นอกจากเจาะลึกสุดยอดของแต่ละสิ่งอันในสวิตเซอร์แลนด์แล้ว ฉันยังโชคดีได้เดินทางไปประเทศต่างๆในยุโรปบ่อยมากๆ และได้รู้จักเพื่อนๆคนไทยในหลายประเทศที่อยู่ยุโรปกันมานานๆ เลยขอรวบรวมโพยเหนือฟ้าของยุโรปที่ตัวเองได้ไปพิสูจน์มากับที่เพื่อนๆเจ้าถิ่นแนะนำ เริ่มโพยแรกกันก่อนเลยค่ะ

สองเมืองหลวงแห่งร้านอาหารอร่อยในยุโรป

ถ้าจะนับจำนวนดาวมิชลิน สองเมืองนั้นก็คือปารีสและลอนดอน แต่ถ้าจะนับเมืองที่ได้รับการยอมรับว่ามีร้านอาหารที่ดีที่สุดในโลกไว้มากที่สุด ที่นักกินต่างต้องไปเข้าคิวลงชื่อชิมแล้วนั้น นั่นคือ Copenhagen เมืองหลวงของเดนมาร์ค และ San Sebastian ทางเหนือของสเปน โคเปนเฮเกน แน่นอนฉันต้องไปลำบากลำบนชิมมาแล้วทั้งสองที่ โคเปนเฮเกนนั้นไปมาสี่ครั้ง โชคดีได้ไปชิมร้านอาหารที่ได้ชื่อว่าดีที่สุดในโลกคือ Noma ที่ปัจจุบันแทบไม่มีทางจองได้อีกแล้ว ร้านระดับนี้เรื่องรสชาติไม่ต้องพูดถึงกันแล้ว สิ่งที่โนม่าเด็ดคือความคิดสร้างสรรค์ในการเลือกวัตถุดิบมาใช้และกรรมวิธีการปรุงที่แหวกแปลกแนวเกินกว่าจะคิดถึง ความแตกต่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนเหมือนคือเขาเน้นการเลือกใช้วัตถุดิบท้องถิ่นแถบนอร์ดิกมาใช้ เช่น สาหร่าย มอส ปลาทะเล ของดอง มันประหลาดเกินกว่าจะบรรยาย และบอกเลยว่าชีวิตนี้ต้องไปลองเองสักครั้งจึงจะเข้าใจ

แต่ร้านที่ฉันประทับใจจนอยากจะกลับไปกินอีกกลับเป็นสองร้านนี้ Geranium และ Relae ร้านเจอราเนียมทั้งอร่อยทั้งมีเซอร์ไพรส์ทุกจานทั้ง 25 จานที่มาเสิร์ฟ สวยงามสร้างสรรค์แบบลืมไม่ลง ปัจจุบันได้ 3 ดาวมิชลินแซงโนม่าไปแล้ว ส่วน Relae นั้นเรียบง่ายไม่เว่อร์วังอลังการอย่างโนม่าและเจอราเนียม สมปรัชญาการเป็นร้านอาหารออร์กานิกทุกอย่างที่ใช้แม้แต่น้าล้างจาน ความอร่อยจึงมาจากรสชาติของวัตถุดิบแท้ๆ ปริมาณและราคาก็ไม่มากเว่อร์ เป็นคอร์สมาแค่ 4 จานรวมของหวาน ไอศครีมนมโรยพามาชานชีสนั้นบัดนี้ยังไม่มีไอศครีมใดในโลกลบสถิติที่ปลายลิ้นได้ เป็นร้านที่ถ้าฉันอยู่โคเปนเฮเกนคงจะกลับไปกินบ่อยๆจนเป็นลูกค้าประจำ

ส่วนที่ซานเซบาสเตียนนั้นฉันก็ถึงกับวางแผนทริปเพื่อไปกินโดยเฉพาะ จองติดกันทั้งสองร้านที่ติดอันดับต้นๆร้านที่ดีที่สุดในโลก ร้าน Mugaritz นั้นฉันขอคารวะว่าสมควรแห่งอันดับ 7 จริงๆ ทั้งอร่อยทั้งสร้างสรรค์ ที่ประหลาดล้ำคืออาหารทุกอย่างต้องกินด้วยมือ! พอพนักงานพาไปถึงโต๊ะที่จัดรออยู่ เธอบอกอย่างแรกเลยว่าอย่าแปลกใจที่บนโต๊ะไม่มีมีดส้อม เพราะคุณจะกินด้วยมือตลอด 20 กว่าจานในสามชั่วโมงข้างหน้านี้ และมันก็มหัศจรรย์จริงๆที่เขาประดิษฐ์อาหารทุกจานออกมาให้เรากินได้ด้วยมือชนิดที่มือแทบไม่เลอะและดูสวยงามมีวัฒนธรรม เพราะมันจะมาเป็นคำๆในอะไรบางอย่างให้เรายกเข้าปากได้เลย ร้านนี้บอกเลยว่าสมตำแหน่ง 3 ดาวมิชลินที่สุด (แต่ปีนี้เหลือ 2 ดาวแล้ว ไม่อยากจะเชื่อ)

