ฉันไปเที่ยวนครวัดมา 2 ครั้ง ครั้งแรกกับครั้งที่สองห่างกัน 19 ปี ถึงแม้ครั้งที่สองจะไปซ้ำหลายที่แต่ก็ยังชอบมากๆ และสนุกไม่แพ้ครั้งแรกเลย แต่ในครั้งที่ 2 นี้ได้มีประสบการณ์ที่ต่างไปจากครั้งก่อน ก็คือการตื่นไปรอชมพระอาทิตย์ขึ้นที่นครวัดตอนตีสี่

เราไปถึงตัวนครวัดตั้งแต่ฟ้ายังมืดสนิท แต่คนที่ตั้งใจมายามเช้ามืดนั้นมากพอควรทีเดียว ไกด์ผู้เชี่ยวชาญของเราพาเดินไปทางที่คนอื่นไม่ไปกัน จึงได้ยืนชมนครวัดในเงาตะคุ่มแบบมีแต่เรา ตีห้านิดๆ ฟ้าก็ขาวแล้ว แต่อากาศไม่ดี เมฆมัวเยอะ เป็นอันว่าจะไม่ได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นแบบดวงกลมโตแน่นอน แต่เราก็ไปยืนรอที่ริมบารายหรือบ่อน้ำที่สะท้อนเงานครวัดด้านหน้า อันเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยมพลาดไม่ได้ร่วมกับนักท่องเที่ยวอื่นมากมาย ได้เก็บรูปในแสงมืดจนสว่าง แม้จะไม่ได้รูปพระอาทิตย์ก็ตาม




จากนั้นเราก็เข้าเดินชมส่วนต่างๆ ภายใน นครวัดนี่คือวัด ตรงตามชื่อเลย สร้างโดยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ตอนต้นศตวรรษที่ 12 เพื่ออุทิศเป็นเทวลัยแด่พระวิษณุตามความเชื่อของศาสนาฮินดู ก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกลายเป็นวัดในศาสนาพุทธในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 นับเป็นศาสนสถานที่ใหญ่ที่สุดในโลก นครวัดถือเป็นจุดสูงสุดของรูปแบบการสร้างสถาปัตยกรรมเขมรแบบดั้งเดิม ด้วยความสำคัญทั้งหมดดังนี้ จึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกโดยยูเนสโก้


ผนังกำแพงด้านในของอาคารส่วนระเบียงคดนั้น แกะภาพสลักนูนต่ำเป็นเรื่องราวมากมายของฮินดู มีรูปแกะเป็นพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ด้วย ฟังไกด์เล่าสนุกมาก




และส่วนที่ต้องขึ้นชมคือพระปรางตรงกลางที่สร้างบนฐานเป็นชั้นขึ้นไปเสมือนเป็นเขาพระสุเมรุ ตรงกลางมีพระปรางห้ายอด ซึ่งด้านบนมองออกไปจะเห็นวิวโดยรอบ สมัยที่ไปเมื่อครั้งแรกในปีที่ 2547 นั้น บันไดปีนขึ้นลงพระปรางนี้ชันและขั้นเล็กมาก กร่อนอีกต่างหาก เวลาเดินลงน่าหวาดเสียว แต่ตอนนี้เขาสร้างบันไดให้เดินขึ้นเดินลงมีราวจับ ง่ายกว่าเดิมเยอะมาก



นครวัดนี้นอกจากจะเป็นศาสนสถานแล้ว ยังมีการสันนิษฐานอีกด้วยว่าพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 อาจจะทรงสร้างขึ้นเพื่อให้เป็นที่เก็บพระศพของพระองค์เอง เนื่องจากปราสาทหันหน้าไปทางทิศตะวันตกตามธรรมเนียมของสถานที่เก็บศพ แต่ก็มีผู้สันนิษฐานแย้งว่า ศาสนสถานแห่งนี้สร้างเพื่ออุทิศให้แก่พระวิษณุซึ่งเป็นเทพประจำทิศตะวันตกอยู่แล้ว นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์แต่ละคนก็มีข้อสันนิษฐานต่างกันไปโดยหยิบยกหลักฐานที่มีอยู่ต่างๆ กันมาตีความ น่าสนใจดี


