ตอนแรกตั้งใจจะตั้งชื่อเรื่องตอนนี้ว่า India Makes Me Laugh เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศมาหัวเราะกับอินเดียบ้าง เดี๋ยวจะหาว่าไปอินเดียมีแต่เรื่องเศร้า แต่พอนึกถึงเนื้อหาที่จะเขียนแล้ว เปลี่ยนชื่อมาเป็น India Makes Me Nuts ดีกว่า จะได้สองแง่สองความหมาย (Nuts แปลว่าถั่วหรือแสลงว่า”บ้า”ก็ได้)

มันเริ่มขึ้นที่ “ถั่ว” แต่จบลงที่ฉันเกือบบ้า(แบบยังพอขำได้อยู่) เรื่องของเรื่องคือว่า จู่ๆฉันก็เกิดอาการแพ้ถั่วขึ้นมาเมื่ออายุสามสิบกว่า แล้วความรุนแรงนี่คือจากศูนย์ คือกินถั่วได้ไม่เป็นอะไร อยู่ดีๆพอจะแพ้ขึ้นมาก็เป็นระดับเกือบตายเลยในครั้งเดียว วันหนึ่งไปกินข้าวกลางวันที่ร้านอาหารประจำย่านออฟฟิศตามปกติ สั่งยำผักบุ้งทอดกรอบมาแบ่งกัน กลับมาประชุมตามปกติฉันก็เกิดอาหารคันแทบคลั่งและผื่นขึ้นทั้งตัว ทนจนเลิกประชุมแล้วขับรถไปโรงพยาบาลหาหมอภูมิแพ้ประจำตัว โชคดีที่มีความรู้เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเป็นทุนเดิม รู้ว่าแพ้อะไรที่กินเข้าไปแน่ๆ ทบทวนดูตัวการน่าสงสัยมีสองอย่างคือไม่กุ้งก็เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถึงโรงพยาบาลหมอเห็นหน้าแล้วร้องลั่นเพราะบวมฉึ่ง สั่งพยาบาลทุบตู้ยาฉุกเฉินตรงนั้นออกมาฉีดทันทีเพราะรอเบิกยาไม่ทันแล้ว ตอนหลังตรวจพบว่าแพ้ถั่วทุกชนิดในระดับรุนแรงเป็นหนึ่งในสามคนของประเทศไทย ถามหมอว่าทำไมหนูเพิ่งมาแพ้ กินถั่วมาตลอดชีวิตไม่เห็นเป็นไร หมอตอบหน้าตายว่า “ก็คุณแก่แล้วไง” “????” แข็งใจถามต่อว่า ทำไมแพ้ถั่วนี่ฝรั่งเป็นกันเยอะแต่คนไทยไม่เห็นเป็นเลยคะหมอ หมอตอบให้ชวนหายใจสะดุ้งว่า “อ๋อไทยก็เยอะ แต่ว่าตายไปหมดแล้วเลยเหลือไม่กี่คน” จ๊ากกกก อารมณ์ขันหมอโหดมากค่ะ