ส่วนอีกร้าน Arzak นั้นความประหลาดไม่มาก เมนูค่อนข้างเป็นอาหารฝรั่งที่คุ้นชิน แต่คุณภาพก็ระดับมิชลิน 3 ดาว นี่พูดถึงแค่ร้านอาหารที่ดีที่สุด 2 ร้าน ยังมีมิชลินสามดาวอีก 2 ร้านและยังไม่ได้เล่าถึงบรรดาร้านต่างๆในเมืองที่มีธรรมเนียมการกิน Pinxos หรืออาหารคำเล็กๆที่จัดวางไว้ให้เลือกตักได้ตามชอบตั้งแต่บ่ายไปจนถึง เป็นรูปแบบการกินของแคว้น Basque ยิ่งร้านเหมือนจะเล็กในซอกเท่าไรยิ่งมีเสน่ห์และอร่อย บินไปซานเซบาสเตียนเพื่อกินโดยเฉพาะนี่รับรองว่าคุ้มจริงๆ (รออ่านแบบละเอียดในหนังสือรวมเล่มนะคะ)

Noma: ที่อยู่ Strandgade 93, 1401 Copenhagen K

http://noma.dk/

Geranium: ที่อยู่ Per Henrik Lings Allé 4, 2100 Copenhagen Ø

http://www.geranium.dk/

Relae: ที่อยู่ Jægersborggade 41, 2200 Copenhagen V

http://www.restaurant-relae.dk/en/

Mugaritz: ที่อยู่ Aldura Gunea Aldea, 20, 20100 Errenteria, Gipuzkoa, Spain

https://www.mugaritz.com/

Arzak: ที่อยู่ Av Alcalde Elósegui, 273, 20015 San Sebastián, Guipúzcoa, Spain

https://www.arzak.es/

ร้านขายแซนด์วิชเปิดหน้าแบบแดนิชแท้ที่โคเปนเฮเกน

พูดเรื่องร้านอาหารติดดาวที่โคเปนเฮเกนไปแล้ว อดไม่ได้อยากจะแนะนำร้านอาหารแบบพื้นเมืองแท้ๆ เพราะช่วงนี้กำลังหลงรักอาหาร Nordic cuisine อย่างมาก อาหารประจำชาติเดนมาร์คคือ Smørrebrød หรือแซนด์วิชเปิดหน้า ด้านล่างจะเป็นขนมปังแป้งข้าวไรย์ (Rye bread) เนื้อแน่นสีน้ำตาลเกือบดำ ทามันหมูที่คนแดนิชนิยมกินแทนเนย แล้วโปะหน้าท่วมท้นด้วยสารพัดสิ่งอันสุดจะสร้างสรรค์เช่น ปลาแฮริ่ง หรือหมูหนังกรอบฝานเป็นแผ่น กุ้งต้ม ไปโคเปนเฮเกนครั้งแรกฉันก็อยากจะไปชิมร้าน Ida Davidsen ซึ่งน่าจะเป็นร้านขาย Smørrebrød ที่ดังที่สุด แม้ว่าคนแดนิชบางคนจะบอกว่าแซนด์วิชของป้าไม่ใช่รสชาติแดนิชแท้  แต่ถึงอย่างไรก็ต้องลอง ร้านนี้เป็นร้านเล็กๆอยู่ในเมือง เปิดมานานหลายชั่วอายุคน  ตกทอดมรดกมาถึงป้าไอด้า  ป้านี่แหละมาทำจนโด่งดังภายใต้แบรนด์เนมของตัวเอง  จนร้านนี้กลายเป็นเสมือนกับสถาบันของโคเปนเฮเกน  เมนูร้านป้ามีเยอะมาก  เป็นกระดาษม้วนยาวเชียว  สามารถเลือกหน้าของแซนด์วิชได้เองสารพัดหน้า เนื้ออะไร ผักอะไร ซอสอะไร สามารถผสมสลับตามใจชอบ (จะว่าไปแล้วก็เหมือนร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา  ที่สั่งเอานั่นไม่ใส่นี่ได้ตามใจแต่ละคน)  จนเมนูของร้านป้าได้ลงในหนังสือกินเนสส์บุคว่าเป็นร้านที่มีเมนูยาวที่สุดในโลก