สิ่งที่ฉันชอบดูอีกอย่างก็คือรูปแกะสลักนางอัปสรที่มีมากกว่า 1,796 นางทีเดียว และทั้งหมดยังมีเครื่องแต่งกายและทรงผมที่ไม่ซ้ำกันด้วย ช่างละเอียดลออยิ่งใหญ่อลังการจริงๆ มีนางอัปสรสองนางซึ่งต่างไปและเป็นที่สนใจของนักท่องเที่ยว ก็คือนางที่อยู่บนยอดพระปรางค์ตรงกลางนางหนึ่ง อ้าปากนิดๆ แล้วแลบลิ้นซึ่งมีสองแฉกออกมา ถ้าดูไม่ดีจะมองไม่เห็น แต่ถ้าใช้กล้องถ่ายรูปตบแสงเข้าไปแล้วจะเห็นได้ชัดเลย และอีกนางหนึ่งซึ่งอยู่ตรงประตูทางออกซ่อนอยู่ในมุมซึ่งเดินไปไม่ได้ ต้องเขย่งยื่นหัวไปดู นางนี้เป็นนางเดียวที่ยิ้มแล้วเห็นฟันเรียงเป็นแถวเลย


อันว่ารายละเอียดและประวัติศาสตร์ของนครวัดนี้มีมากมาย ฉันว่าถ้าจะให้สนุกต้องไปเดินดูให้เห็นของจริงพร้อมกับฟังเรื่องราวไปด้วยจะดีกว่าอ่านคำบรรยายอย่างเดียว

ในบรรดาซากปราสาทปรักหักพังทั้งหลายที่นครวัดนั้น ภาพที่ใครๆ ก็ต้องไปถ่ายรูปเช็คอินเพื่อเป็นที่ระลึก จึงจะรู้สึกว่ามาถึงแล้ว น่าจะเป็นปราสาทตาพรหม หรือที่ใครๆ เรียกว่า ปราสาท Tomb Raider ตามภาพยนตร์ที่แองเจลิน่า โจลี่ แสดงนั่นเอง






















ปราสาทตาพรหมนั้นสร้างขึ้นราวปลายคริสต์ศตวรรษที่ 12 ถึงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เพื่อเป็นสถานศึกษาและศาสนสถานของศาสนาพุทธนิกายมหายาน หลังจากจักรวรรดิเขมรได้ล่มสลายลงราวคริสต์ศตวรรษที่ 15 ปราสาทตาพรหมก็ถูกทิ้งร้างและไม่ได้รับการพูดถึงมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ อาคารต่างๆ ของปราสาทจึงถูกรากต้นสะปงชอนไชและเติบโตบนปราสาท จนกลายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากต้นสะปงล้มลงก็อาจถอนรากถอนโคนปราสาทไปด้วย การดูแลรักษาสภาพปราสาทนี้ จึงต้องเก็บรักษาต้นไม้ใหญ่เดิมไว้ให้มากที่สุด ทำให้ปราสาทตาพรหมมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนปราสาทอื่นๆ ในนครวัด แลดูลึกลับ มีมนตร์ขลัง แปลกตา และต้องมาถ่ายรูปเก็บไว้






สำหรับหลายคน นครวัดอาจจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากกว่านครธม แต่อันที่จริงแล้วนครธมนั้นมีขนาดใหญ่กว่านครวัดมากถึงเกือบ 6 เท่าทีเดียว

นั่นก็เพราะนครวัดเป็นศาสนสถาน หากแต่นครธมเป็นเมืองสำหรับผู้คนอาศัยอยู่ และได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงแห่งสุดท้ายของอาณาจักรขะแมร์โดยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ซึ่งก็ได้ทรงสร้างอาคารเพิ่มเติมขึ้นอีกมากมายหลายแห่งในนครธม โดยเฉพาะปราสาทบายนซึ่งอยู่ใจกลางพระนคร สร้างขึ้นเมื่อปลายศตวรรษที่ 12 เพื่อเป็นวัดประจำรัชกาล วัสดุที่ใช้คือหินทรายสีแดงหรือศิลาแลง มีลักษณะเด่นพิเศษด้วยพระพักตร์ยิ้ม 4 หน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 หันไป 4 ทิศบนหอจำนวน 49 หอ แม้ปัจจุบันจะเหลือเพียง 37 หอ ความโดดเด่นนี้ทำให้เรียกสถาปัตยกรรมแบบนี้ว่าสถาปัตยกรรมแบบบายนทีเดียว


