พอปี 2548 ชะตาชีวิตที่จะต้องหลั่งน้ำตาอีกและเกี่ยวข้องกับอินเดียอย่างเข้มข้นก็เริ่มขึ้น ฉันได้รับมอบหมายงานให้เป็นผู้อำนวยการดูแลภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ว่านายอินเดียและทีมพัฒนาสินค้านั่งประจำอยู่ที่เมืองมุมไบ ทำให้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องเดินทางไปทำงานอินเดียเฉลี่ยแล้วทุกเดือน บางทีก็บ่อยกว่านั้น ฉันเริ่มคุ้นเคยกับอินเดีย ทั้งผู้คน สถานที่ อาหารวัฒนธรรม ทางหนีทีไล่ และกลยุทธการต่อรองจัดการแขก จนไปมาได้อย่างสบายๆเหมือนบ้านหลังที่สอง

แต่ไปทีไรก็เหนื่อยและวุ่นเป็นระวิงทุกที เพราะมีคนให้เจอเยอะ มีประชุมให้เข้ามาก ต้องอัดให้ทุกเรื่องเข้าตารางเวลาได้ครบจะได้คุ้มกับเวลาที่บินไป ที่แย่คือออฟฟิศของนายกับของทีมใหญ่อยู่ไกลกันมาก การจราจรในมุมไบใครก็รู้ว่าหฤโหดขนาดไหน บางวันฉันต้องวิ่งร่อนประชุมสองที่ นั่งรถทีอย่างต่ำสองชั่วโมง ถ้าฝนตกหรือเวลาเร่งด่วนก็สามชั่วโมง ฉันจึงติดนิสัยเตรียมเอกสาร สมุดจดและแลปทอปกางนั่งคิดเขียนทำงานโทรศัพท์ไปในรถตลอด บางทีถึงกับกระโดดขึ้นรถนายนั่งไปด้วยเพราะเป็นเวลาเดียวที่จะได้ประชุมกัน

วันหนึ่งรถที่บริษัทจัดมาบริการมีคนขับเป็นคุณลุงอายุสักห้าสิบกว่าผมขาวและกิริยามารยาทนุ่มนวลใจดี ระหว่างทางที่นั่งไปประชุมกับนายตอนเช้าสองชั่วโมงลุงก็ชวนคุยต่างๆนานา เวลาเช้าฉันยังไม่มีเรื่องต้องทำในรถมากก็คุยไปด้วย พอลุงรู้ว่าเป็นคนไทยก็รีบถามว่าเป็นคนศาสนาพุทธหรือเปล่า ฉันบอกว่าใช่ ลุงดีใจรีบอวดว่าลุงก็เป็นพุทธ คนอินเดียส่วนมากศาสนาฮินดู มีคนพุทธนิดเดียว ลุงบอกว่าลุงเป็นพุทธที่เคร่งมาก ทำงานถวายศาสนาหลายอย่าง ที่ทำทุกสัปดาห์คือไปเล่นเครื่องดนตรีประกอบพิธีกรรมในวัดให้ฟรี แล้วลุงยังสวดมนต์ให้ฟังด้วย ไม่เหมือนแบบที่เราสวดบ้านเราเป๊ะ มีการเอื้อนแบบเพลงแขก หางเสียงอ้อนอ่อนช้อยชวนเคลิ้มมาก ที่สำคัญคือเสียงลุงเพราะจริงๆ ก้องกังวาน ฟังแล้วพลอยอุปาทานได้ยินเสียงซิต้าคลอ

