“กินเหนือฟ้า” ครั้งนี้ รับรองใครๆก็เถียงไม่ได้ว่าไม่ใช่กินเหนือฟ้า เพราะมันคือ Dinner in the Sky ประสบการณ์ขึ้นไปกินอยู่เหนือฟ้าจริงๆ

Dinner in the Sky คืออะไร มันคือประสบการณ์กินอาหารไฟน์ไดนิ่งโดยเชฟดังที่เขาใช้เครนยกโต๊ะอาหารและครัวลอยสูงขึ้นไปบนฟ้า กินไปขาก็ห้อยต่องแต่งไปเหมือนค้างคาวอยู่กลางอากาศ ฉันอยากไปมานานแล้วแต่โอกาสมันหาไม่ง่าย เพราะในหนึ่งปีเขาจะจัดไม่กี่ครั้ง โดยจะหมุนเวียนเปลี่ยนไปตามเมืองใหญ่ทั่วโลก หนึ่งวันจะมีมื้อกลางวันและมื้อเย็นอย่างละรอบ แต่ละมื้อก็จะรับคนได้เพียง 24 ที่เท่านั้น (รู้สึกเมื่อสองสามปีก่อนเขาได้ไปจัดที่กรุงเทพด้วย) ดังนั้นจึงต้องวางแผนกันล่วงหน้าเป็นปี ดูว่าในแต่ละปีเขาไปที่ไหนบ้าง แล้วเราจะได้เดินทางไปอยู่ที่เมืองนั้นหรือเปล่า ในเมื่อวางแผนยากขนาดนี้กว่าจะสำเร็จได้เวลาจึงล่วงมาหลายปี

เมื่อต้นปีที่ผ่านมาฉันพบว่าเขาจะมีจัดที่บรัสเซลส์ในหน้าร้อนเดือนมิถุนายน บริษัทนี้เป็นบริษัทของเบลเยี่ยม ได้ริเริ่มไอเดียบรรเจิดนี้มา 14 ปีแล้ว ปกติเราจะไม่ได้กลับบ้านที่เบลเยี่ยมในหน้าร้อน แต่ฉันเกิดได้ไอเดียว่าถ้าจะลองประสบการณ์นี้ก็น่าจะลองในประเทศกำเนิดของเขาเอง และบังเอิญว่าเดือนมิถุนายนเป็นเดือนเกิดของสามีด้วย จึงตัดสินใจจองโต๊ะ Dinner in the Sky นี้ในเดือนมิถุนายนเป็นของขวัญวันเกิดเซอร์ไพรส์ให้สามีเสียเลย

ปรากฏว่าโควิดทำพิษสิคะ เขายกเลิกเดือนมิถุนายนเลื่อนไปอย่างไม่มีกำหนด จนเมื่อสถานการณ์ดีขึ้นจึงเขียนเมลมาว่าจะจัดในเดือนกันยายนแทน (เดิมจะลอยฟ้ากันที่ Atomium ซึ่งคงจะได้วิวสวยมากๆ แต่พอเลื่อนเลยเปลี่ยนมาเป็นลานใจกลางเมืองเก่าแทน) เราจึงต้องวางแผนเยี่ยมบ้านที่เบลเยี่ยมพร้อมกันเลย แต่พอคอนเฟิร์มทุกอย่างแล้วก็เกิดเรื่องระทึกใจอีกเพราะเคสโควิดในเบลเยี่ยมเกิดสูงขึ้นมาก สวิตเซอร์แลนด์จึงจัดเบลเยี่ยมให้เป็นประเทศโซนแดง ถ้าใครเข้ามาจากเบลเยี่ยมจะต้องตั้งตัวอยู่กับบ้าน 10 วัน ปรากฏว่าสองสัปดาห์ก่อนถึงวันดินเนอร์สวิตฯถอดเบลเยี่ยมออกจากลิสต์ตัวแดง เราจึงคอนเฟิร์มว่าเรามาได้ แต่เรื่องยังไม่จบ ขณะที่เรากำลังขับรถออกจากสวิตเซอร์แลนด์ปรากฏว่าเมื่อตอนกลางวันสวิตฯประกาศให้เบลเยี่ยมมาติดตัวแดงใหม่ โอ๊ยเกือบจะยูเทิร์นกลับสวิตฯแล้ว แต่พออ่านดีๆพบว่าจะมีผลเริ่มบังคับวันจันทร์ เราจึงร้องว่าโชคดีอะไรเช่นนี้ เพราะดินเนอร์เป็นวันเสาร์และตั้งใจจะกลับวันอาทิตย์อยู่แล้ว เรียกว่ารอดไปเฉียดฉิว สวรรค์เปิดช่องให้มากินเหนือฟ้าโดยแท้