ถึงจะเลือกสั่งหน้าอะไรก็ได้ตามใจ  แต่ที่ร้านก็มีตัวอย่างหน้าที่แนะนำว่าอร่อยยอดนิยมวางใส่ตู้หน้าร้านไว้ให้คนเลือก  ฉันเลยจิ้มเอาตามนั้น  มีหน้าปลาแฮรริ่งดองเปรี้ยวๆหวานๆของโปรดของฉัน หมูสามชั้นหนังกรอบสไลด์มาบางๆ ปลาทอด และตับบดวางทับมาด้วยเบคอนทอดโปะหน้าด้วยกะหล่ำปลีแดงดองมาจนพูน  หน้าตาน่ากินไปหมด เหมือนอาหารจานหลักจานใหญ่ๆมากกว่าแซนด์วิช  ได้ลองหลายอย่างจนอิ่มจุกแอ้ก  ต้องแกล้มมื้อนี้ให้ครบสูตรแดนิชด้วยเหล้าชแนปส์พื้นเมือง ใสแหนวดูไม่น่ามีพิษมีภัยแต่ลงคอแล้วร้อนวาบจนหายเลี่ยนเลย  ช่วยให้อุ่นๆและคึกคัก  อาหารยิ่งอร่อยขึ้นไปอีก

ที่ร้านมีคนไทยเป็นคนเสิร์ฟด้วย  อยู่มานานจนเก่งภาษาแดนิชและทำงานกับป้าไอด้ามานาน  คล่องมาก  ฉันบอกน้องว่าอยากถ่ายรูปกับป้า เพราะป้าดังจนเหมือนจะเป็นเซเลป  น้องบอกวันนี้ป้าจะจัดงานแถลงข่าวที่ร้านตอนบ่ายเรื่องหนังสือเล่มใหม่ที่ป้าออก  อาจจะยุ่งและไม่ออกมารับแขกเหมือนเคย  ป้าแก่แล้ว 70 กว่า และวันนี้ยังเหนื่อยมากกว่าปกติกับงานที่ต้องเตรียม  แต่สุดท้ายป้าก็ออกมา ใส่ชุดผ้ากันเปื้อนและหมวกกุ๊ก แต่ว่าแต่งหน้าทำผมสวยเช้งเชียว  คุณนายมาก เป็นเซเลบริตี้เชฟตัวจริง  ป้าสวยอย่างนี้และออกมาเดินถ่ายรูปกับแขกทุกโต๊ะทุกวัน  ฉันบอกป้าว่าฉันเขียนเรื่องร้านอาหารอยู่ที่ซูริค  แล้วคนแดนิชที่อยู่ซูริคแนะนำมาให้กินร้านป้า  ฉันไม่ได้มาตามไกด์บุคนะ  ป้ายิ้มแฉ่งดีใจมากๆที่รู้ว่าตัวเองเป็นความภูมิใจของคนชาติเดียวกันจนถึงต้องแนะนำต่อ  คุยนู่นนี่ให้ฟัง  แล้วเอาเมนูยาวติดกินเนสส์บุคนั้นมาเซ็นต์แล้วม้วนให้ฉันเป็นที่ระลึก  ฉันบอกป้าว่าฉันชอบกินปลาแฮริ่งดองมากๆ   และเท่าที่กินมานี่ร้านป้าอร่อยที่สุด  อร่อยจริงๆหยุดไม่ได้ อยากจะขอแบ่งซื้อกลับบ้าน ป้าบอกไม่ได้แบ่งขายแต่จะดูให้  แล้วหายเข้าไปในครัว  สักพักเดินออกมาพร้อมกับขวดโหลแก้วกระปุกอ้วนอัดแฮริ่งมาเต็ม  ใส่ถุงให้อย่างดี  ฉันดีใจมากๆที่ป้ายอมแบ่งขาย  แต่ปรากฎคุณป้าไอด้าบอกว่า  ฉันเอามาให้ ไม่คิดเงินเธอหรอก  ตายแล้วใจดีจริงๆ  ฉันประทับใจมากๆ  อร่อย น่ารัก แล้วยังใจดีอีกด้วย  แล้วจะไม่รักป้าไอด้าได้อย่างไร

