ฉันเคยอาศัยอยู่บราซิลเกือบสามปี แต่ก็ไม่เคยไปเที่ยวประเทศอุรุกวัยเลยทั้งที่อยู่ติดกันแท้ๆ เวลาผ่านไปสิบกว่าปีจึงได้ย้อนกลับไป แต่ด้วยมีเวลาไม่มากเพราะเป็นทางผ่าน จึงขอแวะเที่ยวเพียงแค่เมืองหลวงของอุรุกวัยคือ Montevideo เพียงสองวัน

อุรุกวัยเป็นประเทศไม่ใหญ่ มีพลเมืองเพียง 3.5 ล้านคน พลเมืองครึ่งหนึ่งอาศัยอยู่ในเมืองหลวง จึงเท่ากับเมืองมอนเตวิดีโอนี้มีประชากรประมาณแค่เพียง 1.7 ล้านคนเท่านั้นเอง นับว่ามีขนาดกะทัดรัดใช้เวลาไม่มากก็เที่ยวได้ทั่ว ฉันเลือกพักโรงแรมย้อนยุคในตัวเมืองเก่าเลยจะได้เดินเที่ยวสำรวจได้สะดวก ใจกลางของเมืองเก่าคือ Plaza Independencia มีอนุสาวรีย์และสุสานของ José Gervasio Artigas ผู้ต่อสู้ในสงครามเพื่อปลดปล่อยอิสระจากยุคสเปนและโปรตุเกสจึงนับว่าเป็นบิดาของประเทศอุรุกวัย รอบๆลานนี้มีอาคารสำคัญในสถาปัตยกรรมสวยงามเช่น Palacio Salvo, Palacio Estevez ซึ่งเป็น President museum ที่การตกแต่งข้างในเป็นไม้สวยงามมาก ฝั่งหนึ่งของลานมีประตูเมืองหรือ Puerta de la Ciudadela

ความแปลกตาของลานนี้ก็คือในขณะที่รอบๆลานเต็มไปด้วยอาคารโบราณแบบโคโลเนียลและอาร์ตเดคโค่ที่สวยงาม กลับมีตึกอพาร์ทเม้นท์ใหญ่ยักษ์จากยุค 50s คือ Edificio Ciudadela สูงตระหง่านแทรกขึ้นมา ซึ่งตึกนี้จะว่าน่าเกลียดก็น่าเกลียดเพราะทรุดโทรมรกรุงรังเต็มไปด้วยคอมเพรสเซอร์แอร์อยู่นอกตึก แต่ถ้าจะมองให้งามแบบ Retro ก็ได้เหมือนกันเพราะคุมโทนสีฟ้าในกรอบหน้าต่างสี่เหลี่ยม นับเป็นความแปลกแตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์

นอกจากนั้นใกล้ๆก็มีโรงละคร Teatro Solis ซึ่งเป็นโรงละครที่เก่าแก่ที่สุดของละตินอเมริกาทีเดียว และมีมหาวิหารอยู่ไม่ไกล ในบริเวณเมืองเก่านี้มีถนนคนเดินหลายเส้น มีร้านรวงอยู่สองข้างทาง มีร้านหนังสือโบราณร้านหนึ่งสวยมาก ขายทั้งหนังสือแผ่นเสียงซีดีในอาคารเก่า สวยจนต้องเดินเข้าไปถ่ายรูปเลย

อีกแห่งหนึ่งที่ต้องไปก็คือตลาด Mercado del Puerto ที่ข้างในเต็มไปด้วยร้านอาหารประเภทสเต็กและเนื้อย่างที่เรียกว่า Parilla อุรุกวัยก็เหมือนกับอาร์เจนตินาตรงที่คนบริโภคเนื้อวัวเป็นหลักกันอย่างเยอะมาก  ในเมื่อมาถึงที่แล้วทริปนี้ฉันจึงขอยกเลิกการลดปริมาณบริโภคเนื้อวัวเป็นการชั่วคราว ได้เข้าไปชิมร้านที่ดังที่สุดคือ Cabana Veronica ซึ่งเจ้าของ Veronica ตัวจริงมาต้อนรับเองถึงโต๊ะเลย

นอกจากนี้เราก็เดินชมเมืองไปทั่วทั้งในเมืองเก่าและในส่วนของเมืองที่มีอพาร์ทเม้นท์บ้านเรือนคนอาศัยอยู่ เนื่องจากเมืองมอนเตวิดีโอนี้อยู่ริมทะเล จึงมีชายหาดและทางเดินเลียบริมทะเลให้คนมาออกกำลังกายและใช้ชีวิตทำกิจกรรมต่างๆ กันริมทะเลมากมาย ดูไปก็คล้ายกับริโอเดอจาเนโรของบราซิล แลดูคุณภาพชีวิตดีมีธรรมชาติล้อมรอบ ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้นเพราะเมืองมอนเตวิดีโอติดอันดับเมืองที่มีคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของอเมริกาใต้อยู่หลายปีทีเดียว เศรษฐกิจก็นับว่าดีใช้ได้ เป็นศูนย์กลางของการธนาคารจนเคยได้ชื่อว่าสวิตเซอร์แลนด์ของอเมริกาใต้เลย โดยรวมบ้านเมืองแลดูสะอาดสะอ้านและเป็นระเบียบต่างไปจากเมืองอื่นๆของละตินอเมริกา