หลังจากที่รู้ตัวว่าแพ้ถั่วไม่นานฉันก็ได้รับมอบหมายหน้าที่ที่ต้องเดินทางไปอินเดียบ่อยอย่างที่เล่าไปแล้ว รู้ๆกันอยู่ว่าอาหารแขกใส่ถั่วเยอะขนาดไหน แต่ที่น่ากลัวกว่าคือแขกไม่รู้จักไม่เคยได้ยินโรคแพ้ถั่ว ไม่เข้าใจว่ามันเป็นการแพ้อาหารที่อันตรายรุนแรงที่สุดในบรรดาแพ้อาหารทั้งปวง คนที่เซ้นส์ซิทีฟมากๆแค่ใช้ภาชนะปรุงอาหารร่วมกับจานที่มีถั่วยังไม่ได้เลย ดังนั้นจึงเป็นการโกลาหลอย่างมากในการสั่งอาหารในร้านแต่ละครั้ง เพราะต้องย้ำและอธิบายกันอย่างละเอียดว่ากินไม่ได้เพราะแพ้ ดังนั้นอาหารจะมาปนเปื้อนถั่วนิดๆหน่อยๆก็ไม่ได้เลย ครั้งหนึ่งฉันสั่งและย้ำอย่างดีแล้ว แขกส่ายหน้าซ้ายขวาด่อกแด่กว่าเข้าใจดีไม่ต้องห่วง แต่พอยกมาไอ๊หยาเม็ดถั่วไพน์นัทโรยหน้ามาเต็มเลย ฉันทักแขกว่าไหนรับปากเสียดีว่ารู้เรื่องไง แขกทำท่าแก้ตัวลุกลี้ลุกลนเป็นการใหญ่ แล้วพยายามจะแก้ไขสถานการณ์โดยบอกว่า “แมมม่ายต้องห่วง เดี๋ยวฉานปายเขี่ยออกให้ในครัว” จ๊ากกกกกก ไม่ใช่ไม่ชอบกินจะได้เขี่ยทิ้งได้หนาบัง อีนี่ฉานตายได้หนาบัง มันต้องปรุงใหม่เลยห้ามปนมาในจาน

ครั้งหนึ่งไฟลท์ตรงไปมุมไบไม่มี ต้องไปแวะที่สิงคโปร์ก่อน หนนั้นเป็นประชุมใหญ่ เลยแห่กันไปทั้งแผนกมีเพื่อนร่วมงานและลูกน้องหลายคน เครื่องออกจากสิงคโปร์เสิร์ฟอาหารอร่อยมากๆ จานชามสวยงามสมเป็นสายการบินที่ดีที่สุดในโลก สะเต๊ะไก่แกะเนื้อปนกันมาอลังการน่ากิน ครั้งนั้นฉันเพิ่งแพ้ใหม่ๆยังงงๆกับอาการตัวเองและพลาดเองหลายครั้ง ลืมไปว่าน้ำจิ้มสะเต๊ะเป็นถั่วบด กินเข้าไปอย่างอร่อยเสียเยอะ พอแอร์เก็บอาหารหรี่ไฟมืดให้ผู้โดยสารพักอาการฉันก็เริ่มออก คันๆๆๆและหน้าเริ่มจะบวม ขนแขนสแตนด์อัพหนาวสั่นกึ่กๆๆ อีกตั้งสามชั่วโมงกว่าเครื่องจะลงที่มุมไบไม่ไหวแน่ ฉันเรียกแอร์ขอยาแก้แพ้ด่วน บอกว่าสาหัสมาก แอร์ตกใจรีบไปเปิดล่วมยา แต่แล้วมาบอกว่าจ่ายยาแก้แพ้ไม่ได้ผิดกฏ แต่จะประกาศหาหมอในเครื่อง ให้หมอมาจ่ายยาให้ เสียงประกาศขอดอกเตอร์ในเคบินดังขึ้นยังไม่เท่าไร แอร์ก็วิ่งมาบอกว่า แมมๆฉันตรวจรายชื่อดูเห็นมีดอกเตอร์หนึ่งคนนั่งใกล้ๆนี่จะไปเชิญมาด่วน ฉันเริ่มทรมานจนฟังไม่รู้เรื่องได้แต่พยักหน้าหงึกๆ พอดอกเตอร์โผล่มาเท่านั้น ต่างคนต่างขำกันกลิ้ง นั่นมันดอกเตอร์เพื่อนร่วมงานฉัน เป็นดอกเตอร์ปริญญาเอกต่างหากไม่ใช่หมอเมดิคัลดอกเตอร์ ไอ้เพื่อนร่วมงานก็งงอ้าวคนป่วยคือแกเองเหรอเนี่ย มองหน้ากันจะหัวเราะก็ไม่ออก สรุปคือฉันต้องทรมานอยู่จนเครื่องลงเพราะไฟล์ทนั้นไม่มีหมอเลย แต่พอประตูเครื่องเปิดเท่านั้นเขายังไม่ให้ใครเดินออก รีบกันให้หมอและผู้ช่วยแขกถือล่วมยาเข้ามาฉีดยาด่วนแก่ฉันเลยในเคบิน ดีนะตอนนั้นเริ่มเป็นใหม่ๆยังไม่รุนแรงมาก ไม่งั้นตายที่สูงแน่นอน