ชิมร้านป้า Ida ที่ขาย Smørrebrød แบบประยุกต์ดัดแปลงแล้ว  ก็ต้องไปชิมร้านแท้ดั้งเดิมแบบที่อยู่มานาน 113 ปีไม่เปลี่ยนแปลงด้วย ร้าน Café Sorgenfri  ตั้งอยู่ใจกลางเมืองโคเปนเฮเกนเช่นกัน ก้าวเข้าร้านไปแล้วเหมือนหลุดเข้าไปในเดนมาร์คเมื่อร้อยกว่าปีที่แล้ว ด้วยการตกแต่ง โต๊ะ เก้าอี้แบบย้อนยุคทั้งหมด มีโต๊ะไม่กี่โต๊ะและตั้งเบียดๆกัน  ฮันส์ พี่ชายชาวแดนิชที่รักเมืองไทยมากๆของฉันเป็นคนพาไปกิน บอกว่านี่เลยของจริง  แนะนำให้สั่งแบบหน้ารวมเป็นจานเปลมาแบ่งกันทาน  ของเรามีมา 7 อย่าง ปลาแฮร์ริ่งดองของโปรดสุดๆของฉัน หมูย่างหนังกรอบ มีทบอลล์ลูกโตเบื้อเริ่ม สลัดไก่ กุ้งต้ม ชีส และตับบด มีเครื่องเคียงต่างๆมาให้แกล้ม เช่นผักกะหล่ำปลีม่วงดอง  แตงกวา พริกหยวกสด บีทรู้ท เบคอน ให้แต่ละคนสร้างสรรค์แซนด์วิชเปิดหน้าตามใจตัวเอง  เอาขนมปัง Rye วางบนจาน ตักหน้าที่ชอบและเครื่องเคียงโปะหน้า ราดซอส (แต่จริงๆมีสูตรของเขา เช่นหมูกรอบต้องกินกับกะหล่ำดอง ตับบดต้องกินกับเบคอน กุ้งกับไข่ต้ม)  แลดูเหมือนเป็นอาหารกินเล่นแกล้มเหล้า ชแนปส์ Schnapps 45 ดีกรีร้อนแรงของแดนิช แต่กินได้สามชิ้นก็จุกแอ้กแล้ว รายการอาหารยังมีอีกหลายอย่างแบบแดนิชแท้ๆน่าลอง เช่นปลาแฮร์ริ่งสามอย่าง (ดอง หมักในน้ำมัน และปรุงผงกะหรี่) ปลาทอด ซาลมอน  ใครผ่านไปขอแนะนำอย่างยิ่ง  แถมลุงคนเสิร์ฟยังพูดไทยเก่งมากด้วยเพราะเป็นฝรั่งที่รักเมืองไทย

  • Café Sorgenfri: ที่อยู่ Brolæggerstræde 8, 1211 København K, Tel 33 11 58 80 www.cafesorgenfri.dk
  • Ida Davidsen: ที่อยู่ Kongensgade 70, 1264 Copenhagen K Website

แฟชั่นเฮ้าส์ คาเฟ่และร้านอาหารที่สุดยอดแฟชั่นนิสต้าต้องไปที่ Antwerp

หากใครถามฉันเกี่ยวกับเมืองแห่งแฟชั่น ฉันจะคิดถึงแอนท์เวิร์ปมากกว่าปารีส คงเป็นเพราะสมัยนี้ปารีสสมัยนี้เต็มไปด้วยแบรนด์อินเตอร์ที่มาอยู่รวมกัน ในขณะที่แอนท์เวิร์ปยังมีแฟชั่นเฮ้าส์แบรนด์ท้องถิ่นอยู่มาก และมหาวิทยาลัยสอนเรื่องแฟชั่นและดีไซน์ที่สำคัญมากแห่งหนึ่งของโลกก็อยู่ที่นี่  คือ The Royal Academy of Fine Arts  ซึ่งผลิตดีไซน์เนอร์ชื่อดังๆมาแล้วหลายคน  ที่มีชื่อเสียงที่สุดที่เราได้ยินกันบ่อยๆก็คือกลุ่ม “The Antwerp Six”  แฟชั่นดีไซน์เนอร์เปรี้ยวจี๊ดแถวหน้า 6 คน ซึ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยนี้ในระหว่างปี 1980-1981 และไปสร้างปรากฏการณ์ให้โลกรู้จักที่งานแฟชั่นในลอนดอนปี 1986  ภายหลังทุกคนกลายมาเป็นดีไซน์เนอร์ดังที่ประสบความสำเร็จและยังปักหลักอยู่ที่แอนท์เวิร์ปบ้านเกิด  ที่มีชื่อระดับโลกที่สุดก็น่าจะเป็น Dries Van Noten  ฉันก็ไปเมืองแอนท์เวิร์ปอยู่บ่อยๆเพราะเหมือนเป็นบ้านที่สองในยุโรป  ไปทีไรก็ต้องไปเดินดูร้านเสื้อผ้า ซื้อบ้างไม่ซื้อบ้างแต่ต้องดูเป็นแรงบันดาลใจ  ปกติฉันจะชอบเสื้อผ้าที่มีการจับแพทเทิร์นผ้าแปลกๆที่ดูแล้วงงว่าเอามาใส่อยู่บบนตัวได้อย่างไร  นับถือว่าดีไซน์เนอร์คิดได้อย่างไร  งานแฟชั่นของแอนท์เวิร์ปเป็นแบบนั้นเลย  ดูแล้วเรียบด้วยแบบแต่ล้ำความสร้างสรรค์ด้วยการจับวางผ้า  แหกกฎการตัดเย็บเสื้อทั่วไป  โก้ ดูแพงและมีคลาสแต่ไม่เหมือนแนวทางฝรั่งเศส  ต้องบอกว่าเป็นรูปแบบเฉพาะตัวจริงๆ  แต่ที่แปลกคือในเมืองแอนท์เวิร์ปแม้แต่บนถนนสายแฟชั่นฉันแทบจะไม่เคยเห็นคนแต่งตัวจัดๆเดินเลย ฉันรู้ว่าคนเบลเยี่ยมมักจะเรียบร้อย ไม่ชอบทำตัวเป็นจุดเด่น แต่ก็ยังสงสัยอยู่ว่าแล้วคนในแวดวงแฟชั่นตั้งเยอะแยะเค้าไปอยู่กันที่ไหน