ปราสาทบนบายนมีระเบียงคดล้อมรอบอยู่ 2 ชั้น เป็นชั้นในและชั้นนอก ซึ่งมีเสาหินเรียงรายและมีรูปสลักนูนต่ำของนางอัปสรและรูปสลักภาพชีวิตต่างๆ ในสมัยนั้น ที่โดดเด่นเห็นชัดก็คือภาพการรบระหว่างขอมกับจาม ไกด์ชี้ให้ดูว่าพวกจามจะมีผมมวยเป็นก้อนไม่เหมือนคนขอม


จุดเด่นสวยงามของนครธมอีกอย่างก็คือ ตรงถนนที่มุ่งเข้าสู่ประตูเมืองนั้น ทั้งสองฝั่งสะพานทำเป็นแถวของยักษ์ในทางด้านขวา และเทวดาทางด้านซ้าย เรียงรายแบกพญานาคอยู่ อันเป็นภาพจำลองของเรื่องราวของการกวนเกษียรสมุทรนั่นเอง เรื่องกวนเกษียรสมุทรนี้ฉันชอบมาก เพราะรู้สึกว่า แหมจินตนาการคนคิดช่างบรรเจิดจริงๆ คิดได้อย่างไร เอาภูเขามาตั้งบนมหาสมุทรแล้วจับพญานาคมาใช้แทนเชือกให้ยักษ์กับเทวดาช่วยกันชักเย่อหมุนปั่นกันอย่างกับมูลิเน็กซ์เพื่อเอาน้ำอมฤตออกมา แล้วก็มีสิ่งต่างๆ กระเด็นกระดอนขึ้นมาจากก้นสมุทรด้วย เช่นดวงจันทร์ ช้างเอราวัณ หอยสังข์ พระลักษมี นางอัปสรจำนวนมากมาย และที่สำคัญที่สุดคือก็คือหม้อน้ำอมฤต และในที่สุดเมื่อได้น้ำอมฤตแล้วเทวดาก็จะกินแต่ฝ่ายเดียวไม่ยอมให้พวกยักษ์กิน เรื่องนี้ขอละไว้ไม่เล่าเพราะหลายท่านคงจะทราบอยู่แล้ว แต่ฉันนี่ชอบมากเลยตรงที่เป็นตำนานให้เกิดเรื่องของราหูอมจันทร์และอมพระอาทิตย์นี่แหละ



ในบริเวณติดกับปราสาทบายนนี้ยังมีกลุ่มอาคารอื่นๆ อีกมากมาย เช่น Terrace of the elephants ซึ่งเป็นที่ชมมหรสพการแสดง มีหอคอยหลายหอซึ่งใช้ขึงเชือกให้ขึ้นไปเดินผาดโผน เป็นต้น

ไม่ไกลกันเราได้ไปชมปราสาทพระขรรค์ หรือ Preah Khan เป็นวัดซึ่งพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 สร้างถวายสมเด็จพระราชบิดาและเชื่อว่ามีอัฐิของพระราชบิดาเก็บอยู่ในเจดีย์ที่นี่ด้วย พระพุทธรูปทั้งหลายถูกทำลายไปเกือบหมด ที่น่าสนใจคือภาพสลักนูนต่ำบนผนังเป็นรูปฤๅษีนั่งบำเพ็ญพรตในท่าชันเข่าและไขว้เท้า และภาพแกะนารายณ์บรรทมสินธุ์ที่มือของพระนางลักษมีจับอยู่ที่ด้านล่างของขาของพระนารายณ์แทนที่จะเป็นข้างบน








กับอาคารอีกแห่งซึ่งแม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็แปลกตา เพราะแลดูเหมือนกับอาคารของยุคโรมันอย่างไรอย่างนั้นด้วยเสากลมที่เรียงกันอยู่ทั้งสองด้าน หากแต่เป็นสีแดงเพราะหินทรายแทนที่จะเป็นสีขาวอย่างโรมัน

สุดท้ายเราไป Neak Poan temple หรือปราสาทนาคพันธ์ ที่มาของชื่อก็คือเจดีย์ซึ่งมีพญานาค 7 เศียรสองตัวที่ขดพันโอบล้อมฐานของปราสาทนั่นเอง ปราสาทนี้อยู่กลางสระสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ มีบ่อน้ำขนาดเล็กตั้งอยู่โดยรอบทั้ง 4 ทิศ คาดว่าเป็นลักษณะการจำลองของสระอโนดาตนั่นเอง