อีกครั้งไปประชุมเครียดมากๆและเวลาก็น้อย อยู่ในห้องประชุมกันทั้งเช้าไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน บ่ายโมงพักกินข้าวกันอย่างอ่อนเปลี้ย ยังอีกทั้งบ่ายต้องสุมหัวประชุมกันให้จบ เพื่อนแขกเลยสั่งอาหารเข้ามากินกันในห้องประชุม พวกเรานี่ดีอย่างที่เวลาทำงานกันหนักๆจะไม่ละเลยที่อย่างน้อยก็สั่งอาหารดีๆมากินกัน อาหารมาถึงเขาเอาใจฉันมาก เป็นบิริยานี่ข้าวหมกแกะอร่อยมากๆ เครื่องเทศเข้มข้นหอมหวน เพื่อนบอกว่าอันนี้สั่งเป็นพิเศษให้เธออย่างที่ชอบ และสั่งทำมาพิเศษว่าให้คนแพ้ถั่วกิน รับรองไม่มีถั่วปลอดภัยแน่นอน ฉันเลยฟาดเข้าไปจานโตสะใจ กลับเข้าประชุมทีนี้มีแรงลุยต่อแล้ว แต่เอ๊ะทำไมหน้าฉันมันร้อนๆ ตาก็เริ่มคันๆจนต้องขยี้ๆไม่หยุด ชักใจไม่ดี ต้องพูดขัดขึ้นมาในที่ประชุมว่านี่ๆแขกทั้งหลาย ช่วยดูหน่อยสิว่าตาฉันมันแดงไหม ฉันสงสัยว่าอาการแพ้ถั่วจะมาแล้ว นายบอกว่าไม่แดงๆ ยูคิดไปเองเปล่า แอร์ห้องนี้มันเสียเลยร้อน ไม่แพ้หรอกเพราะย้ำแล้วอาหารไม่มีถั่ว ผ่านไปห้านาทีฉันคันตามากขึ้น นายพูดๆๆแล้วบังเอิญหันมาพยักเพยิดกับฉัน แล้วก็หยุดกึกไปหนึ่งเสี้ยววินาที แล้วร้องจ๊ากลั่น “เฮ้ย ตายูทำไมมันแดงเป็นเลือดเต็มตาเลย” ฉันพาลตกใจไปด้วย เวลาแพ้เส้นเลือดฝอยในตามันจะแตก ตาขาวจะแดงก่ำเป็นเลือดสดๆเหมือนในหนังผี น่ากลัวมาก ทุกคนเริ่มตกใจโกลาหล หยุดประชุม โทรหาหมอกันจ้าละหวั่น บังเอิญวันนั้นหมอประจำออฟฟิศออกไปข้างนอก นายเลยพาเดินแทบจะแบกแห่กันไปที่คลีนิกติดกับบริษัท แต่ถึงตอนนั้นฉันก็อาเจียนรุนแรงไปแล้วหลายรอบ ปวดท้องที่สุดกว่าปวดท้องชนิดใดในโลก ฉีดยาเข้าไปแล้วยังนอนดิ้นพราดๆอยู่บนเตียงหมอเป็นชั่วโมง คือมันกินเข้าไปเยอะมาก เลยอาการรุนแรง พออาการเริ่มจะดีขึ้นเพื่อนร่วมงานที่สั่งอาหารเข้ามาบอกว่าโทรไปด่าร้านอาหาร สืบไปมาปรากฎแขกบอกว่า “อีนี่ฉานม่ายด้ายใส่ถั่ว ไม่มีถั่วจริงๆ แต่ฉานใช้น้ำมันถั่วลิสงผัด หอมอร่อยเยิ้มๆ” จ๊ากกกกก