ฉันเคยเขียนเรื่องรวบรวมร้านเสื้อผ้าและร้าน Concept store ที่รวมเสื้อผ้า เครื่องประดับ และของแต่งบ้านหลายยี่ห้อเข้าไว้ด้วยกัน หลายร้านนิยมมีร้านอาหารเก๋ๆอยู่ในนั้นด้วย แต่มีอยู่ร้านหนึ่งที่ยังไม่เคยเขียนถึง และขอฟันธงว่าเป็นสุดยอดร้านที่แฟชั่นนิสต้าตัวจริงต้องไป

Verso คือร้านแฟชั่นรวมแบรนด์ไฮเอนด์แบบกิ๊บเก๋เข้าไว้ในที่เดียว แบรนด์ที่มีเช่น Fendi, Valentino, Givenchy, Marni แน่นอนต้องมีแบรนด์ของ Antwerp Six คือ Maison Margielaและยังมีแบรนด์รุ่นใหม่เก๋ๆเช่น Mary Katrantzou, 7 For All Mankind, Dsquared² ทุกรุ่นทุกแบบในคอลเลคชั่นล่าสุดที่นี่ต้องมี ร้านใหญ่มากๆ และหรูอลังการตื่นตาตื่นใจมากตั้งแต่เดินเข้าไป ดูจากด้านนอกดูไม่รู้เลยว่าในร้านเปรี้ยวมาก เพราะเป็นตึกที่เคยเป็นธนาคารเก่า ดูถึก อึม เคร่งเครียด แต่เพดานสูงด้านในช่วยให้ร้านดูหรูหราไฮโซ หากลงไปเข้าห้องน้ำชั้นล่างจะยังเห็นห้อง strong room ที่เป็นเซฟยักษ์เก็บเงินพร้อมลูกกรงกั้นอวดให้ชมอยู่ มีห้องเสื้อผ้าที่จัดอยู่หลังลูกกรงด้วย ฉันกรี๊ดมากเพราะมีความหลงใหลตึกเก่าที่เอามาใช้งานใหม่โดยเก็บโครงสร้างและสถาปัตยกรรมเดิมๆเอาไว้ การไปร้านนี้จึงไม่ใช่แต่ได้ช้อปของล่าสุด แต่ยังได้อยู่ในบรรยากาศที่สวยงามเอ็กคลูซีฟด้วย ฉันชอบมากๆ ถึงส่วนมากจะไปแล้วไม่ได้ซื้อ (เพราะมันแพง)แต่ก็ชอบแวบเข้าไปเป็นประจำเวลาเดินผ่าน

