Glorenza หรือ Glurns ในภาษาเยอรมันเป็นเมืองเล็กๆหรืออันที่จริงน่าจะเป็นเพียงแค่ตำบลมากกว่า เพราะมีขนาดจิ๋วเพียงแค่ 13 ตารางกิโลเมตรและมีพลเมืองอยู่ไม่ถึง 900 คนเท่านั้นเอง ตั้งอยู่ในจังหวัด South Tyrol ของเขต Trentino-Alto Adige ประเทศอิตาลี และอยู่ติดกับชายแดนสวิตเซอร์แลนด์ เรียกว่าไกลปืนเที่ยงมากๆและไม่น่าจะมีคนเคยได้ยินชื่อเมืองนี้เท่าไหร่ แต่ถ้าใครได้แวะไปแล้วจะตกใจในความน่ารักทีเดียว

เราขับรถจากอิตาลีกลับเข้าสวิตเซอร์แลนด์ และวางแผนว่าก่อนข้ามชายแดนจะแวะกินอาหารกลางวันกันในอิตาลีให้เสร็จเรียบร้อยเพราะราคาจะถูกกว่าในสวิตฯเยอะ ฉันทำการบ้านดูพบว่าอำเภอเล็กจิ๋วสุดท้ายริมชายแดนแห่งนี้มีร้านอาหารน่ากินอย่างมากอยู่หนึ่งแห่ง ตั้งอยู่ในตึกโบราณประวัติยาวที่ผ่านมือเจ้าของมาหลายคน และปัจจุบันลูกชายของเจ้าของตึกนำมาพัฒนาตกแต่งเป็นโรงแรมและทำร้านอาหารแบบร่วมสมัยเปลี่ยนเมนูไปทุกเดือน เราจึงตกลงแวะกินอาหารกันที่นี่และชมเมืองเป็นของแถม

เราไม่คาดคิดเลยว่าเมืองจะน่ารักขนาดนี้ ตัวเมืองเก่าตั้งอยู่ริมแม่น้ำ Adige สถาปัตยกรรมเป็นแบบยุคกลาง ทั้งเมืองถูกล้อมอยู่ในกำแพงป้อมปราการ มีหอคอยเฝ้าระวังป้องกันอยู่บนกำแพง สามารถเดินขึ้นไปชมนิทรรศการที่จัดไว้บนกำแพงเมืองได้ และมีประตูเข้าออกเมืองได้ 3 ประตู

ในเมืองมีถนนปูด้วยหินลัดเลาะไประหว่างอาคารบ้านเรือนแบบโบราณที่ยังมีคนอาศัยอยู่จริง ในระหว่างอาคารเหล่านั้นบางทีก็มีโรงเก็บพืชพรรณธัญญาหาร บางทีก็มีโรงเลี้ยงสัตว์ มีบ่อน้ำดื่ม เรายังเห็นชาวนาเอารถอีแต๋นแล่นเข้ามาที่โรงเก็บของเลย แต่บ้านที่คนอาศัยอยู่จริงหรือที่ดัดแปลงมาเป็นร้านอาหารร้านกาแฟนี้ได้รับการตกแต่งปรับปรุงอย่างทันสมัยสะดวกสบาย น่าอยู่มากๆ

บางตึกมีทางเดินแบบที่เรียกว่า Portico หรือทางเดินที่มีหลังคาคลุมเลียบด้านหน้าตึกตามแบบอิตาลี แต่เป็นแบบที่ออกจะโบราณเรียบง่ายเหมือนเป็นถ้ำมากกว่าที่จะหรูหราอลังการเหมือนตามเมืองใหญ่ ทั้งเมืองมองไปเรียบง่ายสะอาดสะอ้านน่ารักไปหมดทุกซอกทุกมุม แถมยังเห็นเทือกเขาสูงใหญ่ยอดปกคลุมไปด้วยหิมะขาวล้อมรอบเมืองอยู่ จะว่าไปแล้วไม่ต่างจากเมืองในนิทานทีเดียว