วันนั้นฉันมีเรื่องคุยกับนายเยอะมาก และได้การบ้านมาจัดการทำเพียบ ตกเย็นฉันระโหยโรยแรงมาขึ้นรถลุง เวลารถติดหนับพอดี นึกแล้วก็ยิ่งจะหมดแรงเอาดื้อๆ แต่พอขึ้นรถได้ฉันก็รีบควักเอาสมุดจดมากางข้างตัว ไล่หัวข้อที่สรุปตกลงกับนายเอาไว้แล้วรีบกระจายงานด่วน ลูกน้องฉันมักจะเหนื่อยตามไปด้วยตรงนี้เพราะฉันเร็วมาก ไม่ว่าจะเดินทางไปประเทศไหนสามารถสั่งงานด่วนกลับไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสมอ พอบินกลับถึงกรุงเทพก็สามารถสืบต่อความคืบหน้ากับลูกน้องได้เลย วันนั้นก็เหมือนกัน ฉันไล่หัวข้อแล้วทะยอยส่งอีเมล์บ้างแมสเสจบ้างสั่งงานให้ลูกน้องและบุคคลที่เกี่ยวข้องแต่ละคน นัดประชุมรอไว้เลยบ้างก็มี บางเรื่องที่ยังสั่งไม่ได้ฉันก็เขียนเรียบเรียงขั้นตอนเอาไว้ว่าจะกลับไปเริ่มคุยกับใครอะไรยังไง ย่อยคิดแกะใจความที่คุยกับนายถอดรหัสแปลงสาส์นออกมาเป็นสิ่งที่ควรต้องทำทั้งหมด ก้มหน้างุดง่วนขุดไล่งานไปจนครบที่จด แต่ยังรู้สึกมันมีอะไรค้างๆในใจเหมือนมีอะไรสำคัญที่อาจหลงลืม ฉันจึงเงยหน้าขึ้นแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างรถ สูดหายใจลึกๆแก้เมารถจากการที่ก้มหน้าใช้สายตาอยู่นาน เหม่อมองออกไปใจก็คิดไปว่านี่เราลืมอะไรหรือเปล่าน้า หน้านิ่วคิ้วขมวดคิดๆๆๆๆ

แล้วเสียงนุ่มๆของลุงคนขับรถก็แทรกอากาศขึ้นมาเบาๆ “แมมๆ เป็นอะไรหรือเปล่า ทุกอย่างโอเคไหม” ฉันหน้ามามามองลุงด้วยความแปลกใจว่าทำไมอยู่ดีๆถึงถามอย่างนั้น “โอเคทุกอย่างลุง ไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย ทำไมลุงถึงถามแบบนั้นล่ะ” ลุงตอบว่า “ก็แมมขึ้นรถมาก็ไม่พูดไม่จา ก้มหน้างุดๆๆๆ แล้วอยู่ดีๆก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูเครียดๆกังวลใจ อีนี่ฉานเลยเป็นห่วงว่าแมมเป็นอะไรมีทุกข์ใจอะไรมา”

ตายแล้ว ฉันตกใจมากที่ลุงช่างสังเกตแล้วคิดเป็นห่วงเป็นไยไปได้ถึงขนาดนั้น ฉันรีบยืนยันว่าไม่เป็นอะไรจริงๆ แค่จดจ่อกับงานที่ต้องทำ มันเยอะและละเอียด กลัวว่าจะไล่ไม่ครบ และอยากทำให้เสร็จไวๆ ลุงถามต่อไปเรื่องเรื่องงาน แล้วถามว่าพักผ่อนจากงานอย่างไร ฟังเพลงไหม ฉันก็ตอบไปเรื่อยๆตามมารยาท ใจยังอยากกลับมาคิดเรื่องงานต่ออยู่ แล้วลุงก็บอกขึ้นมาว่า “แมมๆ รู้ไหมอีนี่ฉานเคยขับรถที่มุมไบนี่หละให้มิค แจ็คเกอร์ด้วย” ฮะ จริงอะลุง โม้ป่าว ลุงเล่าว่าหลายปีมาแล้วลุงมิคปากกว้างมาเล่นคอนเสิร์ตที่มุมไบ และพักอยู่ถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม ลุงได้รับการคัดเลือกให้เป็นคนขับรถประจำตัวมิค พาไปโน่นนี่ทุกวัน ฉันดูแล้วก็ว่าไม่แปลกเพราะลุงกิริยามารยาทดี สุภาพสะอาด ขับรถก็ดี พวกดาราใหญ่ๆก็น่าจะชอบ ลุงยังเล่าอีกด้วยว่ามิคใจดีมาก พอวันสุดท้ายก่อนกลับมิคให้ทิปลุงเป็นเงินสด ฉันจำได้คร่าวๆว่าประมาณสองสามแสนบาท พอลุงบอกฉันร้องจ๊าก จริงเหรอลุง เค้าใจดีขนาดนั้นเลยเหรอ ลุงบอกจริงๆ ก็เพราะเงินนั้นแหละลุงเลยเอาไปซื้อรถคันที่ขับให้ฉันนั่งอยู่นั่นแหละ ฉันเพิ่งสังเกต จริงด้วยเพราะรถลุงมีความต่างไปจากรถคันอื่นๆที่บริษัทเคยส่งมา คือมันดูเหมือนเป็นรถส่วนตัวมากกว่า เออลุงคงไม่โกหกมั๊ง เพราะยังไงฉันก็ไม่มีทางทิปลุงสามแสนอยู่แล้ว ฮะๆๆๆ แต่ฉันก็ยังกังขา หาเรื่องซักต่อไปมาดูพิรุธจะจับโกหกลุง ลุงเลยควักเอาซีดีออกมาแผ่นหนึ่ง บอกว่านี่ไงซีดีที่มิคเซ็นต์ให้ ฉันรับมาดู เป็นลายเซ็นต์มิคจริงๆ และเซ็นต์ว่ามอบให้ลุงเสียด้วย เอาล่ะๆเชื่อแล้ว ฉันเลยติดลมซักถามพูดคุยกับลุงต่ออย่างสนุกสนาน