ถึงวันฉันจึงตื่นเต้นตื่นแต่เช้า เพราะอยากไปถึงก่อนเวลา กลัวตกไฟลท์ 😀 ฝนตกพรำฟ้าหม่น อากาศก็เริ่มเย็นแล้ว หวั่นใจว่าจะหนาว วิวจะไม่สวย จะเปียก แต่อย่างไรก็ลุย!ไปถึงก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง เขามีรีเซปชั่นให้ดื่มแชมเปญก่อนที่ Cafe Leopold คาเฟ่ดังใจกลางเมืองเก่าของบรัสเซลส์ที่ข้างในสวยมาก พอถึงเวลาเขาก็เรียกทีละคู่ พาเดินกางร่มไปที่กระเปาะที่นั่งที่จัดไว้ 8 กระเปาะๆละ 4 เก้าอี้รอบโต๊ะกลม มีพลาสติกคลุมกันฝนและมีฮีตเตอร์ทำความร้อนเหนือโต๊ะ สบายแล้วเรา ไม่เปียกไม่หนาวแน่

เขาให้เรานั่งบนเก้าอี้แล้วคาดเข็มขัดนิรภัยให้ทั้งซ้ายขวาและรอบเอว หนาแน่นมาก เพราะที่วางเท้าเล็กนิดเดียว และไม่มีที่วางของเลย กระเป๋าต้องทิ้งไว้ข้างล่าง เอาติดตัวไปเฉพาะโทรศัพท์ซึ่งก็ต้องรักษาสมบัติกันเอาเองไม่ให้หล่น พอพร้อมทั้ง 24 คน พิธีกรซึ่งเป็นคนดำเนินรายการทั้งหมดก็กล่าวต้อนรับแล้วนับถอยหลัง 5 4 3 2 1 แล้วเครนก็ยกโต๊ะและสเตชั่นครัวตรงกลางทั้งก้อนลอยขึ้นฟ้าไป พร้อมกับดนตรีที่มีดีเจสดเปิดชวนเต้นตาม เร้าใจมาก

ส่วนอาหารจะมาเป็น 5 คอร์ส รอบของเราจัดโดยเชฟ Giovanni Bruno เจ้าของร้านดาวมิชลินในเมืองบรัสเซลส์นี่เอง เชฟขึ้นมาปรุงให้ที่สเตชั่นครัวตรงกลางสดๆเลย มีทีมคอยช่วยและเดินเสิร์ฟ ทุกคนที่ทำงานบนนั้นจะมีสายเซฟตี้โยงติดกับตัวทุกคนความปลอดภัย จะว่าไปแล้วอาหารนับว่าใช้ได้แต่ไม่หวือหวาเท่าไหร่ ฉันว่าถ้าไปกินในร้านของเชฟจริงๆน่าจะอร่อยกว่า นอกจากแชมเปญต้อนรับแล้วยังมีไวน์ขาวไวน์แดง น้ำดื่ม และเมื่อจบมื้อบนฟ้าแล้วยังเชิญเรากลับไปที่คาเฟ่ลีโอโปลเพื่อดื่มเลม่อนเชลโล่และกาแฟตบท้ายอีกด้วย

เวลาที่ใช้ทั้งหมดในอากาศคือ 1ชั่วโมงครึ่ง ขึ้นไปลอยเท้าแกว่งสูงอยู่เหนือฟ้า 50 เมตร นอกจากอาหารที่เสิร์ฟอย่างต่อเนื่องรวดเร็วแล้ว ยังมีพิธีกรค่อยสร้างความบันเทิงพร้อมดีเจสดซึ่งเปิดเพลงดีมากไปด้วย นับว่าเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์เหนือฟ้าที่หาไม่ง่าย และสมชื่อว่ากินเหนือฟ้าจริงๆ

ป.ล. Photo Credit: เพื่อให้เห็นภาพชัด จึงขอดึงภาพบางส่วนมาจากเว็บของ Dinner in the Sky และอินเตอร์เน็ตประกอบนะคะ ฉันถ่ายรูปได้ไม่เยอะเพราะกลัวโทรศัพท์หล่น!

NO COMMENTS