บรรดาประเทศในยุโรปตะวันออกทั้งหลายนั้นไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสักเท่าไร คนไปเที่ยวก็ไม่มาก แต่เป็นเรื่องแปลกที่ว่าหากถามคนไทยรุ่นอายุ 40 ปีขึ้นไปว่าประเทศอะไรเป็นต้นกำเนิดของโยเกิร์ตละก็ ส่วนมากจะต้องตอบได้แน่นอนว่า บัลแกเรีย โดยที่คนตอบรู้เรื่องอื่นเกี่ยวกับประเทศนี้น้อยมาก นี่คือผลของการโฆษณาในยุคนั้นโดยแท้!ฉันเองก็เป็นหนึ่งในคนที่ไม่ได้รู้จักประเทศบัลแกเรียมากไปกว่าโยเกิร์ต และเมื่อเวลาเหมาะสม แปดวันของฤดูใบไม้ร่วงหนึ่ง ฉันก็ได้ไปเยือนและทำความรู้จักกับบัลแกเรียแบบเจาะลึกในที่สุด

ดังนั้นคงต้องเริ่มต้นทำความรู้จักกันที่ประวัติศาสตร์สักนิด บัลแกเรียเป็นประเทศที่มีประวัติยาวนาน ผ่านร้อนผ่านหนาวผ่านระบบการปกครองมามากมาย ประวัติเก่าแก่ที่สุดย้อนไปสมัย Thracian ถึง 1400 ปีก่อนคริสตศักราชนู่น หลังจากนั้นก็ผ่านมาอยู่ในการปกครองของยุคกรีก ยุคโรมัน ยุคไบเเซนไทน์ เปลี่ยนมือมาเป็นออตโตมัน ยุคคอมมิวนิสต์รัสเซีย และก็มาเป็นประเทศเอกราชบัลแกเรียในที่สุด ต่อมาได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปซึ่งทำให้ประเทศมีเศรษฐกิจที่กระเตื้องเติบโตขึ้นจนถึงทุกวันนี้ ดังนั้นการมาเที่ยวบัลแกเรียเราจึงจะได้เห็นสถานที่โบราณในประวัติศาสตร์ย้อนกลับไปหลายพันปี ไล่มาเห็นตึกรามบ้านช่องของเมืองหลวงโซเฟียที่มีกลิ่นอายของดีไซน์แบบคอมมิวนิสต์รัสเซียอยู่มาก และตึกสูงสมัยใหม่ดีไซน์ล้ำยุคที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมที่จะก้าวไปในโลกสมัยใหม่ ทั้งจะได้เห็นวัฒนธรรมของศาสนาต่างๆที่อยู่ร่วมกัน ทั้งมุสลิม คริสเตียน และออร์โธดอกซ์ เป็นความหลากหลายที่สะท้อนให้เห็นประวัติอันยาวนานหลายพันปี

ฉันบินมาลงที่ Sofia เมืองหลวงของบัลแกเรียและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วย พอรับรถเช่าที่สนามบินเสร็จเราก็ขับมุ่งหน้าไปชมสถานที่ในประวัติศาสตร์แห่งแรกกันเลยแม้จะเป็นเวลาเย็นแล้ว นั่นก็คือโบสถ์ Boyana Church ซึ่งเป็นมรดกโลก UNESCO ทีเดียว โบสถ์ตั้งอยู่ท่ามกลางบ้านเรือนคนในชานเมืองโซเฟีย ทางเข้าร่มรื่นไปด้วยต้นไม้มองเข้าไปไม่คิดเลยว่าจะมีสถานที่สำคัญซ่อนอยู่ และเมื่อเดินผ่านสวนเข้าไปถึงโบสถ์ก็พบว่าตัวโบสถ์เล็กมากๆ ด้านนอกก่ออิฐสีแดงเรียบๆดูเหมือนไม่มีอะไรเลย แต่พอเข้าไปข้างในถึงกับต้องร้องว้าวเพราะมีภาพวาดบนกำแพงปูนโบราณที่สวยและเก่าแก่จนสมควรได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจริงๆ ลักษณะภาพวาดบนปูนแบบนี้เป็นอะไรที่ฉันชอบมาก คล้ายกับโบสถ์เล็กๆในต่างจังหวัดของโรมาเนียที่เคยไปชมมา เห็นโบสถ์ที่แรกก็ตื่นตะลึงแล้ว นี่ยังมีอีกหลายสิบโบสถ์ตลอดทริปที่ต้องไปชม อีกเจ็ดวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไรหนอ

