ฉันชอบสะพานแขวนเอามากๆ และในที่สุดก็ได้ไปเดินสะพานแขวนนี้สมใจหลังจากที่วางแผนและจดจ้องให้อากาศดีท้องฟ้าเปิดมาสองปี!

สะพานนี้คือ Peak Walk by Tissot ที่ Glacier 3000 ใกล้เมือง Les Diablerets ทางฝั่งที่พูดฝรั่งเศสของสวิตเซอร์แลนด์ จะไปถึงได้ต้องขับรถไต่เขาคดเคี้ยววกวนจากเมือง Montreux ไปพอสมควร จากนั้นต้องนั่งกระเช้าแขวนขึ้นภูเขาไปสองกระเช้าจึงจะถึงด้านบนที่ความสูง 3000 เมตรเหนือน้ำทะเล ค่าขึ้นกระเช้าไปกลับราคาคนละ 80 สวิสฟรังก์ แต่ถ้ามีบัตรครึ่งราคารายปีก็จะเหลือเพียงแค่ 40 ฟรังก์ พอขึ้นไปถึงแล้วข้างบนมีกิจกรรมให้ทำหลายอย่าง มีรถ Toboggan ที่ไหลมาตามรางระทึกใจอย่างที่คนไทยชอบไปเล่น แต่วันที่ฉันไปนั้นไม่เปิดให้บริการ แล้วก็ยังมีเส้นทางเดินเขาอีกหลายเส้น แต่อย่างแรกเลยฉันรีบเดินไต่บันไดสูงลิ่วขึ้นไปตรงจุด Peak Walk ก่อนอื่นใด

สะพานนี้เชื่อมอยู่กับยอดเขาสองจุด คือจุดแรกที่เราไปถึงและเป็นจุดชมวิว กับเขาอีกยอดหนึ่งชื่อ Scex Rouge ซึ่งสูงกว่าอีกยอดหนึ่งประมาณ 5 เมตร ตัวสะพานมีความยาว 107 เมตรและกว้าง 80 เซนติเมตร ก่อสร้างแข็งแรงหนาแน่น มีราวกันตกอย่างมั่นคง เดินไปไม่มีความหวาดเสียวเลยแม้แต่น้อย ได้หยุดดูวิวถ่ายรูปอย่างสะใจ จะวิ่งเล่นก็คงน่าจะได้แต่ฉันก็ไม่ได้วิ่ง เกรงใจคนอื่นบนสะพานเขา

จากสะพานนี้มองเห็นยอดเขาสำคัญของสวิตเซอร์แลนด์ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็น Matterhorn, Mont Blanc, Eiger, Mönch หรือ Jungfrau และยังมองเห็นธารน้ำแข็งใหญ่มากอยู่ข้างล่างซึ่งสามารถลงไปเดินได้อีก

สะพานนี้แม้จะเปิดให้เดินได้ทั้งปี แต่ถ้ามาในช่วงอากาศไม่ดีเมฆหมอกปิดหมดก็จะไม่เห็นอะไรเลย ถ้ามาหน้าหนาวอากาศดีก็จะสวยไปอีกแบบ ทุกอย่างจะขาวไปหมด แต่ฉันว่ามาหน้าร้อนนี่แหละชัวร์ที่สุดว่าท้องฟ้าจะเปิดและมองเห็นวิวสวยๆ

ที่ Glacier 3000 นี้นอกจากจะไปเดินบนสะพานแขวน Peak Walk ได้แล้วยังมีเส้นทางเดินเขาอีกหลายเส้น เลือกระดับความยากง่าย ระยะเวลาและวิวทิวทัศน์ให้ถูกจริตได้เลย จะเดินจากบนยอดลงมาถึงที่จอดรถด้านล่างเลยก็ยังได้ แต่สำหรับฉันขอเลือกไปเดินเส้น Glacier Walk ซึ่งน่าตื่นเต้นเพราะมันเป็นการเดินไปบนธารน้ำแข็งเลยทีเดียว! ปกติเคยเห็นแต่ธารน้ำแข็งอยู่ไกลๆ ถึงแม้บางแห่งจะเข้าไปได้ใกล้หน่อยแต่ก็ฉันก็ยังไม่เคยได้ไปเดินบนตัวธารน้ำแข็งตัวจริงเลย แล้วเส้นทางนี้ยังยาวถึง 3 กิโลเมตรจึงต้องตื่นเต้นเป็นธรรมดา