การค้นพบเมืองเล็กเพชรในตมแบบนี้ฉันชอบมากๆ ตำราท่องเที่ยวที่ไหนก็ไม่มีบอกเอาไว้ ต้องอาศัยประสบการณ์นักเดินทางเสาะแสวงไปสืบหาเอาเอง เมื่อได้ค้นพบแล้วจึงปลื้มใจและมีความสุขเป็นพิเศษ มารู้ทีหลังว่าเมืองนี้เป็นที่นิยมไปถ่ายหนังกัน และได้ชื่อว่าเป็นเมืองเล็กที่น่ารักที่สุดแห่งหนึ่งของอิตาลีทีเดียว ใครได้ผ่านไปแถวนั้นขอแนะนำให้ไปเที่ยวชมอย่าได้พลาดทีเดียว

และเมื่อขับรถออกจาก Glorenza ข้ามชายแดนเข้าสวิตเซอร์แลนด์เป็นคันโตน Graubunden ปุ๊บ ก็จะถึงหมู่บ้านเล็กๆชื่อ Müstair ฉันเชื่อว่าไม่ว่าใครมาถึงก็คงจะขับรถผ่านไปเลย เพราะเป็นหมู่บ้านที่ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรน่าสนใจอย่างยิ่ง ถึงแม้ทิวทัศน์ภูเขาสูงใหญ่ตระการโดยรอบจะแลดูน่าทึ่งก็ตาม มีบ้านเรือนซึ่งหน้าตาธรรมดาอยู่ไม่กี่หลัง มีโบสถ์ประจำหมู่บ้านแห่งหนึ่งซึ่งจากด้านนอกก็แลดูเหมือนโบสถ์บ้านนอกธรรมดาๆแม้จะมีตัวหนังสือใหญ่เขียนไว้ที่กำแพงว่า Museum ก็ตาม แต่นี่ล่ะ ที่โบสถ์นี้มีคอนแวนต์โบราณชื่อ The convent of St. John in Müstair ที่เป็น 1 ในมรดกโลกยูเนสโกที่มีอยู่เพียง 13 แห่งของสวิตเซอร์แลนด์ทีเดียว

ฉันเคยขับรถทะลุผ่านหมู่บ้านนี้โดยที่ไม่สนใจคอนแวนต์แห่งนี้มาแล้วเช่นกัน ตอนหลังพอมารู้ความสำคัญจึงตั้งใจว่าหากได้ผ่านมาแถวนี้อีกจะต้องมาชมแน่นอน และคราวนี้ต้องขับรถกลับจากอิตาลีเข้ามาผ่านเส้นทางนี้พอดี จึงได้แวะเข้าชม

ความสำคัญของคอนแวนต์นี้ก็คือมีภาพวาดบนผนังในโบสถ์ที่เก่าแก่นับเป็น 1000 ปี โดยเป็นศิลปะจากยุคการปกครองของจักรวรรดิ Carolingian ซึ่งเป็นจักรวรรดิในช่วงปีคริสตศักราชที่ 800 โดยมีอาณาจักรปกครองตั้งแต่บริเวณฝรั่งเศสแผ่ไปจนถึงแถวสวิตเซอร์แลนด์และอิตาลี ยุคนี้ถึงเป็นยุคแรกของจักรวรรดิโรมันเลย และศิลปะจากยุคนี้ก็สูญสลายไปหมดแทบไม่เหลืออยู่แล้ว ดังนั้นภาพวาดในคอนแวนต์แห่งนี้ซึ่งยังมีสภาพที่เห็นได้ชัดดีอยู่ จึงมีความสำคัญจน UNESCO นับเป็นมรดกโลกทีเดียว

ภาพวาดส่วนมากก็จะเป็นฉากจากในไบเบิ้ล และพวกปูนปั้นที่ประดับอยู่ตามเสาและกำแพงต่างๆก็ถือว่าเป็นศิลปะที่มีค่าเช่นกัน การเข้าชมนี้เปิดประตูโบสถ์เข้าไปชมได้เลยไม่ต้องจ่ายสตางค์ใดๆ ฉันได้เดินชมข้างในแล้วก็แอบไปชมสุสานด้านหลังอีกตามธรรมเนียม

ถือเป็นอีกหนึ่งสถานที่อันสำคัญมากของสวิตเซอร์แลนด์ที่ฉันเชื่อว่ายังไม่ค่อยมีคนรู้จัก และอยากแนะนำให้ไปชมกัน

NO COMMENTS