การไปชมปราสาทต่างๆ ที่นครวัดและนครธมนี้ ถ้าได้ไกด์ดีๆ ที่เล่านิทานเก่งๆ จะสนุกมาก เพราะรูปแกะสลักทั้งหลายนั้นจำลองมาจากเรื่องราวใน รามเกียรติ์และปกรณัมจากศาสนาฮินดูซึ่งพวกเราคนไทยจะรู้จักอยู่แล้ว ฉันไปทีไรยืนฟังไกด์เล่านิทานอ้าปากหวออย่างสนุกมากทุกครั้งเลย

วันสุดท้ายเราจะไปเที่ยวสถานที่เพียงแค่สองที่เท่านั้น ซึ่งควรจัดเอาไว้ในทริปเดียวกัน เพราะอยู่ไกลออกนอกเมืองเสียมเรียบไป 1 ชั่วโมงกว่า และอยู่ในทางเดียวกัน นั่นก็คือกบาลสเปียน Kbal Spean และ บันทายศรี Banteay Srei



ใครจะไปกบาลสเปียน ต้องฟิตในการเดินนิดหน่อย เพราะเราจะต้องเดินเข้าไปในป่าเป็นระยะทางประมาณเกือบ 2 กิโลเมตร และใช้เวลาเดินไปกลับประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง จะมีการเดินขึ้นบันไดแล้วไต่ปีนไปตามก้อนหินและรากไม้ด้วย แต่พอไปถึงจุดหมายซึ่งเป็นแม่น้ำและน้ำตกแล้วนั้นต้องบอกเลยว่าคุ้มค่าแห่งการเดินจริงๆ เพราะ นี่คือแม่น้ำแห่งหนึ่งพันศิวลึงค์ หรือฝรั่งเรียกว่า Valley of a 1000 Lingas หรือ The River of a Thousand Lingas นั่นก็เพราะบรรดาหินริมตลิ่งน้ำและที่จมอยู่ในแม่น้ำตื้นๆ นั้น ได้ถูกแกะสลักเป็นศิวลึงค์ที่มองจากมุมบนแล้วเป็นแป้นกลมๆ เรียงติดๆ มากมายเต็มไปหมด รวมทั้งมีศิวลึงค์ที่อยู่ในโยนีด้วย นอกจากนั้นยังมีก้อนหินที่แกะสลักเป็นพระศิวะ พระวิษณุ และพระพรหมกระจายกันอยู่ทั่วไปในบริเวณแม่น้ำ นั่นก็ด้วยเพราะความเชื่อที่ว่า น้ำที่ไหลผ่านเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดแล้วจะกลายเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ เมื่อสายน้ำนี้ไหลลงมาที่ปลายน้ำเข้าสู่เมืองนครวัดนครธมเบื้องล่างให้ผู้คนใช้ก็จะเป็นน้ำที่มีความศักดิ์สิทธิ์และเป็นมงคล








ส่วนปราสาทบันทายศรีนั้นถือเป็นปราสาทที่สวยงามที่สุดของกัมพูชาเลย เพราะถึงแม้จะสร้างเสร็จมาแล้วถึง 1000 กว่าปีแต่ก็ยังมีความสวยงามและสมบูรณ์อยู่มาก ลวดลายแกะสลักลงไปในหินอันอ่อนช้อยอย่างไม่น่าเชื่อนั้นแทบจะไม่มีความเสียหายใดๆอยู่เลย หลายจุดยังคมชัด ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆ นั่นก็เพราะหินที่ใช้สร้างปราสาทนี้เป็นหินทรายสีชมพูซึ่งหายากและมีความแข็งกว่าศิลาแลงที่สร้างปราสาทอื่นๆ ปราสาทนี้สร้างอุทิศถวายพระอิศวร มีรูปแกะสลักที่เกี่ยวกับพระอิศวร พระอินทร์ พระนารายณ์ พระศิวะ ไกด์ของเราเล่านิทานเกี่ยวกับฉากต่างๆ ที่แกะสลักอยู่ให้ฟังอย่างสนุกสนานมากมายหลายเรื่อง จำกันไม่ไหวเลย