แต่ที่ฉันค้นพบแล้วชอบมากๆจนไปใช้บริการบ่อยๆคือ Verso café เป็นร้านอาหารที่อยู่ด้านหน้าของร้าน แต่แยกออกมาเป็นสัดส่วนมิดชิดเหมือนเป็นความลับของคนวงในเท่านั้น ร้านแต่งเปรี้ยวเก๋มากสมกับที่เป็นที่ประจำของเหล่าแฟชั่นนิสต้าในเมืองแอนท์เวิร์ป ผนังไม้สีดำมีเบาะยาวกำมะหยี่สีเทาเข้มตลอดกำแพงฝั่งหนึ่ง ด้านหนึ่งมีเตาผิงยักษ์ จะมากินมื้อกลางวันก็เก๋อร่อย เป็นแบบนั่งง่ายๆกินง่ายๆจานเดียวแต่ยังเยอะด้วยการตกแต่งและเมนูฟิวชั่นที่ไม่ธรรมดา เชฟมีชื่อและช่างสรรสร้างเมนูวิจิตรเช่น ปูจาก North sea มากับผัก fennel หรือ sweetbread ซึ่งคือต่อมไธมัสของลูกวัวหรือลูกแกะ คนฝรั่งเศสหรือเบลเยี่ยมนิยมกิน รสชาติคล้ายสมอง มันๆ ฉันเคยชิมจานนี้ที่นี่ เขาทำมาดีทีเดียว เสิร์ฟมากับเห็ดชิตาเกะและผักกวางตุ้ง เสต็กหรือเบอร์เกอร์ที่นี่ก็มีแต่รับรองว่าไม่ฟังดูธรรมดาอย่างชื่อ ถึงบอกว่ามากินได้ง่ายๆแต่เยอะไง หรือจะมาจิบชากาแฟยามบ่ายหรือแชมเปญก่อนมื้อเย็นก็เปรี้ยวซะ เขามีเมนูทาปาสจานเล็กๆให้สั่งด้วย อาหารหลายอย่างมีแรงบันดาลใจจากอาหารไทย เช่นปอเปี๊ยะหรือคาปาชิโอเนื้อดิบ ดูคำบรรยายแล้วรสชาติคงไม่ไทยแน่นอน เลยไม่ขอชิม แต่คิดว่าความเป็นไทยนี่มันคงเข้ากับความฮิปเก๋ของแฟชั่นนิสต้าที่นี่

และเมื่อฉันได้ค้นพบคาเฟ่นี้จึงได้ค้นพบว่า บรรดาแฟชั่นนิสต้าของเมืองแอนท์เวิร์ปเขามาซ่อนอยู่กันที่นี่เอง! ทุกโต๊ะแต่งตัวกันจัดเต็ม! และทุกคนแบกถุงช้อปปิ้งสารพัดแบรนด์ไฮเอนด์หายากมานั่ง แต่งกันเต็มขนาดไหน ลองนึกถึงชายอายุ 50 กว่าที่รูปร่างยังดี เดินเข้ามานั่งคนเดียวด้วยความมั่นใจสูง ในชุดสูทลายดอกไม้ดอกโตๆสีแดงแปร๊ดกระจายเข้ากันทั้งแจ็คเก็ตและกางเกง ไม่นับรองเท้าเสริมส้นที่เปรี้ยวปรี๊ด ประหนึ่งนี่คือที่สิงสถิตอันแสนสบายของนาง ส่วนสาวๆที่นั่งไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยทุกคนโปะแบรนด์เนมล้วน ฉันชอบตรงที่นั่งดูแล้วสนุกดี บอกเลยว่าใครอยากเห็นแฟชั่นโซไซตี้ของแอนท์เวิร์ปเมืองตัวพ่อของแฟชั่นต้องมาช้อปและกินที่ Verso