ครั้งถัดมาประชุมเลิกงานสำเร็จลุล่วงได้เรื่องอย่างดี ทุกคนสบายใจแฮ้ปปี้กันมากๆ ตอนนั้นฉันไปอินเดียบ่อยจนชินแล้ว นายเลยบอกว่าไปหาอะไรทำสนุกๆกันดีกว่าคืนนี้ ยูมามุมไบนับครั้งไม่ถ้วนแล้วไม่เคยเห็นอะไรเลยนอกจากออฟฟิศกับโรงแรม ฉันบอกว่าอยากไปดูหนังบอลลีวู้ด ที่ Eros โรงหนังคลาสสิกสร้างสมัยอังกฤษปกครองด้วยนะ เพื่อนแขกจัดการวางแผนเรียบร้อยว่ากินข้าวเร็วๆแล้วไปดูหนังต่อ หนังบอลลีวู้ดยาวมากๆ กว่าจะเลิกก็ดึก เราไปกินร้านอาหารโมเดิร์นร้านหนึ่ง อาหารฟิวชั่นผสานปนกันหลายชาติ ฉันสั่งพาสต้าและย้ำว่าไม่เอาถั่วที่บรรยายไว้นะ นายช่วยกำชับอีกสามทีเป็นภาษาฮินดี แขกรับคำส่ายหัวเช่นเคยว่าเข้าใจเป็นอันดี อาหารมาช้ามาก เวลาใกล้หนังเริ่ม พอจานวางลงเราเลยรีบคว้าช้อมส้อมจ้วงทันที ด้วยความรีบฉันจึงกินเข้าไปถึงสามคำโตๆกว่าจะรู้ตัวว่ามีอะไรกรุบๆในพาสต้า รีบคายออกมาเขี่ยๆดู จ๊ากนี่มันเม็ดอัลมอนด์ฝานบางๆ นายตกใจ เอาอีกแล้วเหรอ คราวก่อนยังหวาดเสียวไม่หาย ฉันเกรงใจและเห็นว่ากินเข้าไปไม่เยอะเลยควักยาประจำตัวออกมากิน (ตอนนั้นพกยาติดตัวเป็นพิเศษแล้ว) และบอกพลพรรคว่าไม่เป็นไรแล้วไปดูหนังกันได้ ทุกคนไม่ค่อยจะเชื่อแต่ฉันย้ำว่ารู้สึกไม่เป็นไรจริงๆ เข้าไปดูหนังนั่งได้แค่ห้านาทีฉันก็รู้ตัวว่าที่ปากแข็งไปน่ะไม่ไหวแน่แล้ว กระซิบบอกนายว่าไปโรงพยาบาลเถอะ เท่านั้นทุกคนก็ลุกพรวดกระโจนออกจากโรงหนังทันทีหลังจากดูระบำแขกวัยรุ่นยักคอบนผาน้ำตกไปแค่เพลงเดียว

คืนนั้นใครผ่านไปมาในถนนเมืองมุมไบอาจจะเห็นรถแท็กซี่สีดำเหลืองคันอ้วนป้อมกระจุมปุ๊กควบปุเลงๆมุดซ้ายขวาพยายามฝ่าการจราจรที่จลาจลไม่แพ้เวลากลางวัน โดยมีแขกผู้ชายตัวใหญ่สองคนกับหญิงไทยสองคนอัดแน่นคับกระป๋องรถและมีมือหลายมือยื่นออกมาจากหน้าต่างซ้ายขวาโบกขอทางกันให้วุ่น โดยมีอาบังโพกหัวหนวดโค้งขาวเฟิ้มขมวดคิ้วขะมักเขม้นนำพารถกระป๋องน้อยซิ่งฝ่าทุกสรรพสิ่งที่ขวางอยู่บนถนนไปราวกับจะแข่งเอาถ้วยกรังด์ปรีซ์ แต่ที่ไม่มีใครเห็นคือหญิงไทยตัวเล็กนางหนึ่งที่ถูกนั่งประกบอยู่กลางเบาะหลังกำลังอ้าปากพะงาบๆสูดหายใจหน้าแดงผื่นเป็นเทือกโดยมิอาจรับรู้ใส่ใจสิ่งใดๆรอบกาย นอกจากภาวนาให้ถึงโรงพยาบาลเร็วๆ