โรงแรมที่ฉันเลือกเป็นบูทีคโฮเท็ลเปรี้ยวทันสมัยมาก ขัดกับที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมืองเก่าอันล้อมรอบไปด้วยสถานที่สำคัญทั้งหมด แม้ฟ้าจะเริ่มมืดและอากาศก็เริ่มหนาวแล้ว ฉันก็ต้องขอเดินชมในความมืดเบื้องต้นนิดหน่อยก่อน เท่าที่เห็นโซเฟียสะอาดสะอ้านและแลดูปลอดภัยทีเดียว ค่าครองชีพที่นี่ถูกมากๆ ทุกสิ่งอันราคาไม่แพงเลย ตัวเมืองเองก็กะทัดรัดเพราะมีพลเมืองไม่ถึง 2ล้านคน แลดูเป็นเมืองและประเทศเล็กที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานผ่านอะไรมาเยอะ และกำลังแหวกม่านเหล็กเบ่งบานออกสู่โลกสมัยใหม่อย่างช้าๆ

สำหรับสถานที่เที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองโซเฟียนั้นอยู่ทางตะวันออกของตัวเมืองเก่า ซึ่งก็สะดวกมากเพราะโรงแรมของฉันนั้นอยู่ใกล้ทุกสิ่งอันแบบเดินได้ใน 5 ถึง 10 นาทีเลย สถานที่สำคัญทั้งหลายส่วนมากจะเป็นโบสถ์และวิหาร เช่น Cathedral Saint Aleksandar Nevski วิหารนิกายออร์โธด็อกซ์ที่สวยงามและเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สุดของเมืองก็ว่าได้

แต่โบสถ์ที่ฉันชอบมากกว่า เพราะน่ารักกระทัดรัดและสวยมากก็คือ Russian Church ซึ่งแทบจะอยู่ตรงข้ามกับโรงแรมเลย ช่วงเวลาที่ฉันเข้าไปเป็นเวลาที่เขามีการร้องเพลงและทำพิธีมิสซากันพอดี ขนลุกมาก อันที่จริงแล้วฉันว่านิกายออร์โธด็อกซ์นี้เขามีพิธีมิสซาที่สวยงามและไพเราะกว่าศาสนาคริสต์นิกายอื่นนะ นอกจากเขาจะร้องเพลงสวดอย่างไพเราะไปถึงหัวใจแล้ว พระยังเดินแกว่งลูกตุ้มที่มีกลิ่นกำยานหอมฟุ้งไปพรมรดให้พรคนที่มาร่วมพิธีด้วย สร้างบรรยากาศได้ดีไปอีก โชคดีจริงๆที่มาทริปนี้หลายโบสถ์ที่ฉันเข้าไปเยือนเป็นจังหวะที่มีพิธีมิสซาตอนเย็นพอดี จึงได้ร่วมในประสบการณ์นี้หลายครั้ง ชอบมากๆ

สถานที่สำคัญอื่นๆในเมืองเราก็มักจะชมได้เพียงแค่ด้านนอกเพราะจะเป็นอาคารทำการ เช่นทำเนียบประธานาธิบดี ตึกทำการของพรรคคอมมิวนิสต์เก่า ซึ่งสถาปัตยกรรมทั้งหลายนี้จะเป็นแบบคอมมิวนิสต์เสียมาก คือเป็นเหลี่ยมๆ ใหญ่ ดุดันแข็งกร้าว ไม่มีความอ่อนช้อย ส่วนอาคารอื่นๆในเมืองต้องบอกว่า ทรุดโทรมและค่อนข้างเชยด้วยอิทธิพลของคอมมิวนิสต์ ไม่ค่อยมีตึกที่สวยเลย อันที่จริงตึกที่โมเดิร์นแบบสุดๆก็มีกระจายทั่วไปในเมืองอยู่บ้าง ซึ่งจะเป็นตึกสูงสำหรับธุรกิจเสียมาก แต่ในย่านเมืองเก่านั้นอาคารทั้งหลายนี้จะเป็นแบบคอมมิวนิสต์เสียมากกว่า

นอกจากโบสถ์ทั้งหลายแล้วก็ยังมีมัสยิดและสุเหร่ายิวที่ใหญ่และสวยงามปะปนแทรกอยู่ในเมืองด้วย เนื่องจากประเทศบัลแกเรียนี้มีประวัติผ่านมือมาหลายศาสนา ทำให้เห็นสถาปัตยกรรมที่เป็นร่องรอยของประวัติศาสตร์ที่ผสมกลมกลืนกันจากทุกศาสนา