จากยอด Peak Walk เราสามารถเดินไต่ตามทางภูเขาลงมาที่ธารน้ำแข็งด้านล่างได้ หรือจะนั่งกระเช้าสกีแบบเปิดที่นักสกีนั่งกันลงมาก็ได้เช่นกัน พอถึงแล้วก็เริ่มเดินบนธารน้ำแข็งได้เลย ลักษณะพื้นเหมือนเดินไปบนหิมะที่ละลายแล้ว มีน้ำเปียกแฉะเป็นหย่อมๆ จึงต้องตั้งใจเดินอย่าเหยียบไปบนน้ำมากนักไม่เช่นนั้นรองเท้าอาจจะซึมน้ำได้ ฉันใช้รองเท้าเดินเขาธรรมดาซึ่งก็ใช้งานได้ดีทีเดียว เกาะพื้นน้ำแข็งได้ดี อุ่นและกันน้ำ และฉันใช้ไม้เดินเขาด้วยเพื่อความชัวร์จะได้ไม่ลื่น เส้นทางนับว่าเดินไม่ยากเพราะค่อนข้างแบน ระหว่างสองข้างทางที่เดินไปเห็นเขาเอาผ้าใบใหญ่มหึมามาคลุมก้อนน้ำแข็งที่เป็นส่วนหนึ่งของธารน้ำแข็งเอาไว้หลายก้อนเหมือนกัน นั่นก็เพราะธารน้ำแข็งเหล่านี้ได้ละลายเล็กลงทุกปี เขาว่าถ้าโลกยังร้อนต่อเนื่องอยู่แบบนี้ อีกไม่กี่ 10 ปีธารน้ำแข็งที่นี่จะเหลืออยู่เพียงครึ่งเดียว และพอถึงปี 2100 ก็น่าจะเหลืออยู่เพียง 20 ถึง 30% เท่านั้น

เดินไปสุดทางก็เห็นมีเฮลิคอปเตอร์จอดอยู่ลำหนึ่ง ตอนแรกสงสัยว่าจอดเอาไว้ทำไม เห็นคนเข้าไปดูกันเยอะ พอสักพักจึงเห็นฮ.บินขึ้นอย่างผาดโผนและวนให้ชมภูเขาและธารน้ำแข็งรอบๆ จึงเข้าใจว่าเป็นทัวร์บินชมวิวนั่นเองฃ แหมฉันก็อดคิดไม่ได้ว่ากังวลเรื่องโลกร้อนจะทำให้ธารน้ำแข็งหดหาย แล้วทำไมถึงมาจัดทัวร์เฮลิคอปเตอร์หนอ

ตรงปลายทางนี้มีร้านอาหารแบบง่ายๆให้กินหรือดื่มเครื่องดื่มพร้อมนั่งชมวิวไปด้วยตรงภูเขาที่มีรูปทรงเหมือนเกาะเจมส์บอนด์ซึ่งเรามองเห็นตั้งแต่เดินอยู่บนสะพานแขวนแล้วด้วย บรรยากาศดีมากๆ ใครที่เดินมาถึงสุดทางก็ต้องมานั่งละเลียดชมวิวกันที่นี่ เราหิวมื้อกลางวันได้ที่จึงสั่งพาสต้ามากินกันคนละชาม เสร็จแล้วก็ต้องเร่งเดินกลับเพราะจะต้องใช้เวลาเดินอีก 1 ชั่วโมงเพื่อที่จะกลับมาให้ทันนั่งกระเช้ารอบสุดท้ายตอนบ่าย 4 โมง 50 นาที

สรุปคือฉันชอบ Glacier 3000 มาก เป็นกิจกรรมที่ทำได้หนึ่งวันเต็มกำลังดี ไปถึงใกล้ 11 โมงเช้า เดินสะพานแขวนและเดินไปบนธารน้ำแข็ง แวะกินข้าวและเดินกลับ ใช้เวลา 6 ชั่วโมงกำลังดี เป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่ขอแนะนำอย่างยิ่ง ใครที่อยากจะชมวิวภูเขาสวยๆแต่ไม่อยากจะไปเที่ยวตามจุดมหาชนต้องจัดไว้ใน Bucket List เลย

NO COMMENTS