ขณะที่เรากำลังปุเลงๆไปตามถนนนั้น นายที่รักของฉันซึ่งห้าวกร้าวโหดและเด็ดขาดมาเฟียมากก็โทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลสั่งให้ทั้งหมอทั้งพยาบาลเตรียมการทุกอย่างรอรับเรา พอไปถึงเราจึงไม่ต้องเสียเวลาเลยแม้แต่น้อย แท็กซี่จอดเทียบหน้าประตูห้องฉุกเฉินปุ๊บก็มีคนจับฉันนอนลงบนเตียงตรงนั้นเลย แต่ถึงฉันจะมึนสุดๆก็ยังมองเห็นชัดจนชักใจฝ่อว่านี่มันห้องฉุกเฉินหรือห้องดับจิตหว่า มันคือตึกปูนเก่าๆมอมกระดำกระด่างที่มีประตูทางเข้าออกแคบขนาดน่าจะพอเข็นโลงเข้าออกได้พอดีเท่านั้น ไม่โอ่โถงกว้างขวางเป็นประตูกระจกบานเลื่อนอัตโนมัติอย่างบ้านเรา ข้างในก็เหมือนโรงพยาบาลสมัยสงครามโลก โต๊ะไม้เก้าอี้เหล็กทำไมมันเก่าอย่างนั้นเหมือนผ่านสงครามมา ฉากกั้นข้างเตียงยังเป็นแบบเฟรมเหล็กที่มีผ้าเย็บรูดๆยึดบนล่างสามตอนพับหักซิกแซกอยู่เลย นี่ถ้าไม่เป็นเพราะมีนายแขกจอมบู๊เสียงดังพามาและเข้ามากำกับอย่างใกล้ชิดละก็ฉันคงยอมกลั้นใจนั่งรถต่อไปโรงพยาบาลอื่นแล้ว