ที่ฉันว่าแปลกมากอีกอย่างคือ ใจกลางเมืองเลยตรงสถานีรถใต้ดินหลักนั้น เขาขุดไปขุดมาแล้วพบเมืองโบราณสมัยโรมันอยู่ต่ำลงไป ก็เลยอนุรักษ์เอาไว้ให้เห็นชนิดที่เราเดินเล่นอยู่ในเมืองก็เห็นซากโบราณบนพื้นระดับต่ำลงไป โดยสามารถลงไปเดินชมและอ่านป้ายคำอธิบายต่างๆได้เลย มีทั้งส่วนที่เป็นบ้านเรือนเก่า ส่วนห้องน้ำสาธารณะ ห้องอาบน้ำซาวน่าสาธารณะ และอื่นๆอีกมากมาย ชวนให้คิดว่าใต้เมืองโซเฟียนี้น่าจะมีซากเมืองโรมันใหญ่ยักษ์ซ่อนอยู่ที่ยังขุดค้นไม่พบอีกมากมาย

ตกค่ำเราได้เดินชมในถนนคนเดินซึ่งเป็นสาย Shopping และร้านอาหารบาร์หลักด้วย คือ Vitosha Boulevard บรรยากาศยามค่ำคืนก็จะคึกคักเก๋ไก๋กว่าบริเวณอื่นของเมือง แต่โดยรวมแล้วฉันก็ว่าเมืองหลวงของประเทศบัลแกเรียนี้ยังล้าหลังความทันสมัยของประเทศอื่นอีกมาก แต่ก็ด้วยความล้าหลังนี่แหละทำให้ค่าของชีพถูกมากสำหรับนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารโรงแรมหรืออะไรต่างๆ ราคาถูกจริงๆ เวลาจ่ายอะไรทีจึงมีความสุขมาก

วันต่อมาเราไปชม Rila Monastery กัน ซึ่งสถานที่นี้อยู่ในอันดับต้นๆที่ฉันอยากมาเห็นทีเดียว เพราะนอกจากจะเป็นมรดกโลก UNESCO แล้ว ยังเป็นสถานที่สำคัญอย่างมากของบัลแกเรีย ทั้งในแง่ประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ศาสนา และสถาปัตยกรรม ขนาดที่พิมพ์อยู่บนธนบัตรเขาเลย

จากเมืองหลวงโซเฟียเราขับรถไปราวชั่วโมงครึ่ง อารามนี้อยู่ลึกเข้าไปในหุบเขา Rila ทางก่อนถึงจึงเป็นป่าครี้มคดเคี้ยวไปในเขา ช่วงฤดูใบไม้ร่วงนี้ป่าเป็นสีเขียวอ่อนเจือเหลืองและส้ม สวยงามมากๆ ค่อยๆขับชมธรรมชาติไปก่อนถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ นับเป็นการเตรียมใจให้สงบอย่างดี

อารามนี้เก่าแก่นับพันปี ก่อตั้งในศตวรรษที่ 10 ประวัติความศรัทธาเขาแข็งแรงมาก เพราะนักบวชบำเพ็ญศีลคือ Saint Ivan ได้ปลีกวิเวกมาบำเพ็ญตนอยู่ที่นี่อย่างสมถะนับสิบปี เรียกว่ากินนอนบนดินอยู่กับป่าตัดขาดจากทุกสิ่งโดยแท้ ต่อมามีผู้ศรัทธาตามมาศึกษาวิชาด้วยมากมาย ลูกศิษย์เหล่านี้จึงมาสร้างอารามนี้ขึ้นเพื่อพักอาศัยเวลามาพบเซ้นต์อิวาน ผู้นำประเทศไม่ว่าจะยุคไหนๆต่างก็ศรัทธาอารามนี้และความศักดิ์สิทธิ์น่านับถือของเซ้นต์อิวานกันทั้งนั้น อาคารในเขตอารามจึงถูกต่อเติมใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ และในศตวรรษที่ 19 ก็มีการสร้างโบสถ์ขึ้นตรงใจกลางลาน ซึ่งอยู่ในอารามที่เสมือนป้อมปราการกำแพงสูงล้อมรอบปกป้องไว้

นอกจากสถาปัตยกรรมแล้ว ความน่าตะลึงของโบสถ์นี้ก็คือจิตรกรรมฝาผนังสีสดใสโดยรอบที่เล่าเรื่องต่างๆในศาสนานิกายออร์โธดอกซ์ สวยมากๆ ส่วนเรื่องราวนั้นฉันโชคดีมีสามีเล่าให้ฟัง จึงได้เข้าใจเรื่องราวไปด้วยบ้าง

ในบริเวณยังมีพิพิธภัณฑ์สองแห่ง ฉันเข้าไปชมเฉพาะอันที่เป็นครัวและโรงเก็บอาหารของอารามในอดีต เพราะชอบดูอาคารและการใช้งานของมันในอดีต ฉันว่าสนุกกว่าพิพิธภัณฑ์ที่เล่าเรื่องศาสนาเป็นหลัก ใครไปบัลแกเรีย บอกเลยว่า พลาดที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึง

NO COMMENTS

LEAVE A REPLY