และเมื่อพูดถึงไกด์ ก็จำเป็นต้องเล่าถึงไกด์ในทริปนี้ของเรา ฉันไปเที่ยวมาแล้ว 90 กว่าประเทศ มีไกด์พาเที่ยวไม่รู้ว่ากี่คนไม่เคยนับ แต่มีอยู่สองคนเท่านั้นที่ให้คะแนนเต็ม 10 คนหนึ่งเป็นไกด์ท้องถิ่นที่เกาะ Easter ประเทศชิลีที่เคยเขียนเล่าเอาไว้ในหนังสือ “ชิลี สวรรค์อยู่ใกล้แค่ใต้ฟ้า” และอีกคนหนึ่งนั้นเป็นไกด์ชาวเขมรที่พาฉันเที่ยวชมนครวัดนครธมเมื่อปี 2547 คือคุณสำนัง หรือที่เราเรียกว่าคุณแซม ผู้ที่ฉันประทับใจจนต้องย้อนกลับไปตามหาให้มาเป็นไกด์พาชมนครวัดอีกครั้งในทริปนี้

ครั้งแรกเรารู้จักคุณแซมก็เพราะพี่สาวของเพื่อนสนิทที่เป็นเจ้าของบริษัท Unithai Trip จัดทริปและแนะนำคุณแซมให้มาเป็นไกด์ของเรา บอกว่าคนนี้แหละดีที่สุดแล้ว เพราะเป็นไกด์ที่พาผู้หลักผู้ใหญ่ของไทยชมนครวัด และเราก็ประทับใจจริงๆ ตลอดสามวันคุณแซมเล่าเรื่องเทพเจ้าฮินดู ปกรณัม รามายณะ และประวัติของนครวัดนครธมให้เราฟังอย่างสนุกสนาน เขาเป็นคนสุภาพและเรียบร้อยมาก พูดจาเสียงทุ้มนิ่งเนิบช้า สุขุมลุ่มลึก ไม่มีโหวกเหวกกระโดกกระเดกใดๆ เล่าเรื่องอะไรจึงเหมือนมีเสียงมนต์สะกด พวกเราฟังแล้วอ้าปากหวอเหมือนเด็กฟังนิทาน

19 ปีผ่านไปแต่พวกเรา 7 คนไม่เคยลืมคุณแซมเลย ทุกครั้งที่เราพูดถึงทริปนครวัดทีไรเราก็จะต้องพูดถึงคุณแซมกันทุกครั้ง มาจนถึงปีนี้ที่อยากจะกลับไปเที่ยวอีกครั้ง ฉันจึงไม่อยากไปกับไกด์อื่นใดอีก ต้องเขียนข้อความไปหาพี่สาวว่าจะเป็นไปได้ไหมที่จะสืบตามหาคุณแซมอีกครั้ง ใช้เวลาสักครู่พี่สาวก็เขียนตอบกลับมาว่า ตามเจอแล้ว และให้เบอร์โทรศัพท์มาเขียน WhatsApp คุยตรงกันเองเลย ฉันเขียนไปโดยที่ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก จะติดต่อได้หรือเปล่าก็ไม่รู้ และถึงติดต่อได้คุณแซมจะยังรับงานอยู่ไหม แต่ปรากฏว่าคุณแซมตอบกลับมาบอกว่ายังเป็นไกด์อยู่เหมือนเดิม และยินดีอย่างยิ่งที่จะจัดทริปทุกอย่างให้เรา ฉันดีใจเป็นที่สุด บอกคุณแซมไปว่าขอรถตู้หนึ่งคันพร้อมคนขับ และขอให้คุณแซมเป็นไกด์ทั้งสามวัน ช่วยทำรายการเที่ยวให้ด้วยสำหรับสี่คน ส่วนโรงแรมและร้านอาหารนั้นเราขอจัดการเอง

ถึงกระนั้นก่อนไปฉันก็ยังเผื่อใจอยู่ว่าคุณแซมจะยังเป็นไกด์ที่ดีมีไฟอย่างเดิมหรือเปล่า คนเราเล่าเรื่องเดิมๆมา 20 กว่าปีอาจจะเบื่อและคุณภาพตกแล้วก็ได้ แต่ปรากฏว่าคุณแซมยังคงคุณภาพไกด์มือวางอันดับหนึ่งในใจของฉันได้เช่นเดิม ยังเล่าเรื่องสนุก ความรู้แน่น และดูแลพวกเราเป็นอย่างดี ทุกคนประทับใจมากๆ