ทันใดนั้นจู่ๆลุงก็เปลี่ยนเรื่อง ชี้มือไปข้างหน้าแล้วถามว่า “แมมๆเห็นตึกนั่นไหม” ฉันมองตามฝ่าปรอยฝนที่โปรยลงมาบนกระจก ไหนอะไรมีแต่รถติดๆและตึกเก่าๆเรียงกันตามถนน ลุงบอกว่า “นั่นก็ตึกโรงแรมของแมมไง อีกห้านาทีก็ถึงโรงแรมแล้ว แมมคุยกับฉานเพลินใจดีไหม ไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมว่าเวลาผ่านไปเท่าไร ลืมรถติดลืมความเครียดเรื่องงานไปเลยใช่ไหม ดีไหมๆแป๊บเดียวอีนี่ฉานพาแมมมาส่งถึงโรงแรมไม่รู้ตัวเลย”

อึ้ง! ฉันอึ้งพูดไม่ออก นี่ที่ลุงชวนคุยมาตลอดทางนุ่มๆเนิบๆนี่คือเจตนาของลุงที่จะให้ฉันลืมความกังวลเรื่องงานหรือนี่ อะไรกัน เราเพิ่งรู้จักกันวันนี้ ฉันเป็นแค่ลูกค้าของลุง ทำไมลุงถึงมีเมตตาและความตั้งใจที่จะปลดทุกข์เล็กๆน้อยๆให้ฉันโดยที่ฉันก็ไม่ได้ร้องขอ มันไม่ใช่หน้าที่ของลุงเลยที่จะต้องมาสนใจสารทุกข์สุขดิบอะไรของฉัน ที่สำคัญ สิ่งที่ลุงทำมันช่วยให้ฉันลืมความกังวลและเพลิดเพลินจนสองชั่วโมงในรถกลายเป็นเวลาที่มีความสุขมากจริงๆ เมตตาของลุงมันช่างได้ผล และใจของลุงมันช่างสวยงามจริงๆ

ถึงฉันจะเชื่อว่าเรื่องมิค แจ็คเกอร์ไม่ใช่นิยายที่ลุงอุปโลกมั่วขึ้นมาหลอกให้ฉันหลงกลฟัง หรือมันจะเป็นเรื่องโกหกฉันก็ว่าไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญมันคือหัวใจและเจตนาของลุงต่างหาก เคยกลัวเคยกังวลจากที่ได้ยินมามากมายว่าแขกชอบโกหก ไว้ใจได้ แล้วนี่อะไรที่ฉันเจอ มันช่างสวยงามตรงกันข้ามกับที่”เขาเล่าว่า”เหลือเกิน

ฉันเดินออกจากรถพร้อมฝอยกระเซ็นของสายฝนเข้าล็อบบี้โรงแรมพร้อมกับน้ำตาที่ไหลริน เป็นครั้งที่สอง…ที่ฉันหลั่งน้ำตาที่อินเดีย

(ต่อสัปดาห์หน้านะคะ ขอไปปาดแก้มอีกที)

NO COMMENTS