พอนอนปุ๊บพยาบาลที่แลดูเชี่ยวชำนาญงานมากก็เข้ามาวัดปรอทเตรียมแขนฉีดยา ดูท่าทางเธอแล้วใจชื้นมาก เพราะเหมือนเธอมีประสบการณ์รักษาทหารผ่านศึกมาทั้งสนามรบแม้จะยังดูอายุไม่มาก อึดใจหนึ่งหมอก็เข้ามา ซักถามอาการแล้วฉีดยาให้โดยเดินเข้าทางสายน้ำเกลือแทนที่จะฉีดตรงจากเข็ม ฉันจึงต้องนอนรอให้ยาค่อยๆหยดเข้าตัวจนหมดถุงเป็นชั่วโมงที่ห้องฉุกเฉิน ยาชนิดนั้นปกติเวลามันเดินเข้าตัวช่วงแรกจะรู้สึกได้เลยว่าความแสบร้อนมันพุ่งไปตามกระแสเลือด ตอนที่ยามันพุ่งเข้ากลางลำตัวเฮือกแรกนั้นฉันตกใจจนร้องออกมา คนที่นั่งรออยู่ข้างนอกตกใจกันหมด แต่พอรอไปสักพักอาการแพ้ก็ทุเลาลงอย่างเร็ว ยาที่เข้าเส้นทางน้ำเกลือนี้เห็นผลทันใจมาก ครึ่งชั่วโมงสติฉันก็กลับมาเต็มร้อย เริ่มง่วงเพราะยามีผลให้ง่วง ยังรู้สึกโหวงๆเหนื่อยๆแพ้ๆแต่รู้อาการตัวเองดีว่าถ้านอนหลับตอนนี้ตื่นมาก็จะหายเป็นปลิดทิ้งเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย พลันหูก็ดันไปได้ยินเสียงนายพูดตกลงกับหมอเหมือนจะจัดการให้ฉันนอนที่โรงพยาบาลคืนนั้น ฉันร้องขึ้นมาทันใดว่าไม่อาววววไม่นอนที่นี่ เรียกนายมาบอกว่าไม่เอาๆๆๆๆหายแล้วจะกลับไปนอนโรงแรม นายบอกหมอไม่ยอมหรอก ฉันดื้อมากเรียกหมอมาต่อรองด้วยตัวเอง ใครจะกล้านอนโรงพยาบาลสงครามโลก ฉันเริ่มวางแผนในหัวจะวาดวาทะหลอกล่อหมอ เริ่มจากยิ้มหวานอวดให้เห็นว่าสดชื่นหายดีแล้ว ชวนหมอคุยทำตัวปกติมาก จนหมอเริ่มคล้อยตามกำลังจะเชื่อว่าฉันหายแล้วและคงจะยอมปล่อยกลับ ฉันจึงรุกฆาตโดยสำแดงพลังเล่าเรื่องขำขันเล็กๆให้หมอฟัง จะได้เชื่อเต็มๆว่าปกติแล้ว 100% เรื่องที่เลือกมาเล่าคือว่า “โอ๊ยแพ้ถั่วนี้ธรรมดามากที่อเมริกานะหมอ จิ๊บๆ คนเป็นกันเยอะ หมอเคยได้ยินไม๊วันก่อนออกข่าวซีเอ็นเอ็น ผู้หญิงแพ้ถั่วคนนึง เค้าไปจูบกับแฟน ซึ่งแฟนเค้ากินถั่วมาเมื่อเก้าชั่วโมงที่แล้วก่อนจูบ ปรากฎว่าหมอเชื่อไม๊ ชีตายเลยอะ จูบสังหาร ฮะๆๆๆ” หมอสะดุ้งเฮือก ไม่ขำไปด้วย บอกทันที หมอว่ายูนอนนี่แหละคืนนี้ จ๊ากกกก ผิดแผน เลือกเรื่องผิด มันไม่ตลกจริงๆด้วย ฉันต้องกลับแผนเริ่มอ้อนวอนกันใหม่ สุดท้ายหมอยอมปล่อยให้กลับแต่ฉันต้องเซ็นต์หนังสือยินยอมว่าจะดื้อออกมาเอง ยังไงก็ดีกว่านอนโรงพยาบาลทหารผ่านศึกละ