คุณแซมพูดได้คล่องและชัดเจนทั้งภาษาเขมร อังกฤษ และไทย สาเหตุก็เพราะเขาโตมาในค่ายผู้ลี้ภัยที่ชายแดนจังหวัดปราจีนบุรี ชีวิตคุณแซมช่างเหมือนกับที่เราเห็นในหนัง หากใครรู้เรื่องแล้วจะต้องรู้สึกนับถือเขาอย่างที่ฉันรู้สึกแน่ๆ คุณแซมเกิดเมื่อปีพ.ศ. 2512 อาศัยอยู่ในหมู่บ้านต่างจังหวัดทางตะวันตกเฉียงเหนือของเขมร พ่อแม่ทำนาและทำไร่ พออายุหกขวบ เช้ามืดวันหนึ่งพ่อแม่ของคุณแซมออกไปถางป่าตั้งแต่ตีสี่ พอรุ่งเช้าเขมรแดงก็บุกเข้ามาในหมู่บ้านและต้อนชาวบ้านรวมทั้งคุณแซมและเด็กๆ คนอื่นให้ออกเดินทางไป คุณแซมจึงไม่เคยเจอพ่อแม่อีกเลยและต้องใช้ชีวิตร่อนเร่ทำงานหนักทุกวันไม่เคยได้เล่นเหมือนเด็ก ทำทุกอย่างตามแต่เขมรแดงจะออกคำสั่ง เขาพยายามถามถึงพ่อแม่แต่ก็ไม่เคยมีใครได้ข่าวคราวเลย จนเมื่อเขาอายุสิบกว่าปีก็ได้เจอคนที่เดินทางมาและบอกว่าใช้ชีวิตอยู่ในค่ายผู้อพยพ ได้เรียนหนังสือ ไม่ต้องลำบาก ฟังแล้วคุณแซมพร้อมทั้งเพื่อนวัยรุ่นคนอื่นจึงตัดสินใจหนีพวกเขมรแดงแล้วเดินเท้าไปเป็นเวลาสามวันจนถึงค่ายผู้อพยพที่ชายแดนตรงปราจีนบุรี เขาใช้ชีวิตอยู่ในค่ายถึง 9 ปี เรียนหนังสือจนจบชั้นมัธยม ซึ่งเป็นเรื่องไม่ง่ายเพราะเขาต้องเริ่มเรียนป. 1 เมื่อตอนอายุ 15 ปี แต่เขาก็ทำได้ พอเขมรแดงแตกเขาจึงเดินทางออกจากค่ายมาอยู่ที่เมืองเสียมเรียบ แล้วตัดสินใจเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยจนจบปริญญาตรีด้านการท่องเที่ยว แล้วออกมาเป็นไกด์อยู่ที่เสียมเรียบจนบัดนี้ อันที่จริงคุณแซมเล่ารายละเอียดให้เราฟังมากมาย กว่านี้ ฟังแล้วไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้าเราผ่านความยากลำบากและชีวิตที่โดดเดี่ยวมาตั้งแต่หกขวบแต่สามารถเติบโตขึ้นมาเป็นบุคคลที่สวยงาม มีความรู้ความสามารถ กิริยามารยาทนุ่มนวล เป็นผู้ดีอย่างที่สุด ดูไม่ออกเลยว่าเขาผ่านชีวิตมาอย่างเข้มข้น บอกได้คำเดียวว่าฉันนับถือคุณแซมมาก ถ้าฉันอยู่ในสภาพเช่นนั้นไม่รู้จะรอดเติบโตมาเป็นคนดีมีคุณภาพอย่างคุณแซมได้หรือเปล่า

อยากจะแนะนำเลยว่า หากใครไปเที่ยวนครวัดติดต่อให้คุณแซมพาเที่ยวได้เลย ไม่ต้องผ่านบริษัททัวร์ใดๆ เขียน WhatsApp หาคุณแซมได้เลย อยากได้อะไรบอกไปเดี๋ยวคุณแซมจัดให้ สำหรับทัวร์ของเรานั้น สามวันเต็มสำหรับสี่คน มีคุณแซมอยู่กับเราเต็มเวลา มีคนขับรถที่ขับดีมากพร้อมรถตู้นั่งสบายหนึ่งคัน (ฉันจองโรงแรมแยกต่างหากเอง จ่ายค่าอาหารกลางวันเอง และ จองร้านอาหารเย็นและเรียกรถไปเอง) ราคา 258 เหรียญต่อคน หรือ 8000 กว่าบาท เท่านั้น คุ้มมากๆ

ติดต่อคุณแซมได้ทาง WhatsApp ที่เบอร์ +85512829930 หมายเหตุ ปกติคุณแซมเรียบร้อย แต่ในรูปฉันบอกให้ทำท่านางอัปสรหน่อยก็อุตส่าห์ทำให้ ดูสิน่ารักขนาดไหน