ในบรรดาสถานที่เที่ยวต่างๆ มีแห่งหนึ่งที่ประหลาดไม่เหมือนที่ใด ฉันเรียกเอาเองว่า “บ้านพิศวง” บ้านหลังนี้ชื่อ Castillo Pittamiglio ความประหลาดเริ่มตั้งแต่ข้างนอกแล้ว เพราะเป็นอาคารอิฐสีแดงแบบโบราณแทรกอยู่ระหว่างอาคารอพาร์ตเม้นต์สมัยใหม่บนถนนเลียบทะเล แลดูช่างขัดแย้งแตกต่าง ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องหยุดมองด้วยความงงว่ามันมาแทรกอยู่ตรงนี้ได้อย่างไร แต่อันที่จริงบ้านหลังนี้อยู่มาตั้ง 100 กว่าปีแล้ว สร้างตั้งแต่ปี 1910-1911 เจ้าของคือสถาปนิกและวิศวกรชื่อคุณ Humberto Pittamiglio เขาเป็นคนเชื่อศาสตร์ลึกลับทั้งหลายและเรื่องราวเกี่ยวกับจิตวิญญาณต่างๆ โดยเฉพาะความลึกลับเกี่ยวกับศาสนาคริสต์  ว่ากันว่าจอกศักดิ์สิทธิ์หรือ Holy Grail เคยถูกเก็บอยู่ที่นี่ด้วย ซึ่งจะจริงหรือไม่จริงก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆคือพระสันตะปาปาเคยเสด็จมาที่บ้านหลังนี้ด้วย ถ้าไม่จริงแล้วจะมาทำไมไกลขนาดนี้ ทั้งที่เป็นบ้านคนส่วนตัวไม่ใช่สถานที่สำคัญทางศาสนาอะไร

บ้านหลังนี้เขาเปิดเป็นทัวร์ให้เข้าไปชมได้ มีคนนำทัวร์ทั้งภาษาอังกฤษและสเปน ทัวร์เริ่มต้นที่ห้องในหอคอยทรงกลมที่ชั้นสอง เริ่มต้นก็ประหลาดแล้วเพราะเขาสร้างและออกแบบห้องอย่างไรก็ไม่ทราบ ถ้าเราไปยืนตรงจุดตรงกลางห้องที่เป็นกากบาดแล้วพูดออกมาเสียงมันจะก้องสะท้อนกังวานมาจากทุกทิศทาง ฟังดูแปลกเป็นที่สุด ขนลุกมาก

ด้านนอกแลดูเหมือนว่าตึกนี้จะไม่ใหญ่แต่อันที่จริงมันลึกเข้าไปอีกมากทีเดียว สร้างด้วยอิฐสีแดงทั้งหมดซ่อนอยู่ด้านหลังตึกสมัยใหม่ เป็นบ้านที่ใหญ่มากและมีหลายชั้น จากตึกด้านหน้ามีคอร์ทยาร์ดและทางเชื่อมกับตึกด้านหลังซึ่งเป็นตัวตึกหลัก ด้านในตกแต่งด้วยไม้ชิ้นใหญ่ๆหนักๆและค่อนข้างมืด ไกด์บอกว่าสถาปนิกตั้งใจให้เป็นความขัดแย้ง จากคอร์ทยาร์ดข้างนอกที่เปิดโล่งท้องฟ้าสดใสพอเข้าไปข้างในมืดเหมือนอยู่ในถ้ำ ช่างประหลาดดีแท้ ห้องแต่ละห้องมีความลึกลับซับซ้อนไปด้วยหลืบซอก และการจัดแสดงของเขาก็ยิ่งทำให้แลดูชวนพิศวงขึ้นไปอีก เช่นมีการใช้ไฟเลเซอร์เป็นแสงหรือสัญลักษณ์ของศาสตร์ลึกลับต่างๆ มีห้องที่มีโต๊ะประหลาดกดปุ่มแล้วจะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่รู้ พอดีวันนั้นปุ่มเสียเราเลยอดรู้เลยว่ากดแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แต่เหมือนว่ามันจะมีพลังอะไรออกมาประมาณนั้น

ตัวบ้านเก่ายังประหลาดไม่พอ ด้านล่างเขาสร้างห้องพิศวงขึ้นมาให้เราเข้าไปเที่ยวเล่นชมได้อีก ในส่วนนี้มีหลายห้อง แต่ละห้องจะตกแต่งประดับไปด้วยกระจกหรือไฟเพื่อสร้างความพิศวงงงงวยให้เรา บรรยายไม่ถูกจริงๆ ฉันว่าสนุกดี ใครที่ชอบเรื่องราวลึกลับน่าฉงนใจและสนใจเรื่องจิตวิญญาณต่างๆต้องไปฟังไกด์เล่าเอง มันเยอะไปหมดจนจำไม่ได้ด้วยมัวแต่พิศวงงงงวยนั่นเอง

ฉันว่าสองวันก็ได้เห็นมอนเตวิดีโอครบถ้วน แต่หากมีเวลามากกว่านี้ก็จะได้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่นพิพิธภัณฑ์คาร์นิวัล หรือคงจะได้ไปนอนอาบแดดเล่นน้ำทะเล หรือได้ไปเมือง Colonia del Sacramento เมืองเก่าขนาดเล็กที่มีบ้านเรือนตั้งแต่สมัยอาณานิคมโปรตุเกส และ Punta del Este เมืองตากอากาศริมทะเลชื่อดังที่สุดของอุรุกวัย หากมีโอกาสได้กลับมาเยือนอีกฉันก็จะมาเก็บตกประเทศเล็กของอเมริกาใต้แห่งนี้อีกสักสามสี่วัน

NO COMMENTS