ของ Miletus อย่างไม่ต้องสงสัย คิดดู ขนาด 15,000 ที่นั่งนี่มันใหญ่มากๆ และยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์ดีทีเดียว เราสามารถเดินชมได้อย่างอิสระทั้งส่วนฉากเวที อัฒจันทร์ อุโมงค์ทางเดินโดยรอบด้านบน และทางเข้าจากด้านหลังอัฒจันทร์ซึ่งมีความคล้ายโคลีเซียมที่โรม มันใหญ่โตโอฬารมากๆ และเราก็เป็นนักท่องเที่ยวในไม่กี่คนที่นั่น ดีจริงๆ ส่วนซากปรักหักพังอื่นเช่นรูปปั้นที่ขุดเจอจากที่นี่ ได้ถูกนำไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์ต่างๆทั่วโลกหลายชิ้น โดยเฉพาะชิ้นส่วนประตูทางเข้าของตลาดและร้านค้าที่อยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Pergamon ที่เมืองเบอร์ลิน ฉันเห็นในรูปแล้วตะลึงตึงๆ มันใหญ่โตสมบูรณ์สวยงามมาก คงต้องจัดทริปไปเบอร์ลินด่วน ปกติเวลาไปดูซากพวกนี้เรามักจะนึกไม่ออกว่าในสมัยรุ่งเรืองคนเขาเห็นอาคารพวกนี้แล้วจะรู้สึกอย่างไร แต่ฉันเห็นประตูตลาดนี้แล้วนึกออกเลยว่า มันอาจจะให้อารมณ์เดียวกับเวลาเราไปห้างสยามไอคอนครั้งแรก แบบพอจะเดินเข้าห้างแล้วก็ โห… หูย… ว้าว… ประมาณนี้ละมัง

จากนั้นเราขับรถต่อไป Didyma ซึ่งไม่ใช่เมือง แต่เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์อันสำคัญและใหญ่ที่สุดของเมือง Miletus นั่นเอง ระหว่างตัวเมือง Miletus และ Didyma นี้มีถนนเชื่อมต่อกัน เรียก Sacred Way ความยาว 16 กิโลเมตร ใช้เป็นเส้นทางในการแห่ขบวนเวลามีพิธีประจำปี ตอนนี้เราไม่สามารถเดินชมได้แต่มองเห็นได้จากนอกรั้ว สถานที่ๆเข้าชมได้ซึ่งเป็นจุดสำคัญที่สุดของ Didyma นี้ก็คือ The Temple of Apollo วิหารของเทพอพอลโล่ พอจอดรถก็เห็นสูงเด่นเป็นสง่าเลยอยู่ในตัวเมือง Didyma ปัจจุบัน วิหารนี้เป็นวิหารแบบ Hellenistic ที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยรองก็แต่เพียงวิหาร Hera บนเกาะ Samos และวิหารแห่ง Artemis ที่ Ephesus เท่านั้น และออกแบบสร้างโดยสถาปนิกคนเดียวกับวิหาร Artemis ที่ Ephesus อีกด้วย ความสำคัญอีกอย่างของ Didyma นั้นก็เพราะมีชื่อเสียงเกี่ยวกับการทำนายนั่นเอง มีน้ำพุศักดิ์สิทธิ์แห่งการทำนายไหลอยู่ในบริเวณ เรื่องของการทำนายอนาคตนี่เป็นความสนใจของมนุษย์จริงๆเลย ไม่ว่าจะสมัยกรีกหรือปัจจุบันก็เหมือนกันหมด อาชีพหมอดูคงจะไม่มีวันหายไปหรือถูกทดแทนได้ด้วยหุ่นยนต์เป็นแน่แท้

วิหารแห่งเทพ Apollo ที่ Didyma นี้น่าตะลึงมากอีกเช่นกัน ด้วยความใหญ่โตของเสาแบบ Ionic ขนาดยักษ์ที่เรียงกันเต็มไปหมด แต่ละต้นสูงเกือบ 20 เมตร เดินเข้าไปแล้วให้อารมณ์เดียวกับเวลาเดินเข้าไปในวิหารของอียิปต์เลย คือรู้สึกได้ถึงพลัง ความยิ่งใหญ่ ขัดแย้งกับความเล็กจ้อยของตัวเรา อดจินตนาการไม่ได้ว่าหากเดินเข้าไปแบบนี้ในยุคที่วิหารยังรุ่งเรืองใช้งานอยู่ เราคงรู้สึกได้ถึงความขลังจนขนลุก

ด้านหลังของวิหารมีคอร์ทยาร์ดใหญ่มาก มีอุโมงค์ 2 อุโมงค์เป็นทางลาดเดินทะลุลงไป คอร์ทยาร์ดนั้นมีกำแพงสูงลิ่วล้อมอยู่ทั้ง 3 ด้าน ความสูงของกำแพงที่บูรณะไว้นี้เพียงแค่ 1ใน 3 ของความสูงจริงเท่านั้น และเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำพยากรณ์ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง

แม้ปัจจุบันเราจะเข้าชมได้เพียงส่วนของวิหารอพอลโล่ แต่  Didyma นั้นมีซากอื่นอีกหลายอย่างที่เพิ่งถูกค้นพบไม่นานจึงยังไม่เปิดให้เข้าชม (บางส่วนเข้าใจว่าปิดเพราะโควิดด้วย) เช่นโรงละครกรีกที่เพิ่งค้นพบเมื่อสิบปีมานี่เอง และมีบ่ออาบน้ำโรมัน โรงละคร สเตเดียม และอื่นๆ แต่ที่สำคัญมากก็คือวิหารแห่งเทพ Artemis ที่เพิ่งขุดเจอบางส่วนเมื่อปี 2013 นี้เอง ที่บอกว่าสำคัญนั้นก็เพราะชื่อ Didyma นี้ภาษากรีกแปลว่า“ฝาแฝด”อันเทพ Apollo นั้นมีฝาแฝดคือเทพี Artemis ในเมื่อ Didyma มีชื่อว่า“วิหารแฝด”และเราเห็นวิหารแห่งอพอลโล่ใหญ่โตอัศจรรย์อยู่เช่นนี้ จึงไม่น่าแปลกที่ควรจะมีวิหารแห่งอาร์เทมิสอันอลังการไม่แพ้กันอยู่ในบริเวณ

ใครจะรู้… อีกหน่อยเมื่อการขุดค้นเพิ่มเติมก้าวหน้าไปมากขึ้น เราอาจจะพบก็ได้ว่า The Temple of Artemis นี้มหัศจรรย์เสียยิ่งกว่า The Temple of Apollo ก็ได้ คิดแล้วก็ขนลุก และเมื่อถึงวันนั้น ฉันจะต้องกลับมา Didyma อีกแน่นอนไม่ต้องสงสัยเลย

NO COMMENTS