อีกครั้ง (จะเป็นครั้งที่เท่าไรแล้วก็ไม่รู้) ฉันพักที่โรงแรมห้าดาวที่ใหม่ไม่ใช่ที่ประจำ ลงมากินอาหารเช้าบุฟเฟ่ต์ก่อนไปทำงานซึ่งหน้าตาอาหารก็ไม่เหมือนที่โรงแรมประจำ ต้องตั้งใจเลือกอาหารและทำความเข้าใจกับคนเสิร์ฟเรื่องถั่วให้ดี ฉันชอบดื่มแลสซี่ โยเกิร์ตปั่นของแขก โรงแรมนี้โก้มากมีบาร์แลสซี่ใหญ่โตให้เลือกหลายรส ฉันเดินไปเลือกดู เขาปั่นแล้วบรรจุขวดแก้วแยกเป็นขวดๆเรียงไว้อย่างสวยงามน่ากินมาก มีสารพัดรสช่างสร้างสรรค์กว่าปกติที่จะมีแค่รสธรรมชาติ รสหวาน รสมะม่วง ดูอลังการมาก เพื่อความปลอดภัยฉันขอเลือกเอารสหวานธรรมดาดีกว่า แต่ก็ยังไม่วายหวาดผวา ถามแขกที่ยืนเฝ้าบาร์แสดงบทบาทเป็นบาร์เท็นเดอร์แลสซี่ว่า “ฉันขอรสหวานแต่ฉันแพ้ถั่ว รสหวานนี่ไม่มีถั่วอะไรใดๆทั้งสิ้นปนเปื้อนนะ ติดมากับเครื่องปั่นนิดเดียวก็ไม่ได้นะ” แขกว่า “ม่ายมีแมม ม่ายมีแน่นอนฉานร้าบประกัน” ฉันก็หยิบมาหนึ่งขวด กลับมาที่โต๊ะ ยังไม่วายผวาอีกเพราะเจอมาเยอะ จะว่าจิตตระหนกเกินปกติก็ได้เพราะตระหนกแล้วก็ยังพลาดอยู่บ่อยๆ แทนที่จะดื่มจากขวดแก้วสวยงามที่เขาทำให้ดื่มได้เลยนั้น ฉันกลับเทแลสซี่ลงแก้วน้ำที่โต๊ะช้าๆ เพื่อจะดูให้ถ้วนถี่อีกทีว่าในเนื้อแลสซี่ข้นๆนั้นไม่มีอะไรนอกเหนือไปจากโยเกิร์ตและน้ำตาลปนมาแน่ๆ แต่เอ๊ะนั่นอะไรจุดๆสีเขียวๆ แปลกจริง ฉันยกแก้วกลับไปที่บาร์เท็นเดอร์คนเดิมที่บาร์ ซึ่งบังเอิญคราวนี้มีแขกใส่สูทอันแปลว่าเป็นผู้จัดการมายืนประกบอยู่ด้วย ได้การละ ถามทั้งสองคนเลย

“แขกๆ ไหนบอกว่านี่แลสซี่หวานธรรมดา แล้วนี่อะไรเขียวๆเป็นก้อนๆ” แขกว่า “ม่ายมีถั่วจริงๆแมม ม่ายมี” “แล้วก้อนๆนี้อะไรล่ะ” แขกว่า “ก้อนน้ำตาลน่ะแมม” ท่าทางตอบมั่ว ฉันไม่ยอม “น้ำตาลมันก็ต้องละลายสิ จะเป็นก้อนได้ไง” ยื้อกันอยู่อย่างนั้น แขกว่าน้ำตาลฉันไม่รู้ว่าอะไรแต่ไม่เชื่อ และอะไรบางอย่างทำให้ไม่วางใจ คาดคั้นจะเอาคำตอบให้ได้ว่านั่นมันก้อนเขียวๆอะไร (ซึ่งก้อนเล็กมาก แต่หลายก้อน) สุดท้ายแขกสองคนหันหัวกันสุมปรึกษาอธิบายกันเองแล้วหันมาตอบฉันด้วยเสียงดังฟังชัดมั่นใจสุดๆว่า “ฉานรู้แล้วแมมว่ามันคืออะไร แต่แมมม่ายต้องห่วงเพราะมันม่ายช่ายถั่วแน่ๆ มันคือ (ถั่ว)พิสตาชิโอ น่ะแมม”

จ๊ากกกกกกก ถั่วบ้าเมืองแขกจะทำให้ฉันเป็นบ้าเอาจริงๆ

ป.ล. ฉันได้รับการรักษาด้วยยาชนิดหนึ่งไม่นานหลังจากนั้น ด้วยความอัศจรรย์วันนี้ฉันแทบจะไม่เหลืออาการแพ้ถั่วอย่างรุนแรงเหลือเลยถึงจะยังเรียกไม่ได้ว่าหายขาดก็เถอะ ถ้าไปอินเดียยังไงฉันก็ขอไม่เอาถั่วบ้าหรอก
ป.ล. อีกที ฉันยังรักอินเดียเหมือนเดิมและไม่ลังเลที่จะกลับไปเสี่ยงชีวิตอีกแน่นอน

NO COMMENTS