  • Verso Café ที่อยู่ Lange Gasthuisstraat 9-11, 2000 Antwerpen T 03 206 02 02

www.verso.com

สุดยอดประสบการณ์ท่องบาร์โต้รุ่งแบบไม่เหมือนใครในโลกที่ Budapest

ไปเที่ยวเมืองไหนๆฉันก็จะชอบไปส่องตามบาร์ต่างๆ เพราะฉันว่าบาร์ใหม่ๆนี่แหละเป็นแหล่งของไอเดียแปลกๆใหม่ๆสร้างแรงบันดาลใจดี แต่ฟันธงเลยว่าบาร์ที่แปลกอย่างที่ไม่มีที่ไหนเหมือน นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า Ruin Pubs หรือในภาษาฮังกาเรียนเรียกว่า ‘rom kocsma’ แปลตรงตัวว่าผับที่พังแล้ว หรือซากผับ มันเริ่มจากมีคนเอาตึกร้างในย่านเปสต์ของเมืองบูดาเปสต์มาทำเป็นผับโดยไม่ตกแต่งอะไรเลย ยกโต๊ะเก้าอี้ผุๆพังๆพอกันเข้าไปตั้งในตึกร้างรกสกปรก เอาวงดนตรีมาเล่น เสิร์ฟเหล้าและอาหาร กลายเป็นผับดิบๆที่ถูกใจของคน จนเกิดผับอื่นตามๆกันมาในย่านเดียวกัน แต่ละที่ล้วนแต่ไปเช่าห้องใต้หลังคาร้าง หรือตึกร้าง เคล็ดคือต้องไม่ตกแต่งเปลี่ยนอะไรเลย สีลอกก็ให้ลอกอย่างนั้น กำแพงมีคนมือบอนไปเขียนอะไรหรือวาดรูปอะไรไว้ก็เก็บอย่างนั้น เฟอร์นิเจอร์ที่ยกมาวางใช้ก็เก่าขาดพอกัน ไม่มีการเข้าชุดกันทั้งสิ้น โคมไฟอะไรล้วนแต่เลอะเปรอะผิดชุดผิดพวก แต่ภาพรวมแต่ละผับกลับออกมาจิ๊กโก๋ติสต์แตกสไตล์ยุค 70s ได้สะใจมาก กลายเป็น “cult”กลางคืนของบูดาเปสต์แบบไม่เหมือนใคร ผับแบบนี้มีหลายแห่งทั้งย่าน ขอแนะนำให้ bar hopping เข้าชมดื่มให้มากสุดเท่าที่ร่างกายจะไหว บอกเลยว่าสนุกมาก ทั้งดื่ม ฟังดนตรี ชมคอนเสิร์ต บางแห่งมีสารพัดความบันเทิงให้เลือกตื่นตาตื่นใจจนเลือกไม่ถูก ทั้งชิชาบาร์ บาร์คอกเทล บาร์เบียร์ ไวน์บาร์ มุมอาหารย่างบาร์บีคิว ห้องสมุด ห้องดูทีวี ห้องดีเจ มุมเบเกอรี่ ร้านขายของยังมี ที่สนุกสุดๆคือการเดินสำรวจการตกแต่ง หรือจะว่าไปแล้วคือซากจากการที่ไม่ได้ตกแต่ง ในทุกๆห้องหับที่แน่นไปด้วยคน รับรองว่าประหลาดล้ำสนุกไม่เหมือนบาร์ใดๆ ขอแนะนำ 3 บาร์ที่ต้องลอง คือ Szimpla Kert “ซากผับ” ที่เก่าที่สุดของบูดาเปสต์ Kuplung อู่ซ่อมรถเก่าที่ยังเก็บบรรยากาศเดิมๆไว้ และ Instant ซากผับที่ใหญ่ที่สุด มีถึง 26 ห้อง 7 บาร์ และฟลอร์เต้นรำ 4 ฟลอร์

  • Instant: ที่อยู่ Nagymező utca 38, Location: Pest, District 6
  • Kuplung: ที่อยู่ Király utca 46, Location: Pest, District 6
  • Szimpla Kert: ที่อยู่ Kazinczy utca 14, Location: Pest, District 7

Outlet ช้อปปิ้งในอิตาลี

ปกติเวลาไปเที่ยวฉันไม่ค่อยช้อปมาก โดยเฉพาะร้าน Outlet จะนานๆไปที แต่เรื่องแฟชั่นอิตาลีนี่ของโปรด จึงต้องหาตัวช่วย ได้ตัวแม่เรื่องช้อปและแบรนด์เนม คือคุณอีส วิยะดา ที่อยู่อิตาลีมานานหลายปี รู้ทุกเรื่องอย่างละเอียดเกี่ยวกับเอ้าท์เล็ตทุกที่ในอิตาลี แถมเคยพาฉันไปตะลุยเอ้าท์เล็ตที่โรมกันมาแล้วอย่างสนุก จึงขอให้คุณอีสเลือกเอ้าท์เล็ตที่ตัวจริงต้องไปช้อปมาให้ คุณอีสบอกว่าที่ดีๆ มีหลายที่และแต่ละแห่งเสน่ห์ต่างกัน เลือกมาให้คือ ถ้าใกล้ Florence แล้วชอบ street brand ให้ไป Barberino Outlet มี 120 กว่าร้าน ทัวร์ไม่ค่อยพามาเพราะ high-end brand มีน้อย แต่มาแล้วได้ของคุณภาพดีราคาถูกกลับติดมือแน่นอน  ถ้าชอบ high-end brand ให้ไป Space Outlet หรือ The Mall ขับรถจาก Barbarino ประมาณ 1 ชม ทัวร์ชอบลงช่วงเช้า คุณอีสแนะนำให้มาช่วงบ่าย แถวจ่ายเงินจะสั้นกว่า มีของมาใหม่ทุกเดือน มากี่รอบของก็ไม่ซ้ำ คุณอีสยังกระซิบว่า ถ้าใครอยากได้ Prada ให้ไป Space Outlet เพราะที่นี่คือสุดยอดอาณาจักรปราด้าเอ้าท์เล็ต ของใหม่แบบในร้านราคาถูกๆ จะหลุดมาวันละ 2-3 ใบ แต่ถ้าไม่มีเป้าหมายว่าชอบแบรนด์อะไรก็ไป The Mall เพราะมีหลายแบรนด์มาก

ส่วนแถวมิลานให้ไป Fidenza Outlet ตอนเช้า อยู่ออกมาจากมิลาน 1 ชม ที่นี่จะรวมแบรนด์ที่หายากๆ ในอิตาลีเช่น Paul Smith Loewe มี 100 กว่าร้าน เสื้อผ้าจะดูวัยรุ่นกว่า outlet อื่นๆ และยังไม่ดังมาก คนจึงไม่เยอะไม่ต้องต่อแถวยาวตอนจ่ายตังค์ แล้วตกบ่ายให้ไป Serravalle Outlet มี 100 กว่าร้านเหมือนกัน ที่นี่จะมีร้าน Burberry ถึง 3 ร้านเลย คือร้านชายร้านหญิง และที่สำคัญอีกร้านที่เอาของโละจากร้านชายหญิงมาขาย ราคาจะถูกมากๆๆๆ ที่สุดใน 3 โลก

ช้อปของกินกูร์เม่ต์ในอิตาลี

ฉันเป็นคนชอบเรื่องอาหารการกิน แม้จะทำกับข้าวพอได้งั้นๆแต่ก็ชอบสรรหาวัตถุดิบดีๆแปลกๆ เวลาเดินทางไปเมืองไหนถ้ามีเครื่องปรุงของกินประจำถิ่นอะไรก็มักจะต้องซื้อกลับบ้านเสมอ ตลาดสดนี่ต้องไปแทบทุกเมือง คนชอบทำอาหารชอบสรรหาของกินเท่านั้นจึงจะเข้าใจว่าเวลาเจอตลาดของกินหรือวุตถุดิบแท้ๆของถิ่นมันน่าตื่นเต้นเพียงไร ด้วยความที่ฉันชอบอาหารอิตาเลียนที่สุดและทำบ่อยที่สุด และยังอยู่ติดกับอิตาลี (ปกติเรียกว่าจะไปก้นซอย) จึงคอยหมั่นซื้อสารพัดเครื่องปรุงจากอิตาลีมาเก็บตุนไว้ที่บ้านเสมอไม่ให้ขาด ซูเปอร์มาร์เก็ตอันสุดยอดที่ต้องไปเสมอ และขอให้นักปรุงนักชิมท่องไว้เลยนั้นคือ Eataly เป็นเมกะซูเปอร์มาร์เก็ตที่ขายของกินอิตาเลียนล้วนๆที่ใหญ่ที่สุดในโลก

นอกจากใหญ่แล้วยังเน้นเฉพาะของดีมีคุณภาพชั้นหัวกะทิ มาจากหลากหลายเมืองทั่วอิตาลี และยังเน้นความสด สะอาด ธรรมชาติ ออร์แกนิก ทั้งของสดของแห้ง ร้านสวยงามน่าเดินเป็นที่สุด เหมือนตลาดสดกลางแจ้งของยุโรปที่ยกเข้ามาอยู่ในอาคาร แห้ง สะอาด ของที่ขายจัดสวยงาม ไข่ก็วางกองๆบนฟางในลังไม้เหมือนไข่ในฟาร์ม ใครจะซื้อก็หยิบใส่กล่องไข่เอาเอง ไม่มีการเรียงเป็นกล่องๆ ผักจัดวางสีสวยเหมือนตลาดสด พาสต้านั้นเรียงกันยาวเต็มผนังสุดลูกหูลูกตาอย่างกับกำแพงเมืองจีน ส่วนน้ำมันมะกอกก็ยาวเท่ากำแพงเบอร์ลิน มีสารพัดน้ำมันมะกอกเกรดดีชนะรางวัล น้ำส้มบาลซามิกจากเมือง Modena แฮมจากเมือง Parma เห็ดทรัฟเฟิลและน้ำมันทรัฟเฟิลจาก Alba เกลือหวานจากเมือง Cervia ไวน์เด็ดจากแต่ละแคว้น ทุกสิ่งอันล้วนมาจากแหล่งออริจินัล นอกจากของแห้งของสดแล้วยังมีร้านอาหารที่เอาเครื่องปรุงในร้านมาปรุงให้กินกันตรงนั้น มีเบเกอรี โรงเรียนสอนทำอาหาร ตอนนี้ Eataly มีสาขาในหลายเมืองของอิตาลี และมีที่นิวยอร์ค ดูไบ ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน เดนมาร์ค ตุรกี บราซิล แต่ฉันมักจะไปสาขาแรกสุดที่ย่าน Lingotto เมือง Turin ซึ่งเป็นสาขาแรกสุด นักทำอาหารไปอิตาลีคราวหน้า ที่โรมมีร้าน Eataly ที่ใหญ่ที่สุดในอิตาลี ที่มิลานก็มี อย่ามัวแต่ช้อปเพลินแต่แบรนด์เนมและเอ้าท์เล็ต เผื่อเวลาและน้ำหนักกระเป๋าไว้ให้ Eataly ด้วยนะอย่าลืม

NO COMMENTS